บทที่ 3
ในฤดูหนาวปี 1886 จนถึง 1887 ความวิบัติได้บังเกิดขึ้น สร้างความกระทบกระเทือนให้แก่เขาอย่างรุนแรงเช่นเดียวกันกับเจ้าของไร่ปศุสัตว์คนอื่นๆ ที่อยู่ในละแวกเดียวกันเนื่องจากเขาไม่ได้ใช้ชีวิตหรูหราเช่นที่มาควิส เดอ มอเรสกระทำอยู่ เขาจึงไม่ยอมท้อถอย แต่กลับสร้างเสริมไร่ปศุสัตว์ให้เจริญยิ่งขึ้น เมื่อจัดการเรื่องทุกสิ่งทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยลงแล้ว บารอนหนุ่มก็เดินทางกลับประเทศอังกฤษเพื่อเยี่ยมเยียนมารดา ที่กำลังเจ็บอยู่ และเมื่อเขากลับมาในอีกหนึ่งปีหลังจากนั้น เขาก็พาภรรยาสาวสวยมาด้วย เพียงแต่ว่าเจ้าสาวของเขาได้แสดงออกอย่างเด่นชัดว่า เธอไม่สามารถจะทำตัวให้คุ้นชินกับชีวิตในแผ่นดินใหม่แบบที่เขาทำอยู่ได้
ภรรยาของเขาไม่เห็นด้วยกับการที่จะมาใช้ชีวิตลำบากตรากตรำเช่นนี้ ภายในปีนั้นเอง เมื่อเธอตั้งครรภ์ขึ้นบารอนกับภรรยาจึงเดินทางกลับบ้านเกิดเมืองนอนเพื่อให้ทายาทได้ถือกำเนิดขึ้นที่นั่น พร้อมด้วยคำมั่นที่ว่าเขาจะกลับ
มาอีก เพียงแต่ว่า นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขาไม่ได้เหยียบย่างมาที่ไร่ ฟลายอิ้ง อีเกิ้ล แรนช์นี้อีกเลย
ในตอนต้นปีนั้นเอง เด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า เจมส์บอนเนอร์ ก็ได้สมัครเข้าทำงานที่ไร่ปศุสัตว์แห่งนี้ในฤดูตอนต้น และอยู่ไปจนกระทั่งถึงฤดูหนาว อีกสิบปีต่อมาเขาก็ยังคงอยู่กับไร่ปศุสัตว์แห่งนี้กับผู้หญิงซึ่งเป็นเจ้าสาวของเขา และตระกูลบอนเนอร์ก็ได้อยู่มาอีกถึงสามชั่วคน จนถึงเนท บอนเนอร์ ลูกสาวของเขา และมาถึงคิท ซึ่งสำหรับคิทนั้นเธอรักไร่ปศุสัตว์แห่งนี้อย่างเป็นชีวิตจิตใจ และดูแลรักษามันราวเป็นของตัวเอง
แต่ในระหว่างเวลานั้น จะมีก็เพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่ทายาทอันถูกต้องตามกฎหมายของบารอนได้เดินทางมาเยี่ยมเยียนไร่ปศุสัตว์แห่งนี้ และเขาเป็นหลายชายของบารอนคนแรกนั่นเอง คิทเคยได้ยินทั้งตาและยายเล่าเรื่องนี้ให้ฟังหลายครั้งหลายคราวด้วยกัน ว่าบารอนผู้นั้นก็ได้ตายลงแล้ว และได้ยกทรัพย์สินมรดกทั้งหมดให้แก่ทายาทที่เป็นชายต่อๆ กันมาซึ่งทำให้คิทรู้สึกโกรธแค้นในความไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้นในครั้งหนก
“แล้วนี่จะกินอะไรกันล่ะ?” เสียงตาเอ่ยทำลายภวังค์แห่งความคิดลง
คิทยึดร่างขึ้นช้าๆ ระบายลมหายใจออกมา
“มีบีฟ สตูว์อยู่ในตู้เย็น เดี๋ยวฉันจะอุ่นให้”
“ทำขนมปังแบบที่มาร์ธา เคยทำมากินกันหน่อยไม่ดีหรือ?” เนทเสนอแนะ
“ก็ได้” เธอรับคำอย่างไม่กระตือรือร้นนัก
แม้ว่าท้องจะร้องว่าหิว แต่ดูเหมือนอาหารที่คิท กลืนๆเข้าไปก็ออกจะไร้รสชาติเต็มที่ ขณะที่เธอเดินกลับเข้าไปในครัวนั้น เธอก็ได้เห็นเกล็ดหิมะที่เริ่มโปรยปรายลงมาภายนอกหน้าต่างกระจกแล้ว คิทได้แต่หวังว่า... พายุหิมะในเดือนกุมภาพันธ์เช่นนี้ จะไม่ยังความเสียหายรุนแรงเท่าที่มันเคยทำมาเมื่อเดือนมกราคมที่แล้วเท่านั้น
และแล้ว ฤดูหนาวก็ผ่านไป ฤดูใบไม้ผลิมาถึงตามเวลา ความเสียหายเกี่ยวกับลูกวัวที่เพิ่งแรกเกิดเป็นไปในระดับปกติ และปีนั้นก็สิ้นสุดลงด้วยการเริ่มต้นที่ดี
คิทนั่งตัวตรงอยู่บนหลังม้าหน้าด่าง ขนสีน้ำตาลเข้มขนสั้นๆ หยิกขยุยของมันที่งอกขึ้นเมื่อตอนฤดูหนาวยังคงแทรกอยู่ตามขนแข็งทั่วตัว มันเป็นยามบ่ายของเดือนพฤษภาคมที่อากาศค่อนข้างเย็น ลมเหนือที่เย็นยะเยือกพัดพลิ้วอยู่ตลอดเวลา มันปะทะอยู่กับใบหน้าจนคิทรู้สึกได้ถึงฝุ่นละอองที่พลัดเข้าไปในปาก
หมวกปีกกว้างสีน้ำตาลซีดถูกดึงหลุบลงมาปิดบังใบหน้าไว้เพื่อไม่ให้มันถูกลมพัดปลิวไป และเช่นที่เคยเป็นมาเรือนผมสีน้ำตาลเข้มแกมทองถูกตลบขึ้นไว้เหนือศีรษะและซ่อนอยู่ใต้หมวก เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีเขียวสลับลายด้วยสีทองช่วยให้ความอบอุ่นและป้องกันอากาศที่เย็นเยือกได้มาก เช่นเดียวกันกับเสื้อกักที่รูดซิปขึ้นมาถึงคอ ถุงมือหนังช่วยปิดบังฝ่ามือที่กระชับอยู่กับสายบังเหียน เรือนร่างของเธอแบบบางนัก เหมือนเด็กหนุ่ม โดยเฉพาะเมื่อเธอสวมกางเกงยีนส์สีซีดกับรองเท้าแบบโคบาลที่ค่อนข้างเก่า
เธอกำลังไล่สายตาไปตามแนวรั้วที่กั้นอาณาเขตไว้พูดพึมพำอยู่กับม้าที่กำลังขอยู่ว่า
“สาบานได้เลยนะ เรโน ว่าฉันยังไม่เห็นรั้วตรงไหนมันเป็นรูโหว่เลยสักช่องเดียว”
แต่แม่วัวหกตัวกับลูกของมันกำลังกัดกินหญ้าอ่อนอยู่ทางอีกฟากหนึ่งของแนวรั้ว ซึ่งเกือบจะถึงเส้นทางที่ลงลูกรังไว้ ซึ่งนั่นเป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นอย่างแน่ชัดว่าจะต้องมีช่องทางตรงไหนสักแห่งที่เป็นช่องให้เจ้าสัตว์พวกนี้ลอดออกไปได้เธอรีบลงจากม้า เอาสายบังเหียนคล้องเข้ากับเสาหลักถึงคีมปากนกแก้วออกมาจากถุงข้างอาน
“ในตอนแรกนี่นะ...” เธอดึงสายยูที่เป็นห่วงสำหรับรั้งลวดหนามให้ซึ่งเป็นแนวตรงติดอยู่กับเสาออก “เราจะต้องต้อนไอ้วัวพวกนั้นให้มันกลับเข้าที่เสียก่อนที่จะถูกรถชนตาย หลังจากนั้นแล้วค่อยหาดูสิว่า รั้วมันพังตรงไหน”
เมื่อปลดลวดหนามสามชั้นลงได้แล้ว คิทก็เก็บคีมปากนกแก้วเข้าที่ กลับขึ้นม้าและควบให้มันกระโดดข้ามรั้วหนามเตี้ยๆ ออกไป ฝูงแม่วัวชูคอขึ้นขณะที่เธอวิ่งม้าวนเป็นรูปวงกลมต้อนให้มันกลับเข้าสู่บริเวณที่ดินของไร่ วัวแองกัสสีดำตัวหนึ่งเพิ่งตามอง พร้อมกับวิ่งกระโจนลงในคูน้ำมุ่งหน้าไปทางอื่นเสีย
“แกนะ...ยายเฒ่า” คิทด่าออกมาพร้อมกับกระตุ้นบังเหียนให้ม้าวิ่งไปขวางหน้ามันไว้เพื่อต้อนกลับ “ฉันน่ะรู้แล้วละว่าแกมันนำดีนัก จะอยู่กับที่ไม่เป็นมั่งหรือไงหา...? คอยแต่จะหาช่องทางลอดออกมาเรื่อยเลย”
เมื่อเส้นทางที่จะวิ่งหนีถูกขวางหน้าไว้ เจ้าแองกัสก็วิ่งเข้าไปรวมกลุ่มกับแม่วัวตัวอื่นๆ และวิ่งชิงกันเข้าไปยังลวดหนามที่ถูกตัดลงจนเตี้ยจดพื้น ซึ่งแน่นอนที่แองกัสจะต้องเป็นตัวนำในขณะที่ตัวอื่นๆ วิ่งตามมันไปทุกตัวเข้าไปอยู่ในอีกฟากหนึ่งตามที่คิทต้องการแล้ว และเพิ่งจ้องมองดูคิทที่กำลังขี่ม้าสีน้ำตาลเข้ม กระโจนข้ามลวดหนามเข้ามา ก่อนที่จะรั้งสายยูให้ลวดหนามกลับคืนเข้าที่
เธอตอกย้ำให้ลวดหนามตรึงแน่นเข้ากับเสาอีกครั้งหลังจากนั้น จึงได้หันไปทำตาเขียวใส่เจ้าตัวที่นำฝูงออกมา
“แกคอยดูนะ ฉันน่ะไม่มีวันที่จะวิ่งไล่แกไปตลอดฤดูร้อนหรอก ถ้าแกขึ้นทำยังงี้อีกครั้งละก้อ ฉันจะขายแกเสียให้รู้แล้วรู้รอดเลย”
เจ้าวัวตัวอื่นๆ ผละจากบริเวณนั้นไปหมดแล้วเหลือเจ้าแองกัสอยู่อีกเพียงตัวเดียวที่รออยู่ จนกระทั่ง เมื่อรั้วเข้าที่เข้าทางเรียบร้อยและคิทขึ้นมาแล้ว มันจึงได้หันหลังกลับแต่ถึงอย่างไรปัญหาของเธอก็ยังมีอยู่คือจะต้องหาช่องโหว่ ซึ่งเป็นช่องที่แองกัสพาพวกมุดลอดออกไปในครั้งแรกให้ได้ ซึ่งนั่นหมายความว่า เธอจะต้องขี่ม้าตรวจไปทุกตารางนิ้วของแนวรั้ว เพราะถ้าหาไม่พบและซ่อมเสียใหม่ไม่ทัน ไม่ช้าไม่นานพวกวัวก็จะต้องออกไปนอกรั้วกันอีกจนได้
การที่จะขี่ม้าตรวจแนวรั้ว เพื่อหาเพียงช่องทางเล็กๆนั้นเป็นงานที่น่าเบื่ออย่างที่สุด แต่ก็เป็นเรื่องจำเป็นอย่างที่สุดเหมือนกัน คิทเดินม้าช้าๆ เลาะเลียบไปตามแนวรั้วที่ขึงไว้ด้วยลวดหนามขึ้นๆ ลงๆ อยู่กับเนินเขาลูกแล้วลูกเล่า สอดสายตาหาจุดที่ว่านั้นอยู่ตลอดเวลา เธออาจจะมองหาไม่เห็นก็ได้ถ้าตรงช่องนั้นจะไม่มีขนสีดำติดอยู่กับลวดหนาม
แต่กระนั้น ตรงจุดดังกล่าวก็ดูเรียบร้อยดี เมื่อคิทใช้มือที่สวมถุงไว้ดึงลวดหนามชั้นแรกลง เธอก็รู้ว่าจริงๆ แล้วมันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย เสาตรงนั้นเป็นเสาไม้ซึ่งตรงที่อยู่ติดกับดินขาดออก และสามารถจะหยิบยกขึ้นบนดินได้อย่างง่าย
ดาย ทั้งลวดหนามทั้งเสาและทุกสิ่งทุกอย่างที่เดียว การซ่อมแซมของเธอในวันนี้จะเป็นไปเพื่อประทั่งมันไว้ชั่วคราวเท่านั้นแต่ก็บอกกับตัวเองไว้ว่าตรงจุดนี้จะต้องหาเสาเหล็กมาตั้งแทนแน่
การที่เธอขี่ม้าตรวจแนวรั้วทำให้เธอเข้ามาเกือบจะถึงซอยเล็กๆ ที่ตัดแยกมาจากถนนลูกรัง ซึ่งเป็นทางอ้อมเข้าสู่ไร่ปศุสัตว์ทางด้านหลัง พื้นดินในบริเวณนั้นเป็นที่เรียบแสงอาทิตย์ที่ส่องลงกระทบกับโลหะบางอย่างเป็นประกายมาเข้าตา