บทย่อ
คิทกับตาของเธอบริหารกิจการของไร่ฟลายอิ้ง อีเกิ้ลแรนซ์มาตลอดเวลาหลายปี โดยที่ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของไร่มิได้เยี่ยมกรายมาที่ไร่แห่งนี้เลย แต่แล้ววันหนึ่ง ที่ทายาทคนล่าสุด บอรอน รีส ทัลบอท เดินทางมายังไร่แห่งนี้เพื่อสำรวจทรัพย์สินมรดกของเขา ในการมาครั้งนี้... ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงขึ้นกับไร่ ยิ่งกว่านั้น เขาต้องการจะสอนให้รู้ซึ้งถึงความเป็นผู้หญิง แต่เธอไม่ยอมให้เขาทำลายล้างศักดิ์ศรีของตัวเอง เช่นที่ท่านบารอนคนก่อนได้เคยกระทำกับแม่ของเธอมาแล้วและคิทพร้อมที่จะสู้
บทที่ 1
มวลเมฆแห่งฤดูหนาว สีเทาครึม บดบังรังสีแสงแห่งดวงอาทิตย์ในยามบ่ายไว้จนหมดสิ้น อากาศเย็นยะเยือกคิท บอนเนอร์ วิ่งถลาไปบนหิมะที่สายลมหอบมากองไว้บนทางเดินที่จะเข้าสู่ประตูบ้าน เมื่อมาถึงปากประตู เธอก็หยุดกระทืบเท้าแรงๆ เพื่อให้ปุยหิมะที่ติดอยู่กับรองเท้าหลุดร่วงลงดวงตาคู่สีน้ำตาลเงยขึ้นสู่ท้องฟ้า กวาดไปทั่ว แผ่นฟ้าที่เย็นเยือกเหนือแผ่นดินดาโกต้า
ลมหายใจของเธอกลายเป็นหมอกควันด้วยความเย็นของอุณหภูมิ แก้มและปลายจมูกแดง ริมฝีปากก็เย็น
ซีดไม่อาจจะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้ ร่างกายดูเหมือนจะเย็นชาไปทั่ว แม้ว่าจะสวมชุดชั้นในขายาวไว้อีกชั้นภายใต้กางเกงขายาวและเสื้อปาร์ก้าก็ตาม
แต่กระนั้น คิทก็ยังไม่คิดที่จะรีบร้อนเข้าไปแสวงหาความอบอุ่นภายในบ้าน ซึ่งตั้งอยู่ตรงปลายเนิน ขณะนี้ ความสนใจของเธอดูเหมือนจะมุ่งมั่นอยู่แต่เบื้องผืนฟ้าที่ทึบทะมึนขึ้นทุกขณะ กำลังคิดไปถึงว่าพายุในฤดูหนาวปีนี้คงจะรุนแรงอย่างยิ่ง และพวกปศุสัตว์ทั้งหลายจะทานทนกับมันได้หรือไม่
เสียงม้ากรีดร้องมาจากคอก ทำให้เธอหันขวับไปมองด้วยความแปลกใจ เจ้าม้าสีน้ำตาลปนแดงกำลังยื่นหัวออกมาจากคอกแบ่ง หูตั้งชัน สอดส่ายสายตาไปทางประตูคอกด้านหน้า และเธอก็ได้เห็น ลิว ซิมป์สัน คนงานของไร่คนหนึ่งเพิ่งจะปิดประตู คอกลงและเดินออกมา หมวกปีกกว้างที่เขาสวมอยู่หลุบต่ำลงมาทางด้านหน้า ร่างโน้มราวจะลู่ด้วยแรงลมจุดหมายปลายทางของลิวก็คือ เรือนพักคนงานหลังเก่า ซึ่งขณะนี้กำลังมีควันลอยขึ้นมาจากทางปล่องไฟ
โดยไม่ได้ตั้งใจเลย ที่สายตาของคิท กวาดไปเรื่อยๆจนในที่สุด ก็ไปหยุดอยู่ตรงอาคารหลังหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ทำการของไร่ นับตั้งแต่วันที่คิทจำความได้มาจนถึงวันนี้ เธอรู้แต่เพียงว่า ทุกคนที่เคยอยู่ในไร่แห่งนี้มาก่อนเรียกมันว่าบ้านใหญ่ มันตั้งตระหง่านอยู่เหนือยอดเนินลูกหนึ่ง ซึ่งสามารถจะมองลงมาเห็นบริเวณไร่ปศุสัตว์ทั้งหมดและทิวทัศน์โดยรอบได้โดยตลอด ไม่มีทั้งควันไฟจากปล่องและแสงไฟที่จะสาดสว่างออกมาจากหน้าต่างของตัวบ้าน ตั้งตระหง่านอยู่อย่างว่างเปล่าประตูหน้าต่างทุกบานถูกปิดใส่กลอนใส่กุญแจมานานแล้ว
ภาพที่คิทได้เห็นนั้น ทำให้เธอต้องขบฟันแน่นริมฝีปากเครียดขึ้นและเม้มสนิท สะบัดหน้ากลับ พร้อมกับเอื้อมไปกระชากประตูบ้านด้านหน้าให้เปิดออก ก้าวเข้าไปภายในพร้อมกับกระแทกประตูให้ปิดกลับเต็มแรง ถอดถุงมือหนังออกด้วยอาการกระชากกระชั้น
“นั่นแกหรือ คิทตี้ว” มีเสียงถามมาจากห้องนั่งเล่นที่อยู่เลยห้องครัวเล็กๆ ออกไป
“ใช่” เธอกระชากผ้าพันคอขนสัตว์ที่ช่วยให้ความอบอุ่นรอบลำคอกับหมวกปีกกว้างที่สวมอยู่ออก
มีเสียงฝีเท้าหนักๆ เดินเข้าไปในครัว
“วิทยุเพิ่งออกอากาศเตือน พวกชาวไร่ปศุสัตว์ เรื่องอากาศเมื่อกี้นี้เอง”
“ฉันรู้แล้วละ” คิทไม่ยอมเสียเวลามองไปทางตาขณะที่เอาผ้าพันคอแขวนไว้กับตะขอ และลงมือปลดกระดุมเสื้อปาร์ก้าออก “วันนี้ฉันบอกกับแซม แมคเคนน่าแล้ว ให้เขาเอาเครื่องบินมาหย่อนฟางแห้งไว้ให้ อากาศอย่างนี้ ลิวกับแฟรงค์คงจะบุกหิมะไปเอาไม่ได้แน่” เสียงที่พูดนั้นค่อนข้างแหบและคงจะน่าฟังกว่านี้มาก ถ้าถ้อยวาจาที่เปล่งออกมาจะไม่กระด้างจนเกินไปนัก
“เวลานี้ฉันได้แต่หวังว่าจะมีลมชีนุค ก่อนที่พายุหิมะจะมาถึงเสียจริงๆ”
“ถ้าไอ้ความหวังนั่นมันเป็นม้า..."
“โอ...ฉันรู้หรอกน่า” เสื้อปาร์ก้าถูกแขวนรวมไว้กับผ้าพันคอแล้ว ตอนที่คิทตัดบทคำพูดของตาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ เมื่อเห็นว่ากำลังจะร่ายสุภาษิตเก่าแก่ให้ฟังอีก
ตาของเธออึ้งไป แต่แล้ว ก็เอ่ยถามขึ้นอีกว่า
“แล้ววันนี้ไปรับจดหมายมาหรือเปล่า?” น้ำเสียงนั้นไม่ได้บอกความโกรธเคืองที่ถูกเธอตัดบทเอาอย่างไร้มารยาท
“อยู่ในกระเป๋าเสื้อคลุมแน่ะ”
มือข้างหนึ่งเท้ายันตัวไว้กับฝาผนัง ขณะที่คิทถอดรองเท้าที่เปียกหิมะจนขึ้นออก จากปลายหางตาเธอมองเห็นตาล้วงลงไปในกระเป๋าเสื้อปาร์ก้า... ดึงเอาไปรษณีย์ภัณฑ์ออกมา
“มีอะไรพิเศษหรือเปล่าไม่รู้วันนี้” เสียงตาพูดขึ้นป็นเชิงรำพึง
“ก็เห็นมีจุดหมายอยู่ปีกหนึ่งแล้วก็แม็กกาซีนสองสามเล่มเท่านั้นนี่” เธอตอบ ก้มลงหยิบรองเท้าวางลงบนหนังสือพิมพ์ที่ปอยู่ข้างประตู
“อย่างน้อยมันก็ยังมีอะไรให้อ่าน ถ้าเราจะต้องติดหิมะอยู่แต่ในบ้าน” เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ว เนท บอนเนอร์ก็เดินกลับเข้าไปในห้องนั่งเล่น
คำพูดประโยคนั้นก็ดูจะมีเหตุผลอยู่ คิทรู้ดีว่าในอากาศเช่นนี้ ไม่มีอะไรที่จะทำได้ นอกเสียจากจะนั่งรอเวลาให้พายุสงบลงเสียก่อน แต่คนที่ยังอยู่ในวัยเด็กนั้นย่อมไม่เหมือนกับผู้ใหญ่ที่ผ่านประสบการณ์มากมาย มองไม่เห็นความแตกต่างระหว่างสิ่งที่อาจจะเปลี่ยนแปลงและไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจนเท่า เธอจึงเพียงแต่ปรายตามองตามหลังตาอย่างหงุดหงิด ร่างซึ่งบัดนี้ มีเพียงไหล่กึ่งอคุ้มลงด้วยวัยชราที่เข้ามาเยือน ขาโก่งอย่างเห็นได้ชัด กับศีรษะที่ปกคลุมด้วยเรือนผมสีขาวโพลนราวปุยหิมะ
ความรู้สึกที่อยากจะทักท้วงกับการที่ตายอมรับทุกสภาพด้วยความสงบเรือดหายไป เมื่อเธอสังเกตเห็นท่าทางเดินที่ไม่มั่นคงในฝีเท้าของเขา มันไม่มีประโยชน์กับการที่เธอจะแสดงอารมณ์ออกไป ยิ่งกว่านั้น ตาก็ไม่ใช่เครื่องรองรับอารมณ์ของเธอด้วย
“มีกาแฟร้อนๆ ไหมนี่?” เธอร้องถามตามหลังไป
หมวกปีกกว้างสีน้ำตาลซีต เป็นสิ่งสุดท้ายที่ถูกถอดออกเผยให้เห็นเรือนผมสีน้ำตาลเข้มซึ่งถูกรวบขึ้นไว้เหนือศีรษะและบัดนี้ ได้ถูกสยายลงประไหล่ ประกายเลื่อมลายของพวงผมตัดกับ เสื้อเชิ้ตสักหลาดสีแดงสลับดำที่คิทสวมอยู่ มันเป็นเสื้อผ้าที่คิทใช้สวมใส่เฉพาะแต่ในฤดูหนาว เช่นเดียวกันกับเสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายกับกางเกงขายาว แบบผู้ชายที่คิทจะสวมในฤดูร้อน
ทุกครั้งที่ มีคนถามถึงเรื่องที่เธอชอบแต่งเนื้อแต่งตัวแบบผู้ชาย คิทจะอ้างว่าการที่เธอชอบแต่งตัวแบบนั้นก็เพราะว่าเสื้อผ้าแบบผู้ชายราคาถูกกว่าและใช้ได้ทนกว่าเสื้อผ้าแบบผู้หญิงมาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันคือเปลือกนอกอันแข็งแกร่งที่เธอใช้อำพรางตัวเองไว้ เช่นเดียวกันกับดวงตาคู่สีน้ำตาลที่เธอไม่ยอมให้ใครจ้องลึกจนสามารถจะอ่านความรู้สึกภายในได้ รวมทั้งแนวคางที่มักจะเชิดอย่างทระนงอยู่เสมอ
“กาแฟอยู่บนเตา”
แม้จะสวมถุงเท้าหนาๆ ไว้ แต่คิทก็ไม่ยอมให้ตัวเองต้องเหยียบลงบนหิมะที่กำลังละลายเป็นน้ำอยู่ เมื่อก้าวผ่านห้างโถงเล็กๆ เข้าไปในครัว และเดินไปยังเตาแก๊ส ซึ่งก็เช่นเดียวกับเครื่องเรือนทุกชิ้นที่มีอยู่ในบ้านเล็กๆ หลังนี้ที่เก่าคร่ำคร่าเต็มที หม้อต้มกาแฟซึ่งก็มีความเก่าทัดเทียมกันตั้งอยู่บนเตานั้น คิทเอานิ้วแตะลงข้างหม้อก่อนที่จะเอื้อมไปเปิดประตูตู้เก็บของที่ตั้งอยู่ใกล้
“เอาสักถ้วยไหมล่ะ เนท?” เธอร้องถาม
มีความเงียบเกิดขึ้นเป็นครู่ ก่อนที่เขาจะตอบคำถามของหลานสาว
“ไม่เอาหรอก ขอบใจ”
เรียงอยู่เป็นชุด แต่เอื้อมไปหยิบถ้วยดินเผาใบเก่าแก่ออกมาแทน ถ้วยกาแฟกับจานรองเหล่านั้นเขรอะไปด้วยคราบฝุ่นคิทไม่สนใจกับถ้วยกาแฟพร้อมจานรองที่ตั้งรายเพราะไม่เคยถูกนำออกมาใช้เลย นอกเสียจากจะเอาออกมาเช็ดเป็นบางครั้งบางคราวที่คิทมีเวลาพอที่จะทำความสะอาดบ้าน หลังจากที่ยายของเธอได้เสียชีวิตไปในระยะสี่ปีที่ผ่านมา
และนับแต่วาระนั้นเป็นต้นมา ตาของเธอก็เริ่มร่วงโรยตามเป็นลำดับ ความกระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวาจางหายไปจนหมดสิ้น ไม่เหลือแม้แต่กำลังใจ เมื่อครั้งที่คิทยังเป็นเด็กนั้นเธอมีความคิดว่าตาช่างเป็นบุคคลที่ไม่รู้จักแก่เอาเสียเลย แต่แล้วเธอก็ต้องเฝ้ามองดูท่านชราลง และกลายเป็นปูชนียบุคคลของไร่ปศุสัตว์ที่มีชื่อว่าฟลายอิ้ง อีเกิ้ล แรนซ์ แห่งนี้ ซึ่งเคยปลุกให้มันมีชีวิตขึ้นด้วยน้ำมือของเขาเอง แต่ทว่า เมื่อมาถึงวันนี้ คิทกลับเป็นผู้ที่จะต้องออกคำสั่งและจะต้องมั่นใจว่าคำสั่งที่บัญชาออกไปนั้นได้รับการสนองตอบอย่างดี
ไม่มีใครเคยมาแต่งตั้งให้เธอรับหน้าที่นี้ไม่ใช่เพราะเห็นว่าเธอเป็นผู้หญิง และไม่ใช่เพราะว่าเธอยังเป็นเด็กอยู่เพราะอย่างน้อยเมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีที่ผ่านมา คิทก็อายุเต็มยี่สิบเอ็ดแล้ว แต่การที่ทุกคนยอมรับเธอนั้นก็เพียงเพราะว่ามันเป็นความยุติธรรมอย่างที่สุดในสถานการณ์ที่จะต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า