บทที่ 2
ภายในห้องนั่งเล่นนั้น ตาของเธอนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกแบบสมัยเก่า ศีรษะหงายขึ้นขณะที่สายตาเพ่งลอดแว่นสายตาที่ติดอยู่บนดั้งจมูก ตะเกียงสำหรับอ่านหนังสือที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างตัว สาดแสงเป็นวงกลมลงบนจดหมายฉบับที่เขากำลังตั้งหน้าตั้งตาอ่าน
เก้าอี้แบบเดียวกันกับที่เขานั่งอยู่นั้น ตั้งขนานอยู่คั่นด้วยโต๊ะเล็กตรงกลาง เบาะที่รองรับเริ่มขาดยุ่ย คิทเดินถือถ้วยกาแฟไปทรุดตัวลงนั่งยังเก้าอี้ตัวนั้น ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นเก้าอี้ที่ยายนั่งอยู่เป็นประจำ แต่บัดนี้ คิทจะนั่งแทน เนื่องจากไม่อยากจะทิ้งให้มันว่างอยู่เปล่าๆ ซึ่งเท่ากับเป็นการเตือนใจตาให้รำลึกนึกถึงการสูญเสียภรรยาสุดที่รักไปโดยไม่เข้าการ
เธอพาดขาที่สวมถุงลงบนเชิงรองรับ เอนหลังลงพิงพนักมันไว้ ดวงตาจับจ้องอยู่กับเปลวไฟที่แลบเลียอยู่กับท่อนไม้ในเตาผิง ท่อนไม้ที่คุอยู่ในเตาผิงนั้นช่วยให้ความอบอุ่นแก่บ้านหลังน้อยนี้ได้อย่างดี โดยเฉพาะในฤดูหนาว ในวันที่สายลมพัดแรง ซึ่งน้อยวันนักที่แผ่นดินดาโกต้าแห่งนี้จะไม่มีวันเช่นนั้น และทำให้คิทรู้สึกผ่อนคลายลงมาก
เธอยกถ้วยดินเผาซึ่งใส่กาแฟไว้ขึ้นจรดปาก จิบกาแฟดำ ค่อนข้างขมอย่างเต็มใจ มีความรู้สึกถึงความร้อนที่เลื่อนไหลลงไปตามลำคอ ดวงตาจับอยู่ที่รองเท้าแบบโคบาลเก่าๆที่ตาสวมอยู่ ส้นรองเท้าพาดอยู่กับเชิงรองรับ ตรงที่เคยติดสเปอร์ไว้เห็นเป็นรอยด่างดำ เกือบจะสองปีแล้วกระมังที่ตาเลิกขี่ม้า หรือที่ถูก ตาแทบจะไม่ได้ออกจากไร่ไปไหนเลย นอกจากครั้งที่จะเข้าเมือง
บางครั้งเมื่อเธอมองลึกลงไปในดวงตาของเขา คิทมีความรู้สึกราวกับว่าเธอกำลังมองดวงตาของเด็กที่หลงทาง...เนทผู้น่าสงสาร...คิทนึกอยู่ในใจ ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ตาผจญกับงานหนักมาตลอด เสียสละในทุกสิ่งที่ชีวิตต้องการ และแม้แต่ศักดิ์ศรีของตนเอง เพียงเพื่อจะได้ให้ในสิ่งที่เขาคิดว่าดีที่สุดแก่ครอบครัว แววในดวงตาของเธอเปี่ยมไปด้วยเห็นใจ เมื่อเงยหน้าขึ้นมองดูเขา แต่ดูเหมือนเนทจะยังตั้งอกตั้งใจอยู่กับจดหมายในมือมากกว่า
“จดหมายจากใครน่ะ ตา?” คิทเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่ตั้งใจพร้อมกับยกถ้วยกาแฟขึ้นจรดริมฝีปากเนทกระแอมเบาๆ ก่อนที่จะตอบคำถามของหลานสาว
“จากท่านบารอนคนใหม่” ทันทีที่ได้รับคำตอบนั้นใบหน้ารูปคลาสสิคของเธอก็เครียดเคร่งขึ้นราวกับมีหน้ากากมาสวมไว้ นิ้วที่จับหูถ้วยอยู่กระชับแน่นเข้า
“แกอยากจะอ่านเองไหมล่ะ?”
“ไม่” เธอวางถ้วยที่ถืออยู่ในมือลง น้ำกาแฟกระฉอกขึ้นมารดลงผ้าปูโต๊ะที่ถักด้วยโครเชต์ คิทผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ทันที “เห็นจะต้องเติมพื้นใส่เตาผิงสักหน่อย” เธอบอกพร้อมกับเดินไปยังลังใส่ไม้ ความเงียบที่เนิ่นนานติดตามมาถ้าจะมีเสียงก็เพียงความเคลื่อนไหวจากเธอ เมื่อเติมพื้นเรียบร้อยแล้ว คิทจึงได้เอ่ยขึ้นอย่างเอาใจตาว่า “ฉันไม่จำเป็นต้องอ่านเองหรอก ตาเล่าให้ฉันฟังก็แล้วกันว่าเขาเขียนมาว่ายังไง”
เธอยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าเตาผิง ในมือถือเหล็กเขียไฟไว้ แม้ท่าทางของคิทจะคล้ายกับว่าเธอไม่สนใจเท่าไรนักแต่ก็ยังอยากจะรู้อยู่ดี
“มันก็เริ่มต้นด้วยการขอบใจเรา ที่แสดงความเสียใจที่ท่านบารอนคนเก่าถึงแก่กรรมลง แล้วก็...”
“เสียใจ?” คิทขึ้นเสียงสูง ตวัดสายตามองหน้าตาอย่างจะตัดพ้อ “หมายความว่าตาส่งการ์ดแสดงความเสียใจไปให้เขาด้วยงั้นเรอะ...?”
ดวงตาคู่สีน้ำตาลอ่อนโรยมองตอบเธอ ใบหน้าของเนท บอนเนอร์ เป็นสีน้ำตาลคล้ำด้วยกร้านแดดกร้านลม
มาตลอดชีวิต แววในดวงตาคู่นั้นเหมือนจะขอความเข้าใจจากหลานสาว
“ตาจำเป็นต้องทำอะไรสักอย่างให้เขารู้นะว่าเราได้รับทราบเรื่องการถึงแก่กรรมของท่านบารอนแล้ว และในฐานะผู้จัดการตาก็ส่งการ์ดในนามของ ฟลายอิ้ง อีเกิ้ล แรนช์โปให้เขา”
คิทเบือนหน้ากลับไปทางเตาผิง น้ำตาแห่งความเจ็บใจคลอคลองอยู่ในเบ้า
“ฉันละ อยากจะแช่งให้เขา ตกนรกหมกไหม้ จริงๆเลย” เธอพูดเสียงหนัก
“คิดตี้” น้ำเสียงของเนท บอนเนอร์ บอกความตกใจอยู่ไม่น้อย มันแฝงความร้าวรานอยู่เช่นกัน
เธอใช้เหล็กเขียไฟ กระทุ่งกระแทกอยู่กับท่อนไม้ในเตา ควันลอยกรุ่นขึ้นทางปล่อง “ก็แล้วนายบารอนคนใหม่เขาว่ายังไงบ้างล่ะ?”
เธอพยายามกล้ำกลืนความรู้สึก จงเกลียดจงชังลงไปไว้อย่างยากเย็น ด้วยไม่ต้องการจะทำให้ตาต้องสะเทือนใจมากไปกว่านั้น เพราะถึงอย่างไร ตาก็ทำลงไปด้วยความตั้งใจดี
ตาของเธอถอนหายใจออกมาเบาๆ อึ้งไปเป็นครู่ก่อนที่จะพูดต่อว่า
“เขาก็แสดงความยินดีในความจงรักภักดีของเราและหวังว่า เราจะคงความรู้สึกเช่นนี้ไว้ต่อไปในวันข้างหน้าเท่านั้น”
“หรือจะพูดอีกวิธีหนึ่งก็คือ จงส่งรายได้ของไร่ปศุสัตว์นี่ไปยังเจ้านายชาวอังกฤษคนนั้น เหมือนที่ทำมาแล้ว เพื่อที่ว่าท่านบารอนคนใหม่จะได้ใช้ชีวิตอย่างผาสุกสนุกสนานต่อไปเรื่อยๆ...” เป็นวาจาที่เชือดเฉือนซึ่งพลั้งปากออกมามันแฝงความเหยียดหยันและเจ็บใจอยู่มาก “ขอให้มันฉิบหาย...ตายห่า...”
“แคทเธอรีน อลิซาเบธ บอนเนอร์...” การเรียกชื่อเต็มของเธอบอกให้รู้ว่า เนทซิงซังวาจาที่เธอกำลังกล่าวออกมามากเช่นไร และเขารู้สึกผิดหวังมากที่เธอใช้คำพูดเช่นนี้ “มาร์ยาคงจะนอนสะดุ้งอยู่ในหลุมแน่ ถ้าได้ยินวาจาอย่างนั้นหลุดออกมาจากปากของหลานสาว”
“ค่ะ...คุณตา” คิทกระแทกเสียงอย่างประชดประชัน
และคำพูดประโยคนั้น ก็เรียกเสียงถอนหายใจจากตาออกมาอีกครั้ง พร้อมกับเสียงพับกระดาษจดหมาย
“ท่านบารอนบอกมาด้วยว่า ท่านหวังที่จะได้มาเยี่ยมไร่ในเร็ววันนี้” เนทสรุป
คิทรู้สึกเย็นเยือกขึ้นมาจนชาไปทั้งตัว
“ทำไม ตาคิดว่าเขาจะมายังงั้นรึ?”
มันเป็นความจริงอยู่ที่ว่า บารอนคนใหม่น่าจะอยากเห็นสิ่งที่เป็นมรดกตกทอดมาถึงเขาบ้าง อาจจะอยากเห็นว่ามันใหญ่โตสักแค่ไหน และมีมูลค่าสักเท่าใด หรืออีกนัยหนึ่งเขาจะได้ประเมินได้ว่า ควรจะได้รายงานและเงินที่ส่งไปให้เป็นประจำทุกเดือนสักเท่าไรกันแน่ และคิทก็แน่ใจว่ามันจะต้อง
เป็นอย่างนั้น
“ก็คิดว่าเราจะต้องดูกันไปก่อนนะ” เนท บอนเนอร์สอดจดหมายฉบับนั้นกลับลงในซอง และลงมือเลือกกองไปรษณีย์ภัณฑ์ต่อ
คิทเลื่อนตัวขึ้นนั่งยองๆ จ้องมองเปลวไฟที่กำลังแลบเลียอยู่ตรงหน้า ไม่มีส่วนใดในร่างกายที่จะไม่ได้ถูกเพลิงแห่งโทสะแลบเลียแผดเผา มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับศักดิ์ศรีซึ่งไม่เคยได้รับความยุติธรรมมาชั่วชีวิต
การที่เจ้าของไร่ปศุสัตว์ในภาคตะวันตกจะไม่เยี่ยมกรายเข้ามาดูทรัพย์สินของตนเองเลยนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติธรรมดาแต่อย่างใด แต่สำหรับการที่เจ้าของซึ่งเป็นชาวยุโรปจะไม่ปรากฏตัวเลยนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ใช่ธรรมดาแน่เพราะปกติแล้วมันมักจะไม่ค่อยเป็นเช่นนั้น ครั้งที่ชาวอเมริกันบุกเบิกเข้ามาตั้งรกรากและหาที่ทำกินในภาคตะวันตกนั้น ผืนแผ่นดิน อัน
กว้างใหญ่ไพศาลส่วนใหญ่มักจะตกอยู่ในมือของเศรษฐีผู้มั่งคั่งชาวยุโรปเสียเป็นส่วนมาก แต่ต่อมา เมื่อมีสงครามเกิดขึ้นหลายครั้งหลายหน กอปรกับสภาวะทางด้านเศรษฐกิจของชาวอเมริกันทำให้สภาพต่างๆ ถูกแปรเปลี่ยนไป
บารอน เอ็ดมันส์ คนแรกได้เดินทางมาถึงนอร์ธดาโกต้านี้เมื่อปี ค.ศ.1880 แน่นอนที่เขาจะต้องได้ยินเรื่องราวการสร้างอาณาจักรที่เท่ากับสร้างเกียรติยศชื่อเสียงให้แก่ มาควิสเดอ มอเรส และแล้วการเปรียบเทียบในการใช้ชีวิตระหว่างมาควิสชาวฝรั่งเศส กับ บารอนชาวอังกฤษก็ได้เริ่มขึ้นตรงจุดนี้ คือเมื่อบารอนบังเกิดความชื่นชมในความไม่มีชั้นวรรณะของชาวอเมริกันที่อยู่ในท้องถิ่น ดังนั้น ในไร่ปศุสัตว์แห่งนี้จึงไม่มีงานเลี้ยงรับรองใดๆทั้งสิ้น ไม่มีงานราตรีที่แต่งกายแบบแฟนซี ไม่มีคณะที่ออกป่าล่าสัตว์กันอยู่อย่างกรูเกรียว บารอนหนุ่มทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับคนงานทุกคนที่เขาจ้างเข้ามาและพยายามที่จะทำตัวเป็นคนหนึ่งในพวกเขาด้วย