บท
ตั้งค่า

บทที่ 7

        สันกรามที่ขบกันนูนขึ้น บอกให้รู้ว่าความอดทนของเขาใกล้จะสิ้นสุดลงเต็มที่แล้ว ดั้งจมูกที่คดน้อยๆ นั้นทำให้ใบหน้าของเขาสมลักษณะชายชาตรี และดูคลาสสิคอย่างบอกไม่ถูก

        “ถ้าทำอย่างนั้นก็เท่ากับบอกว่า ผมต้องการจะให้มีแตรฟันฟาร์คอยยืนแถวต้อนรับ เวลาที่ผมมาถึงน่ะสิ” เขากลับพูดไปเสียอีกทางหนึ่ง

        “และบางที คุณก็อาจจะคิดว่า มรดกชิ้นใหม่ที่คุณได้รับมาอาจจะทำเงินให้คุณได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยก็ได้คิทตวาดเข้าใส่ “บางที คุณอาจจะคิดว่าถ้าแอบมาเงียบๆ อย่างนี้ จะเป็นการง่ายที่จะมาจับผิดว่าเรายักยอกอะไรจากคุณไปบ้างหรือเปล่าด้วย แต่คุณก็คงจะเห็นแล้วว่า...” เธอตวัดมืออยู่ไปมา ประกอบคำพูดที่หมายรวมไปถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่ได้มีอยู่ในที่นั้น “...ว่าทุกวันนี้เราไม่ได้อยู่กันอย่างสมบูรณ์พูนสุขอะไรเลย ต้องคอยซ่อมแซมสับเปลี่ยนเครื่องมือเครื่องใช้ที่มันเก่าแสนเก่าอยู่ตลอดเวลา แล้วก็ยังต้องคอยจับตาดูวัวทุกตัวที่จะพลัดหลงออกไปนอกที่นอกทาง เมื่อมันเกิดอารมณ์สนุกขึ้นมา”

        “...นี่เห็นแก่คุณตาของคุณบ้างนะ... ผมคิดว่ามันจะเป็นการดีที่สุดถ้าคุณจะไม่พูดอะไรให้มันมากไปกว่านี้อีกคุณบอนเนอร์” น้ำเสียงของเขาแฝงคำขู่อยู่เป็นนัยในคำพูดประโยคนั้น

        ใบหน้าของคิทเผือดซีดลง ด้วยความโกรธที่เขากล้ามาขู่เธอเช่นนี้ แต่ก็กลืนกล้ำคำพูดที่จะแสดงออกถึงความรู้สึกเจ็บใจลงไว้ หันหลังกลับทำท่าจะเดินออกไปจากที่นั้น ต้องการจะหลีกลี้ไปเสียจากเขาให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ การที่มีเขาเข้ามายืนรวมอยู่ในที่นี้เป็นสิ่งที่เธอเหลือจะอดทนได้อีกต่อไป

     “อย่าเพิ่งไป คุณบอนเนอร์ ผมยังมีธุระที่จะต้องพูดกับคุณ”

        น้ำเสียงกึ่งเยาะหยัน และสำแดงความอหังการของเขาเหมือนสายฟ้าที่ตวัดแวบลงมา มันซ่านเข้าสู่เรือนกายและทำให้คิทชะงักงันไป ต่อสู้กับอาการสำรวมตนที่เธอจำเป็นจะต้องกระทำอยู่ เมื่อเธอจำต้องเบือนหน้ากลับมาทางเขา ค้อนควักให้อย่างไม่พอใจ

        “ทำไม ถ้าฉันจะไปจำเป็นจะต้องขออนุญาตคุณด้วยยังงั้นรึ?” เธอพูดเสียงขุ่น

        แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้สนใจในความเครียดขึงของเธอเลยแม้แต่น้อย

        “ตาของคุณแนะนำผมว่า ถ้าจะพูดเรื่องบ้านละก้อผมควรจะต้องพูดกับคุณ”

        ความกราดเกรี้ยวของเธอถูกจุดขึ้นมาอีกด้วยคำพูดสองคำในประโยคนั้น คือคำว่าตาของคุณ... และบ้าน

        “บ้านอะไร?” คิทย้อนถามด้วยน้ำเสียงที่ระแวงขึ้นมาทันที ศีรษะหลุบต่ำลงเพื่อให้ปีกหมวกช่วยอำพรางความรู้สึกบนใบหน้าไว้

        “ก็บ้านหลังนี้น่ะสิ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลขึ้น แต่ขณะเดียวกัน แววแห่งความไม่เข้าใจในคำถามก็ยังปรากฏร่องรอยขึ้นบนใบหน้าของรีส ทัลบอท

   “ก็แล้วมันมีเรื่องอะไรกันเล่า”

        “มันต้องการมากกว่าการเปิดไล่กลิ่นอับนะ มันต้องการคนที่จะมาทำความสะอาดใหม่หมดทั้งบ้าน แล้วในตู้เก็บของก็ควรจะมีอาหารเก็บไว้ด้วย”

        “การที่ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่พร้อมสำหรับการมาของคุณนั้นมันก็เป็นความผิดของคุณเองนี่ ที่คุณไม่ได้บอกให้เรารู้ตัวล่วงหน้าว่าคุณจะมา” เธอพูดตรงๆ

        “ผมน่ะเข้าใจในเหตุผลข้อนั้นอยู่ แต่นั่นมันก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปใช่หรือไม่เล่า?” อีกครั้งหนึ่ง ที่ไรฟันขาวสะอาดฉายขึ้นด้วยรอยยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม

        “แล้วคุณตั้งใจจะอยู่ที่นี่นานสักเท่าไหร่ล่ะ?”

        “ยังไม่รู้” เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องสลักสำคัญอะไร

        “ฉันเองก็ไม่เคยเป็นทั้งแม่บ้าน หรือ แม่ครัว” เธอเชิดคางขึ้นอย่างถือตัว “เพราะฉะนั้น ไม่ว่าคุณจะอยู่นานสักแค่ไหน มันก็เป็นเรื่องของคุณที่จะต้องแก้ปัญหาเอาเอง”

        “แล้วถ้าผมจะพักอยู่ชั่วคราวล่ะ?” เขาถามต่อแต่ด้วยน้ำเสียงประชดประชัน

        “สำหรับเรื่องการนอน ฉันคิดว่าพวกคนงานคงจะช่วยหาผ้าห่มสะอาดๆ กับเครื่องนอนจากเรือนพักคนงานมาให้ก่อนได้ละมั้ง และสำหรับเรื่องอาหารการกิน...” ถ้าเขาคิดว่าเธอจะเชื้อเชิญให้เขาไปรับประทานด้วยกันแล้วละก้อ ย่อมจะเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดอย่างมหันต์อีกนั่นแหละ “พ่อครัว...ชื่อแฟรงค์จาร์วิส เขาก็ทำอาหารให้พวกคนงานกินกันอยู่แล้วนี่ ฉันคิดว่าเขาคงจะเผื่อให้คุณกินด้วยได้หรอก”

        ทันทีที่พูดจบ คิทก็หันหลังเดินลงจากบ้านปล่อยให้บานประตูมุ้งลวดกระแทกปิดตามหลังด้วยตัวมันเอง ใจหนึ่งก็คาดว่าเขาคงจะเรียกให้เธอกลับเข้าไปในบ้านอีก ขณะที่เธอก้าวลงบันไดตรงไปยังม้าที่ผูกอยู่กับเสา ซึ่งยืนคอยอยู่ด้วยอาการสงบ แต่ทว่า ไม่ได้มีเสียงเรียกดังออกมาจากบ้านแต่อย่างใด

        เธอเหวี่ยงสายบังเหียนขึ้นพาดคอม้า พร้อมกับเหวี่ยงร่างขึ้นบนหลังมัน กระแทกสเปอร์เข้าตรงสีข้างมันเต็มแรงซึ่งทำให้มันต้องโผนออกไปข้างหน้าตรงไปยังคอก ซึ่งเมื่อถึงที่นั่นแล้ว คิทก็ลงจากหลังม้า ปลดอานและผ้าปูรองใต้อานลงจูงมันเข้าไปในคอกแบ่งและปลดสายคาดใต้ท้องม้าออก การกระทำทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยแรงอารมณ์ที่ผลักดันอยู่ภายใน

        เมื่อเอาอานกับสายคาดเข้าไปเก็บในห้องเก็บเครื่องอุปกรณ์ให้เป็นที่เรียบร้อยนั้น แฟรงค์ที่กำลังให้อาหารม้าอยู่ได้หันมาทักทายด้วย แต่คิทไม่ใส่ใจที่จะตอบรับคำทักทายของเขา แฟรงค์นั้นเช่นเดียวกับลิว คือเป็นคนสงบและไม่ได้เห็นว่าการที่ไม่ตอบรับคำทักทาย จะเป็นเรื่องผิดปกติแต่อย่างใดเมื่อเก็บสัมภาระแล้ว คิทก็เดินออกจากคอก เดินตรงไปยังบ้านหลังเล็กไม่พยายามปรายตามองไปทางบ้านใหญ่เลย

        เสียงบานประตูที่ถูกเธอกระชากให้เปิดออก เรียกความกระตือรือร้นให้ปรากฏขึ้นในท่าทางของตาทันที

        “คิทตี้ นั่นแกหรือ?”

        “ใช่” ตากำลังเดินเข้ามาใกล้ และขณะนี้ เข้ามาหยุดอยู่ในห้องครัวแล้ว “ถ้าตาจะเล่าให้ฉันฟังเรื่องบารอนคนใหม่ละก้อ บอกเสียก่อนนะว่าฉันพบเขาแล้ว” เธอรูดซิปเสื้อกั๊กสะบัดร่างออกก่อนที่จะเอามันไปแขวนไว้บนตะขอ แล้วจึงปลดสเปอร์ออกจากรองเท้า ตามมาด้วยหมวก

        “แล้วแกคุยกับท่านหรือยังล่ะ?” เนท บอนเนอร์ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ หลังจากที่จับตามองดูกิริยาท่าทางของหลานสาวอยู่เป็นครู่ และดูเหมือนจะพอเดาได้ เมื่อเห็นท่าทางสะบัดนั้น

        “คุยแล้ว” เธอเดินผ่านหน้าเขาเข้าไปในครัว

        “คิทตี้ แกจะไปประณามว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเก่าแก่นั่นเป็นความผิดของเขาไม่ได้หรอก” ตาของเธอออกเดินตามไป แม้จะด้วยท่าทางไม่เป็นสุขนักแต่ก็เข้าใจความรู้สึกได้ดี “เรื่องทั้งหมดนั่นไม่เกี่ยวกับเขาเลยนะ”

        “ฉันก็ไม่ได้ประณามอะไรเขานี่ เรื่องนั้นมันก็เกิดขึ้นมานานหนักหนาแล้ว และเมื่อมาถึงเวลานี้มันก็ไม่ได้มีความสำคัญอะไรอีกต่อไปแล้วละ” เธอกล่าวเท็จออกไป ทั้งๆ ที่รู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งกระนั้นมันสนิทแนบอยู่กับชีวิตของตัวเองอย่างที่สุด และเพราะมันนั่นเองที่ทำให้เธอต้องสร้างเกราะขึ้นมาคุ้มกันตัวเองไว้อย่างชนิดที่ไม่ยอมให้ใครมองทะลุเปลือกเข้าไปถึงหัวใจได้ คิทเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงเคาน์เตอร์“รู้สึกว่าถ้าตาจะกินอาหารเย็นละก้อจะต้องรออีกสักครึ่งชั่วโมงนะ เพราะฉันอยากจะอาบน้ำ แล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เนื้อตัวมันสะอาดเสียก่อนที่จะกินกัน”

        การที่จะพูดจากันถึงเรื่องที่บารอนคนใหม่เดินทาง มาถึง เป็นเรื่องที่คิทต้องการจะหลีกเลี่ยงอย่างที่สุดตลอดเวลาที่รับประทานอาหารค่ำอยู่ด้วยกันนั้น ไม่มีใครยกขึ้นมาเอ่ย ถึงเลย หลังจากนั้น คิทก็ลุกขึ้นจากโต๊ะตัวเล็กเดินถือจานเข้าไปวางลงในอ่างล้างจาน

        เนทกระแอมกระไอก่อนที่จะเอ่ยขึ้นว่า

        “คืนนี้บารอนคนใหม่ ท่านเชิญเราให้ไปที่บ้านใหญ่”

        “ตาไปสิ” เธอตอบด้วยน้ำเสียงสงบและโดยไม่ได้ลังเลใจเลย “ฉันยังมีงานเอกสารอีกเยอะแยะที่จะต้องทำ”

        “แต่เขาเชิญเราทั้งสองคนนะ”

        “แต่นั่นมันก่อนหน้าที่เขาจะรู้ว่าหลานสาวของตาเป็นใครนี่ แต่ตอนนี้เมื่อเขาพบกับฉันแล้ว ฉันว่าเขาไม่เสียใจหรอกที่ฉันไม่รับคำเชิญของเขาน่ะ”

        “มันเกิดอะไรขึ้นตอนที่แกกับเขาพบกันเมื่อตอนบ่ายวันนี้ล่ะ?” เนทจุดกล้องยาเส้นขึ้น

        “ฉันคิดว่าเขาบุกรุกเข้ามาในไร่ คิดว่าเขาเป็นนักทัศนาจร หรือไม่ก็คงจะเป็นพวกนักข่าวอะไรสักอย่างหนึ่งฉันก็เลยสั่งให้เขาออกไปจากบริเวณไร่ แต่เขากลับทำท่ายโสใส่ฉัน”

        คำตอบห้วนๆ ของเธอเรียกเสียงถอนใจจากเนท

        “ตาไม่คิดว่าเขาจะรู้เรื่องแก หรือว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นหรอก ท่าทางของเขายังแปลกใจเสียด้วยซ้ำที่รู้ว่าตามีหลานสาวบางที มันอาจจะเป็นการดีอยู่เหมือนกันนะ ถ้าตาจะเล่า...”

        “อย่าเชียวนะ” อาการสงบสำรวมมาตลอดเริ่มหวั่นไหวขึ้น เมื่อคิทหันขวับมาเผชิญหน้ากับตาของเธอ ความเสียใจลึกๆ แฝงอยู่ในท่าทางโกรธเคืองนั้น ซึ่งเธอพยายามที่จะขจัดมันออกเสีย “ถึงยังไงมันก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อีกแล้ว” เธอหันกลับไปทางอ่างล้างจาน “เพราะฉะนั้น ถ้าเขาจะยังไม่รู้เรื่องก็ไม่เห็นจำเป็นที่จะต้องไปบอกเล่าอะไรให้เขาฟังนี่ ยิ่งกว่านั้นฉันก็ยังสงสัยอยู่นะว่าเขาจะอยู่ที่นี่ได้นานสักเท่าไหร่กันเพราะไม่เคยเห็นบารอนคนไหนจะมาทนอยู่ได้นี่ อย่างดีก็มาเดินกรุยกรายอยู่ในไร่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้นแหละ” เธอกระแทกเสียงอย่างเจ็บใจ “หลังจากนั้น ก็กลับไปหาความสุขอยู่ในปราสาทในประเทศอังกฤษโน่น”

        “เออ...ที่แกพูดมามันก็ถูกนะ” เนทออกจะเห็นด้วยกับหลานสาว กัดด้ามกล้องยาเส้นไว้ สีหน้าขรึมลง

        “อ๋อ ฉันต้องพูดถูกแน่ เพราะรูปแบบมันก็เป็นมาอย่างนั้นนานแล้วนี่ ก็แล้วมันเรื่องอะไรที่บารอนคนนี้จะต้องมาทำอะไรให้มันแตกต่างไปกว่าคนอื่นๆ ล่ะ?” เธอยักไหล่“ในที่สุด เขาก็ต้องกลับไป แล้วทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เหมือนเดิมเช่นเดียวกันกับก่อนหน้าที่เขาจะมานั่นแหละ”

        “ก็ไม่เชิงหรอกนะ” เนทพูดกับตัวเองมากกว่าก่อนที่จะเลื่อนเก้าอี้ที่กำลังนั่งอยู่ออก “มันไม่เสมอไปหรอก”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel