บท
ตั้งค่า

บทที่ 4

        มีรถคันหนึ่งจอดอยู่ห่างจากตรงที่เธอยืนม้า...ประมาณครึ่งไมล์ เหนือประตูทางเข้าออกไป คิทรั้งสายบังเหียนบังคับม้าให้หยุดลงและจ้องมองไปทางนั้น ในตอนแรก เธอคิดว่าเป็นรถของเพื่อนบ้าน แต่ดูเหมือนรถคันนี้จะแปลกตาไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งเป็นที่ชี้ชัดว่าจะต้องเป็นรถของคนแปลกหน้าแน่ อาจจะเป็นคนที่มาถามหาทางหรือไม่ก็คงจะเป็นพวกนักทัศนาจรแน่

        อันที่จริงไร่ปศุสัตว์แห่งนี้ก็ไม่ได้มีป้ายติดบอกไว้ว่าใครเป็นเจ้าของ มันเป็นนโยบายที่ยึดถือกันมาก่อนที่คิทจะเกิดเสียด้วยซ้ำ แต่การถือสิทธิในที่ดินยังคงมีอยู่และได้รับการระมัดระวังอย่างดียิ่ง คนคนนั้นจะเป็นใครก็ตาม คิทแน่ใจว่าเขาจะต้องมีเหตุผลในการบุกรุกเข้ามาในบริเวณนี้

        เธอชักม้าให้หันไปทางทิศที่รถคันนั้นจอดอยู่ กระแทกสเปอร์เข้ากับสีข้างของมันเพื่อให้ม้าออกวิ่งตรงไปข้างหน้า ผู้ชายคนหนึ่งหยุดยืนตรงหน้ารถ แต่กำลังมองไปในทิศทางตรงกันข้ามเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าม้าของคิทที่วิ่งใกล้เข้ามา เขาก็เบือนหน้ามามองและหยุดคอยอยู่

        เธอหยุดม้าลง ห่างจากรถคันนั้นไม่กี่ฟุต และพิจารณาคนที่เป็นเจ้าของอยู่ หน้าตาท่าทางของเขาบอกว่าเป็นคนแปลกหน้าจริงๆ คิทไม่เคยเห็นเขามาก่อน รูปร่างผอมเพรียวสูงสง่าเขาสวมเสื้อแจ๊คเก็ตมีแผ่นหนังปะอยู่ตรงข้อศอก ไหล่ฝั่ง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเป็นประกายเบือนมาจ้องหน้าเธออยู่ แววในดวงตาคู่นั้นสำแดงความจองหองอยู่ไม่น้อย ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับคิทเป็นอย่างยิ่ง และเจ้าม้าสีน้ำตาลตัวที่เธอขี่อยู่ก็ดูเหมือนจะสัมผัสกับความตึงเครียดที่กำลังเกิดขึ้นกับนายของมันเพราะมันเองก็กำลังกระทืบเท้าอยู่ไปมาอย่างหงุดหงิด

        “คุณมองหาอะไรเหรอ?” น้ำเสียงแหบๆ ของเธอเปล่งคำถามออกไปอย่างท้าทาย ไม่ได้แฝงความเป็นมิตรไว้เลยแม้แต่น้อย แม้ว่าจะทอดหางเสียงให้สุภาพก็ตาม

        “กำลังจะมองหาว่าไร่ฟลายอิ้ง อีเกิ้ลตั้งอยู่ตรงไหน”เขาตอบเธอด้วยเสียงทุ้มนุ่มนวล แต่เป็นสำเนียงอเมริกันอย่างชัดเจน

        คิท ตวัดสายตามองไปตามทิศทางที่เขาเพิ่งละสายตามา

        “ไม่ได้ตั้งอยู่ตรงนั้นหรอก” เธอตอบสั้นๆ

        ริมฝีปากของเขาเหยียดยิ้มออกมาอย่างชาเย็น ก่อให้เกิดแนวย่นจากปลายจมูกลงมาถึงขอบริมฝีปาก ใบหน้าของเขาเป็นใบหน้าของชายชาตรี นับแต่หน้าผากที่ค่อนข้างกว้าง

บอกความเฉลียวฉลาด จนถึงจมูกที่เป็นสันและสันคางที่อื่นออกมาเล็กน้อย สายลมเย็นพัดต้องเรือนผมสีน้ำตาลเข้มจนปรกลงมาอยู่บนหน้าผาก

        “ผมกำลังมองดูตราที่ประทับอยู่ข้างตัววัวพวกนั้น” เขาอธิบายด้วยน้ำเสียงแกมขัน “เพราะไม่เห็นมีป้ายบอกตรงหน้าประตูทางเข้านี่”

        “อ๋อ...ไม่มีหรอก” คิทตอบ แต่รู้สึกหมั่นใส้ในกิริยาท่าทางของเขามากกว่า “คุณเป็นพวกขายของหรือไง?”

        “เปล่า”

        “การที่เขาไม่ได้ปิดป้ายไว้ตรงหน้าประตูทางเข้าก็เพราะว่าไร่ฟลายอิ้ง อี เกิ้ลนี่ ไม่ได้เปิดให้ใครเข้ามาชมและขณะนี้ คุณก็กำลังบุกรุกเข้ามาในที่ดินส่วนตัว ตรงกลางซอยนี่ประมาณสักครึ่งไมล์จะมีทางกลับรถได้ ใช้มันให้เป็นประโยชน์สิ”

        ดวงตาของเขาหรี่ลงทันที แต่ขณะเดียวกัน ประกายของมันก็เจิดจ้าขึ้นอย่างที่คิทไม่เข้าใจ แต่เท่าที่เธอรู้อยู่ในขณะนี้ก็คือ เธอไม่ชอบแววในดวงตาคู่นั้นนัก เพราะมันทำให้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกดูถูก ทั้งๆ ที่เธอได้รักษาสิทธิของตนอย่างเต็มที่อยู่

        “นี่คุณสั่งให้ผมออกไปจากที่นี่ยังงั้นเรอะ?” มีอะไรบางอย่างในน้ำเสียงของเขาที่คล้ายจะเตือนให้คิทต้องทบทวนมารยาทที่เธอแสดงออกไป

        “ก็คุณมีนัดกับใครไว้ที่ไร่หรือเปล่าล?” เธอย้อนถาม

        “เปล่า...ผม..”

        “ถ้างั้นฉันก็สั่งให้คุณออกไปเสียจากที่นี่” เธอขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงกระด้าง ชักบังเหียนม้าให้หลีกไปทางด้านข้าง “และฉันหวังว่าคุณคงจะไม่บังคับให้ฉันต้องเรียกนายอำเภอหรอกนะ เพราะว่าถ้าฉันทำอย่างนั้นละก้อ คุณจะไม่มีทางออกไปจากที่นี่โดยไม่ได้รับคำเตือนแน่ ฉันจะต้องทำให้คุณต้องถูกจับให้ได้”

        มีความเงียบอันตึงเครียดเกิดขึ้นเป็นครู่ ก่อนที่ผู้ชายคนนั้นจะหันหลังเดินกลับไปที่รถ ซึ่งทำให้คิทต้องอำพรางความแปลกใจของตัวเองไว้ เพราะจะด้วยเหตุผลประการใดก็ตามเธอไม่ได้คาดว่าผู้ชายคนนี้จะยอมกลัวคำขู่ของเธอง่ายๆ เพราะท่าทางของเขาไม่น่าจะเป็นคนแบบนั้นเลย แต่เป็นคนที่มีลักษณะมั่นใจในตัวเองอยู่มากเกินกว่าที่จะทำเช่นนั้นได้

        บัดนี้ เมื่อคิทไม่ได้ส่งกระแสแห่งความตึงเครียดผ่านไปยังม้าตัวที่เธอขอยู่ ม้าสีน้ำตาลเข้มตัวนั้นจึงยืนนิ่งอยู่ข้างถนนโดยมีคิทนั่งอยู่บนหลังมันด้วยท่าทางสบายใจขึ้น กลุ่มฝุ่นลอยตัวขึ้นเมื่อรถคันนั้นขับผ่านเธอไป เธอไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ารถคันนั้นมาจากที่ไหน แต่ทะเบียนที่ติดอยู่ท้ายรถบอกให้รู้ว่าไม่ใช่จากในรัฐนี้แน่

        ไม่มีเหตุผลที่จะต้องคอยยืนดู อยู่อีกต่อไปว่าเขาจะปฏิบัติตามคำสั่งของเธอหรือไม่ เวลาอันมีค่าซึ่งจะต้องใช้ให้หมดไปกับการทำงานจะต้องเสียไปโดยใช่เหตุ ถ้าเธอจะมัวแต่คอยดูอยู่ว่าเขาเลี้ยวรถตรงทางแยกที่เธอบอกหรือไม่ ซึ่งถ้าเขายังไม่ทำและยังขึ้นบุกรุกผ่านเข้าไปในบริเวณไร่แล้วละก้อ เนทกับคนงานก็จะต้องจัดการขับไล่เขาออกไปให้พ้นแน่

        เธอกระตุ้นม้าให้หันหลังกลับเดินตรงไปยังแนวรั้วเสียงฝีเท้าของมันที่แว่วมากระทบหูนั้นน่าฟังยิ่งนักโดยเฉพาะเมื่อมันเหยียบย่ำลงไปบนพื้นหญ้าหนาๆ ส่วนหนึ่งในความคำนึงของเธอกำลังพิศวงอยู่ว่า คนในเมืองคนไหนนะที่บอกให้

เขารู้ว่าไร่แห่งนี้ตั้งอยู่ที่ไหน เพราะเท่าที่เป็นมานั้น ทุกคนในละแวกนี้ต่างก็ให้ความเคารพนับถือในเรื่องนโยบายและความเป็นเอกภาพของไร่มาโดยตลอด ยิ่งกว่านั้น มันก็ยังมี ชาโต้ของท่านมาควิสที่จะเรียกความสนใจของพวกนักทัศนาจรได้อยู่และมาควิสย่อมจะต้องดีกว่าบารอนแน่

        แต่ถึงอย่างไร มันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรแล้ว อีกไม่นานผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นก็จะต้องไปตามทางของเขา ถ้าไม่ใช่จากคำสั่งของเธอก็จะต้องเป็นจากใครสักคนหนึ่ง คิทอดนึกถึงความรู้สึกเป็นปรปักษ์ที่บังเกิดขึ้นในหัวใจ ทันทีที่เห็นหน้าคนคนนี้ไม่ได้ แต่ถึงอย่างไร เธอก็ไม่อาจจะทำตัวสนิทชิดเชื้อกับคนแปลกหน้าได้อยู่แล้ว มักจะทำตัวเหินห่างจากใครๆอยู่เสมอ และไม่เคยครวญคร่ำรำพันกับการที่ไม่มีเพื่อน เพราะถึงอย่างไรก็ไม่เคยมีมาก่อนแล้ว เธอมีชีวิตเดียวดายอยู่ตามลำพังมาโดยตลอดและนั่นเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ปลอดภัยที่สุดอยู่แล้ว

        เมื่อถึงริมรั้ว เธอก็ชักบังเหียนให้ม้าเดินเลี้ยวอ้อมไปยังประตูที่อยู่ใกล้ที่สุด สายลมแรงพัดพาเอากลุ่มฝุ่นที่ลอยตัวขึ้นเบื้องหลังรถคันนั้นลงไปตามไหล่เขาอย่างรวดเร็วเธอตวัดสายตามองไปตามทิศนั้นเป็นครั้งสุดท้าย และแล้ว ก็ปัดภาพของเขาออกไปจากใจ ตั้งสมาธิอยู่กับงานที่จะต้องทำต่อไปอย่างแน่วแน่

ด้วยความเหน็ดเหนื่อยทำงานหนักมาตลอดทั้งวัน ที่คิทขี่ม้าเข้าไปในบริเวณที่ทำการของไร่ ฝีเท้าของม้าค่อนข้างเร็วหูตั้งชัน กระตือรือร้นที่จะไปให้ถึงคอกเสียเร็วๆ เพื่อที่จะได้กินอาหารเย็นของมัน แต่บังเอิญคิทเหลือบเห็นลิวซึ่งยืนอยู่ข้างบ่อน้ำเสียก่อน จึงได้ชักม้าที่ไม่ใคร่จะเต็มใจมุ่งไปทางนน

        “เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” เธอรั้งสายบังเหียนให้ม้าหยุดลงและโน้มร่างเข้าไปด้วยตาตัวเอง

        ลิว ซิมป์สัน อยู่ในวัยสี่สิบเศษ รูปร่างเตี้ยท่าทางคล่องแคล่ว หมวกปีกกว้างที่สุ่มไปด้วยเหงื่อซึ่งเขาสวมอยู่ช่วยปิดบังไม่ให้เห็นว่า ศีรษะตรงกลางกระหม่อมนั้นล้านเป็นหย่อมกว้าง ลิวทำงานอยู่กับไร่ปศุสัตว์ฟลายอิ้ง อีเกิ้ลมาตั้งแต่ก่อนที่คิทจะเกิด และเป็นที่ปรึกษาซึ่งมีประสบการณ์อย่างกว้างขวาง เป็นทั้งลุงและเพื่อนร่วมงาน และในสภาพของโคบาลนั้น เขาเป็นคนหนึ่งที่ทำงานหนักมาก

        “ปั้มมันเสีย” เขาเช็ดน้ำมันที่ติดอยู่ในฝ่ามือลงกับกางเกงยีนส์ เอื้อมไปจับฝาครอบที่ปิดมิเตอร์ไว้ “ฉันคิดว่ามันต้องหยอดน้ำมันเสียหน่อย มันก็เดินได้อีกตอนนี้ก็ดีแล้ว”

        “ดี” คิทเอนตัวกลับขึ้นนั่งบนอานตามเดิม

        “ว่าแต่แก...”

        เสียงโลหะกระทบกันอยู่ทำให้เธอต้องหันหน้าไปมองทางโรงรถ แทร็คเตอร์คันหนึ่งจอดอยู่ตรงหน้าโรงนั้น คิทมองเห็นใครคนหนึ่งกำลังก้มๆ เงยๆ อยู่ตรงล้อด้านหน้า

        “เอ๊ะ...แล้วไอ้เอช. นั่นมันเป็นอะไรไปล่ะ?” เธอถามเสียงเครียด

        “สงสัยว่าคีลต้องซ่อมมันอีกแล้วมั้ง” ลิวตอบ

        คิทสูดลมหายใจแรงอย่างไม่พอใจ สะกดกลั้นไว้เป็นครู่ก่อนที่จะออกคำสั่งว่า

        “ประมาณเกือบครึ่งไมล์ทางตะวันตกของประตูเสารั้วมันขาดจนติดดิน พรุ่งนี้ ฉันอยากจะให้ลุงเอาเสาเหล็กจากในโรงไปเปลี่ยนมันเสีย... ตอนนี้ ฉันซ่อมมันไว้ชั่วคราวแล้ว แต่อยู่ได้ไม่นานหรอก”

        และโดยไม่รอฟังคำตอบรับ เธอก็กระแทกสเปอร์ชักบังเหียนให้ม้าหันออกจากที่นั้นตรงไปยังโรงรถ สีหน้าของเธอกร้าวกระด้าง เมื่อหยุดม้าลงห่างจากร่างที่กำลังคุดคู่อยู่เพียงไม่กี่ฟุต

        “เป็นอะไรไป?” น้ำเสียงแหบๆ ของเธอเปล่งคำถามออกไปห้วนๆ

        ผู้ชายคนนั้นไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองก็จริง แต่คิทพอจะมองเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยจุดกระของเขาแดงเรื่อขึ้น

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel