บทที่ 5
คีล จอห์นสัน เป็นเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันกับคิท เป็นคนพื้นเมืองที่คิดจะยึดอาชีพในการเป็นโคบาลตลอดไป
แต่เขาก็ไม่เคยรู้ว่าม้าแต่ละตัวมีส่วนที่แตกต่างกันอย่างไร เมื่อตอนที่เข้ามาทำงานที่นี่ใหม่ๆ สักปีมาได้แล้ว แต่เขาก็ใช้ความพยายามอย่างสุดความสามารถและทำงานหนักมากในบางครั้ง มีอยู่หลายครั้งที่เขาทำงานบกพร่อง ความทระนงของคีลนั้นอยู่ตรงที่เขาเชื่อว่าตัวเองมีหัวทางเป็นช่วงเครื่อง แต่ดูเหมือนเขาจะทำให้มันเสียหายเสียมากกว่า ที่จะซ่อมแซมให้ดีขึ้น
“คิดว่าคันบังคับมันเสีย” เขาขยับตัวอย่างอึดอัด แสร้งทำเป็นว่ากำลังให้ความสนใจอยู่กับล้อรถมากกว่า “มันคงหัก”
“แล้วมันเกิดขึ้นได้ยังไงล่ะ?” คิทถามอย่างคาดคั้น
“มันกระแทกเข้ากับคันนา ฝนเมื่อคราวที่แล้วทำให้ถนนเสียหายหมด” เขาพูดอย่างแก้ตัว “ฉันกำลังจะออกไปที่ไร่ตอนที่แฟรงค์วิ่งมาบอกฉันว่า...”
“เรียกไปกินฮอทด็อกกันอีกล่ะสิ ฉันว่า” เธอระเบิดออกมา ไม่พอใจกับการที่เขาคอยหาแต่คำแก้ตัวต่างๆ นานามาอ้าง“เมื่อไหร่แกจะรู้เสียทีนะว่าแทร็คเตอร์น่ะเขาไม่ได้มีไว้สำหรับให้วิ่งแข่ง? แล้วก็จะเฆี่ยนมันอย่างม้าก็ไม่ได้ด้วย”
“ฉันรู้” เขาตอบอย่างว่าง่าย
“ฉันต้องการให้รถแทร็คเตอร์ซ่อมเสร็จในวันพรุ่งนี้” คิทกระชากเสียงสั่ง “และฉันก็ไม่สนใจด้วยถ้าแกจะต้องขับรถเข้าไปถึงบิสมาร์คหรือบิลลิ่ง เพื่อจะหาอะไหล่มาเปลี่ยนเข้าใจไหม?”
“ครับผม... คุณผู้หญิง” คีลตอบเป็นเชิงประชดแต่แววในดวงตาของเขารุ่งโรจน์ด้วยความแค้นเคือง
แต่คิทเข้าใจในเหตุผลของเขาดี แม้ว่าเธอจะเป็นคนปากร้ายก็ตาม คีลรู้สึกเสียดายศักดิ์ศรีของตัวเองที่ต้องมาได้รับคำตำหนิติเตียนจากผู้หญิง เธอพยายามสงบระงับอารมณ์ไว้ ก่อนที่จะกระตุ้นม้าให้วิ่งออกจากบริเวณนั้น
ขณะเดียวกัน ก็บอกกับตัวเองว่า ถ้าเขาขึ้นไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเธอจะต้องไล่เขาออกอย่างแน่นอน เธอจะไม่รอเวลาอยู่ดูความสามารถของเขาอีกต่อไป อำนาจในการตัดสินใจอยู่ที่เธอ และคิทจะไม่รั้งรอที่จะนำมันออกมาใช้อีกต่อไป
ขณะที่คิทเดินม้าจากมานั้น หูของเธอก็ยังแว่วเสียงบ่นพึมพำของคีลอยู่
“อยากรู้นักว่ายายนี่เป็นอะไรไป? ไม่น่าจะมาตวาดใส่กันอย่างนี้เลย ข้าไม่ได้ตั้งใจทำสักหน่อย”
ลิวคงจะเดินเข้ามาใกล้ตอนที่เธอผละจากมาเพราะเธอได้ยินเขาตอบคำถามนั้นแทนด้วย น้ำเสียงที่ไม่เบานักว่า
“เราทุกคนมันก็ต้องมีวันอารมณ์ดี อารมณ์ร้ายกันบ้างสิวะ”
“แต่รู้สึกว่ายายนี่ แกอารมณ์เสียตลอดเวลาเลยนี่หว่าไม่น่าสงสัยหรอกว่าทำไมถึงไม่มีใครเขานัดออกเที่ยวบ้างทำตัวอย่างเทพธิดาพรหมจารี แทน...”
“พอ...พอ ไอ้หนุ่ม” เสียงลิวตัดบทขึ้นในทันที
ในแวบนั้นที่คิทรู้สึกแน่นในอกขึ้นมา มันเป็นความร้าวรานกระมัง แต่เธอก็เชิดหน้าขึ้นนั่งตัวตรงอยู่บนหลังม้าที่วิ่งห่างออกไป
เธอรู้สึกเจ็บใจนัก...ให้สงสัยว่าใครกันนะที่พูดว่า...คำนินทานั้นไม่สร้างความชอกช้ำให้ มันเหมือนกับการเอามีดกรีดลงบนหินเท่านั้น แต่เวลานี้เธอได้รู้แล้วว่าคำกล่าวนั้นไม่ได้เป็นความจริงเลยจนนิดเดียว
เส้นทางที่เธอขี่ม้าตัดจากบริเวณสนามหน้าของตัวไร่ตรงไปยังคอกม้านั้น ทำให้คิทต้องผ่านไปทางระเบียงด้านหน้าของ “บ้านใหญ่” ซึ่งมีเสาต้นโตๆ ค้ำยันเพดานไว้ปีกไม้ที่ประกอบกันขึ้นเป็นผนังของตัวเรือนด้านหน้า เหมือนกับ ภาพของกระท่อมที่ใช้ในการล่าสัตว์ที่เคยเห็นในเทือกเขาร็อคกี้ ตัวอาคารที่เป็นชั้นเดียวค่อนข้างกว้างนั้น คือลักษณะของบ้านในชนบทโดยแท้ ซึ่งมีอยู่ทั่วไปในแถบถิ่นดาโกต้านี้
ปกติแล้ว คิทจะพยายามหลีกเลี่ยงไม่มองไปที่บ้านใหญ่ แต่ขณะนี้ เธอกำลังเบือนสายตามองไปทางนั้น อาจจะด้วยแรงกระตุ้นที่บังเกิดขึ้นในใจกระมัง อาทิตย์ที่กำลังคล้อยดวงลง สาดแสงสว่างไปทั่วบริเวณหน้าระเบียง เธอสามารถจะมองเห็นประตูไม้หนาหนักด้านหน้าของตัวบ้านกำลังเปิดอ้าอยู่ ซึ่งทำให้ใจประหวัดไปถึงคำพูดของเนทที่ว่าจะต้องเปิดบ้านเพื่อระบายอากาศเสียบ้างเมื่อเช้านี้ และบางทีเขาอาจจะเผอเรอจนลืมปิดประตูเสียก็ได้ เวลานี้ดูเหมือนเนทชักจะหลงลืมมากขึ้นทุกวันแล้ว
ด้วยความหงุดหงิดในอารมณ์ที่ทำให้เธอชักม้าตรงไปยังระเบียงบ้านด้านหน้า เมื่อลงจากหลังม้าแล้วคิทก็เอาสายบังเหียนผูกเข้ากับเสาหน้าบ้าน เดินขึ้นบันไดสามขั้นไปยังระเบียง เสียงสเปอร์กระทบกันอยู่เบาๆ
เสียงฝีเท้า ของเธอนึกก้องอยู่บนแผ่นกระดานที่ใช้ปูพื้น ขณะที่เดินตรงไปยังประตูมุ่งลวดเอื้อมมือไปจะปิดประตูแต่แล้ว ก็เกิดความลังเลขึ้นมา เมื่อฉุกคิดขึ้นมาในใจว่าเนทคงจะต้องเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ด้วย เธอจึงตัดสินใจเปิดประตูมุ้งลวดเข้าไปภายในแทน
เมื่อเข้าไปถึงห้องโถงทางเข้าที่กว้างใหญ่ คิทก็หยุดยืนอยู่ ต่อสู้กับกระแสแห่งความเจ็บใจและความโทมนัส
บ้านหลังนี้นำความรู้สึกเช่นนี้มาสู่เธอเสมอ สายลมเย็นที่พัดผ่านเข้ามาในตัวบ้าน ไม่สามารถจะระบายกลิ่นอับๆ ที่ติดอยู่ปลายจมูกให้หายไปได้
เมื่อก้าวเข้าไปในห้องโถงนั้นเพียงไม่กี่ก้าว คิทก็สังเกตเห็นว่าประตูห้องสมุด ซึ่งเป็นห้องทำงานไปในตัวนั้นเปิดกว้างอยู่ ประสาทสัมผัสของเธอเครียดขึ้นทันทีความไม่พอใจกระจายไปทั่วตัว และโดยไม่ตั้งใจเลยที่เธอปรายตามองไปทางประตูห้องนั้นและมองลึกเข้าไปในห้องด้วย
เตาผิงที่ก่อด้วยอิฐสีแดงตั้งอยู่ตรงผนัง ตรงข้ามกับประตูทางเข้าห้องพอดี บนพื้นเบื้องหน้าเตาผิงนั้น คือหนังหมีแห้งสีน้ำตาลที่ปูอยู่ เขี้ยวสีขาวแกมเหลืองของมันแยกแสยะในท่าคุกคาม มันเป็นของรางวัลชิ้นหนึ่งของบารอนคนแรก ซึ่งได้ออกตามล่าและสังหารมันลง เมื่อมันเข้ามารังควานฝูงปศุสัตว์และดูเหมือนมันจะเป็นหมีตัวสุดท้ายในแถบถิ่นนี้ เพราะบัดนี้ ในบริเวณอันเป็นที่ตั้งของไร่ จะมีก็แต่เสือกับหมาป่าเท่านั้นที่เข้ามารบกวน
แต่สิ่งที่คิทกำลังสนใจอยู่นั้นไม่ใช่หนังหมีที่ปูลาดอยู่เบื้องหน้าเตาผิงเลยแม้แต่น้อย ภาพวาดที่ตั้งอยู่เหนือชั้นเตาผิงนั่นสิ... แม้ว่าในห้องนี้อากาศจะสลัวลง จะมีก็แต่เพียงแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ที่สาดส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่างกระจกที่เขรอะด้วยคราบฝุ่น คิทก็ยังสามารถมองเห็นภาพใบหน้าที่วาดไว้ด้วยสีน้ำมันอย่างชัดเจน
แม้ว่าสีฟ้าซึ่งเป็นแบ็คกราวด์ของภาพวาดจะจางลง แต่ใบหน้าของผู้ชายในภาพนั้นซึ่งยังอยู่ในวัยหนุ่มก็กระจ่างชัดอยู่แก่ตา เรือนผมหยักสลวยสีน้ำตาลอ่อนปรกลงตรงหน้าผากที่เนียนเรียบ นอกเสียจากใบหน้าที่มีเค้าของความอ่อนโยนแล้วแววในดวงตาที่แฝงเลศนัยบางอย่างไว้กำลังมองตอบมายังคิทและทำให้เธอต้องเดินเลยเข้าไปในห้องราวกับถูกดึงดูดด้วยอำนาจของกระแสไฟฟ้า
นิ้วของเธอรวบรัดเข้ากับฝ่ามือ เป็นหมัดเล็กๆ ที่กำแน่น ดวงตาคู่สีน้ำตาลของเธอเปล่งประกายแห่งความเกลียดชังออกมา ขณะที่เธอมองตอบภาพหลานชายของบารอนคนแรก ความรุนแรงในอารมณ์ที่บังเกิดขึ้นทำให้เธอถึงกับตัวสั่นกล้ามเนื้อในกายตึงเครียด ไม่สนใจเลยว่า บัดนี้ เขาได้ตายไปแล้ว และเธอกำลังสำแดงความจงเกลียดจงชังอยู่กับภาพวาดของเขา
ความโกรธ ความเสียใจแผดเผาไปทั่วสรรพางค์กายมันค่อยๆ คุกรุ่นขึ้นเหมือนภูเขาไฟที่ใกล้จะระเบิดเป็นความร้อนที่รุมเร้าให้เลือดในกายระอุขึ้น ความแค้นนั้นเหลือระงับและลืมลงได้ ร่างของเธอราวถูกตรึงอยู่กับที่ มือที่กำแน่นตกอยู่ข้างตัว หยาดน้ำตาแห่งความเจ็บใจคลอคลองอยู่ในเบ้าตาคิทอยากจะให้มันหลั่งออกมาเพื่อที่จะคลายความร้าวรานในอารมณ์ที่กำลังเป็นอยู่ขณะนี้ แต่น้ำตาเจ้ากรรมก็ไม่ยอมหลั่งไหลออกมา
“คุณต้องการอะไรที่นี่ยังงั้นหรือ?”
น้ำเสียงโอหังของใครคนหนึ่งปลุกคิทให้ตื่นจากภวังค์ เธอหันขวับไปทางทิศที่มาของเสียง ดวงตาเบิกโพลงขึ้นราวกับได้รับสัญญาณอันตราย ความที่เธอตั้งสมาธิอยู่กับภาพวาดตรงหน้ามากเกินไป ทำให้มองไม่เห็นร่างของใครคนนั้นที่นั่งอยู่เบื้องหลังโต๊ะตัวยาวที่ทำด้วยไม้เนื้อแข็ง และเขาก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็นคนแปลกหน้าที่เธอได้พบตรงถนนนั่นเองคนที่เธอสั่งให้เขาออกไปเสียให้พ้นจากที่ส่วนตัว เขากำลังนั่งอยู่ในท่าสบายอารมณ์ และวางก้ามอย่างเต็มที่ ซึ่งท่าทางอย่างนั้นเปรียบเสมือนเชื้อเพลิงที่เติมเข้าในกองไฟ