บทที่ 6
เพียงชั่วพริบตาเดียว ความแปลกใจที่ได้เข้ามาแทนที่ความเคียดแค้นชิงชังที่เธอมีต่อบุรุษในรูปวาด คล้ายกับว่าเวลานี้คิทจะหาเครื่องรองรับอารมณ์แทนได้แล้ว
“เอ๊ะ...ก็ฉันสั่งให้คุณออกไปจากไร่แล้วไงล่ะ” เธอตวาดออกไปด้วยความขุ่นเคือง ที่กำลังเดือดพล่านอยู่ภายใน “แล้วคุณยังเข้ามาทำอะไรอยู่ที่นี่อีก? ใครเป็นคนอนุญาตให้คุณเข้ามา?” เธอจะถลกหนังหัวของทุกคนและของเขาเสียด้วย เพียงแต่ยังไม่มีโอกาสที่จะลงมือทำเท่านั้น
คำถามของเธอมีผลเพียงแค่ทำให้คิ้วเข้มๆ คู่นั้นเลิกขึ้นเท่านั้น แต่ไม่มีทั้งความละอายใจหรือความรู้สึกอื่นใดปรากฏขึ้นในดวงตาคู่สีน้ำตาลที่กำลังจดจ้องมองหน้าเธอเขม็งอยู่เลยแม้แต่น้อย สีหน้าของเขาเหมือนคนที่ไร้ความรู้สึก
“ไม่มีใครต้องอนุญาตให้ผมเข้ามาทั้งนั้น” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ริมฝีปากบางเฉียบเพียงแค่ขยับขึ้นลงเมื่อเปล่งเสียงออกมา และแล้ว รอยยิ้มบางๆ อย่างคนเลือดเย็นก็เผยให้เห็นเพียงแค่ไรฟันขาวสะอาด ซึ่งคล้ายจะเยาะเย้ยเธออยู่
อาการเย้ยหยันของเขา เหมือนกระแสไฟฟ้าที่กระตุกขึ้น และมีผลให้คิทต้องกระแทกเท้าเดินกลับออกไปทางห้องโถงทันที
“ฉันจะสั่งให้คนมาจับคุณโยนออกไป”
แม้ในยามโกรธจนหน้าตาแดงก่ำเช่นนี้ คิทก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะจับเขาโยนออกไปได้ แต่เธอแน่ใจอย่างที่สุดว่าคนแปลกหน้าคนนี้จะต้องไม่ยอมออกไปจากบ้านหลังนี้แต่โดยดุษฎีแน่ เธออยากจะให้เขาสำแดงความโกรธออกมามากกว่าเพียงแค่รอยยิ้มอย่างพึงใจ เลือนหายไปจากใบหน้าเท่านั้น
ฝีเท้าที่กระแทกกระทั้นอยู่ทำให้เสียงสเปอร์กระทบกันดังลั่น ขณะที่เธอเดินออกมาใกล้จะถึงประตูนั้น คิทก็มองเห็นลิวกับคีลกำลังเดินผ่านมา คิทรีบเอื้อมมือไปผลักบานประตูมุ้งลวดออกและยืนจับบานประตูให้มันเปิดกว้างอยู่อย่างนั้น
“ลิว...คีล” เธอตะโกนเรียกโคบาลทั้งสองเสียงลั่น
ทั้งสองหันขวับมาตามเสียงเรียก ฝีเท้าที่กำลังก้าวเดินอยู่ลดลง สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยอย่างเห็นชัดซึ่งแม้ว่าคิทจะยืนอยู่ในระยะที่ค่อนข้างไกล แต่ก็สามารถมองเห็นได้อยู่
“มานี่หน่อยสิ” เธอออกคำสั่ง “มีท่านสุภาพบุรุษคนหนึ่ง...”
“เราพบท่านบารอนคนใหม่แล้วละ คิท” ลิวขัดขึ้นเสียก่อน สีหน้าบอกความไม่เข้าใจนัก เมื่อพูดต่อว่า “และถ้ามันไม่สำคัญนักละก้อนะ คิท คีลกับฉันจะต้องรีบโทรศัพท์เพราะจะต้องหาอะไหล่มาเปลี่ยนเจ้าเอช. ให้ได้ทันเวลา”
ดูเหมือนเธอจะไม่ได้ยินคำตอบในประโยคสุดท้ายของเขา ที่มันผ่านเข้าไปในสมองก็แต่เฉพาะประโยคแรกเท่านั้น ซึ่งมีคำว่า “ท่านบารอนคนใหม่” อยู่นั่นเอง เนื้อเยื่อในเรือนกายทุกส่วนเหมือนจะเยือกแข็งลงในทันใด มีเสียงกระหน่ำดังขึ้นในสมอง ต้องใช้เวลาอยู่เป็นครู คิทจึงได้รู้ว่ามันคือเสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นกระหน่ำดังขึ้นมาถึงในหูเหมือนกลองที่รัวขึ้นพร้อมๆ กันนับพันใบ
เธอปล่อยมือจากบานประตูยุ้งลวด ให้มันปิดกลับเข้าหากันเองช้าๆ และทันเห็นท่าทางลังเลของโคบาลทั้งสองนั้นก่อนที่เขาจะพากันเดินต่อไป เมื่อสำรวมใจได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว คิทจึงได้เบือนหน้ากลับมาทางด้านในของห้อง
คนแปลกหน้านั่น...ซึ่งคิทเรียกเขาอยู่ในใจว่าคนป่าเถื่อน หรือบารอนคนใหม่กำลังยืนเอนไหล่พึงกรอบประตูห้องสมุดที่เปิดอ้าอยู่ ปลายนิ้วชี้ถูไถอยู่กับแนวปากในท่าครุ่นคิด ดูเหมือนเขาจะตั้งใจที่จะจับอากัปกิริยาของเธออยู่ในทุกฝีก้าว
“คุณก็คือบารอนคนใหม่นั่นเอง” น้ำเสียงที่แฝงความเจ็บใจแกมตัดพ้อเปล่งออกมา ไม่ได้เคลือบแฝงความไม่พอใจกับเรื่องที่เพิ่งได้รับรู้ไว้เลยแม้แต่น้อย
เขายึดร่างขึ้นเต็มตัว มือเลื่อนตกจากริมฝีปากท่าทางเดินของเขาออกจะเฉื่อยชาเต็มที่ ศีรษะที่ผงกรับรองคำพูดของเธอเป็นไปเพียงบางเบา
“ผมชื่อรีส ทัลบอท” เขาบอกชื่อตัวเองให้เธอทราบแต่ไม่ได้ด้วยท่าทางที่เป็นมิตรเท่าไรนัก มันเป็นเพียงคำพูดลอยๆ ที่เพียงบอกเล่าให้ทราบเท่านั้น
“ก็แล้วทำไมไม่บอกฉันเสียตั้งแต่แรกล่ะว่าคุณเป็นใคร?” คิทถามด้วยน้ำเสียงของคนที่กำลังอารมณ์เดือดพล่านโกรธกับการที่เขาจงใจจะให้เธอมองอยู่ในความมืด ตั้งแต่ตอนที่เธอเผชิญหน้ากับเขาในถนนหลังไร่นั่น
เขาเอียงคอไปข้างหนึ่ง แววในดวงตากร้าวขึ้น
“ผมไม่ชอบแนะนำตัวกับคนที่มาทำสีหน้ากระด้างใส่ผม”
คิทตัวสั่นสะท้าน ด้วยความพยายามที่จะสะกดกลั้นอารมณ์ของตัวเองไว้
“ก็แล้วตอนนี้ฉันจะต้องทำยังไงล่ะ? จะต้องให้ฉันถอนสายบัวแล้วก็ขอโทษท่านลอร์ดยังงั้นรี ที่ไม่รู้ว่าเขาเป็นใครน่ะ?”
ดวงตาของเขาเป็นประกายเครียดเขม็ง กวาดสายตาไปทั่วเรือนร่างเธอตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ซึ่งทำให้คิทอดจะหวั่นไหวกับท่าทางของตัวเองในยามนี้ไม่ได้ หมวกปีกกว้างสีซีดถูกดึงหลุบลงมาปิดส่วนบนของใบหน้าไว้ ซึ่งช่วยอำพรางเรือนผมสีน้ำตาลเข้มไว้ได้อย่างดียิ่ง คราบเหงื่อไคลจับเกาะอยู่เต็มใบหน้า ริมฝีปากแห้งกรังรวมไปถึงเสื้อเชิ้ตแบบผู้ชายกางเกงยีนส์กับเสื้อกักตัวค่อนข้างใหญ่ทำให้ร่างกายของเธอผอมเพรียวแต่ไร้สัดส่วน รวมไปถึงสเปอร์ที่ติดอยู่ตรงส้นรองเท้าบูท และถุงมือหนังที่สวมอยู่ด้วย
แววในดวงตาของเขาเป็นประกายขึ้น แกมตำหนิและแกมขบขัน
“คนที่เขามองเห็นคุณครั้งแรกน่ะ… เขาเดาไม่ออกหรอกว่าคุณเป็นผู้หญิง แต่ขณะเดียวกัน ผมก็ไม่คิดว่าจะต้องมาพบผู้ชายที่พูดจาอย่างผู้หญิงอยู่เหมือนกัน”
“ถ้าคุณคิดว่าฉันจะคัดค้าน หรือขัดข้องในการที่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นผู้ชายละก้อ คุณเข้าใจผิด” คิทโต้กลับไปทันที
แต่เขาก็ไม่ได้แสดงท่าว่าจะคิดไปในทางใดทั้งสิ้น
“คุณคงจะทำงานอยู่ที่นี่สินะ”
คิทลังเลไป จากคำพูดประโยคนั้นทำให้รู้ได้ว่าบารอนคนใหม่นี้ ซึ่งเขาบอกว่าตัวเองชื่อ รีส ทัลบอท ไม่รู้จริงๆ ว่าเธอเป็นใคร แต่ถึงอย่างไรเธอก็ไม่แปลกใจเลย
“ใช่ ฉันทำงานอยู่ที่นี่” เธอตอบและไม่ได้เสริมอะไรเพื่อไขความกระจ่างให้มากไปกว่านั้น
แต่เขาก็ยังจับตามองเธออยู่ด้วยสายตาเช่นเดิม
“แล้วชื่ออะไรล่ะ?”
“แคทเธอร...” เธอเกือบจะพลั้งปากบอกชื่อที่แท้จริงออกไปอยู่แล้ว แต่ก็เปลี่ยนเสียทัน “คิท บอนเนอร์”
“บอนเนอร์...” เขาทวนซ้ำในชื่อสกุลของเธอ “ถ้าอย่างนั้นก็เป็นชื่อเดียวกับผู้จัดการไร่น่ะสิ คุณใช่ไหมที่เป็นหลานสาวเขา?”
“ใช่” คิทเครียดขึ้นมาอีก บังเกิดความรู้สึกที่จะต้องปกป้องตัวเองขึ้นมาในทันใด “แล้วคุณรู้ได้ยังไงล่ะ?”
“ก็เขาเอ่ยถึงคุณตอนที่ผมพบเขาเมื่อตอนบ่ายวันนี้” และแล้ว ดูเหมือนรีส ทัลบอท จะรู้สึกสงสัยในคำถามที่เธอตั้งขึ้น และแววแห่งความสงสัยนั้นก็ปรากฏขึ้นในดวงตาอย่างเห็นได้ชัด “เห็นเขาบอกว่าตอนนั้นคุณกำลังไปอยู่ที่ไหนสักแห่งหนึ่งนี่”
“และคุณก็เลยเหมาเอาว่าฉันคงจะออกไปขี่ม้าเล่นให้สบายใจสินะ” เธอตอบอย่างขุ่นเคือง “เหยาะย่างม้าเล่นอยู่ในกลางทุ่งอะไรทำนองนั้น”
“ใช่” ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ”
คิทไม่อยากจะประสานสายตาอยู่กับเขาเลย จึงเบือนหน้าหนีเสียอย่างหงุดหงิดใจ
“แล้วคุณมาที่นี่ทำไมล่ะ?” มันเป็นคำถามที่คาดคั้นจะเอาคำตอบและท้าทายอยู่ในที
“ก็ผมเป็นเจ้าของไร่ ฟลายอิ้ง อีเกิ้ล เพราะฉะนั้นก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องมีเหตุผลเลยสำหรับการที่จะมาที่นี่”
เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่แฝงความกระด้างอยู่
และคำพูดประโยคนั้นเองที่ไปแตะเอาตรงจุดอ่อนไหวเข้า
“คุณไม่ได้เป็นที่ต้องการของใครที่ไร่นี้หรอก” คิทพยายามสะกดกลั้นโทสะไว้อย่างลำบากยากเย็นยิ่งนัก
ซึ่งทำให้น้ำเสียงของเธอแหบเครือลงกว่าเดิมมาก
“ไม่เป็นที่ต้องการของคุณน่ะเห็นชัดอยู่แล้วละ” รีสทัลบอท ชักนึกสนุกกับการที่จะยั่วให้คิทโกรธ
“ของทุกคนด้วย” เธอแก้ความเข้าใจของเขาด้วยน้ำเสียงแข็งๆ “ความยินดีที่ทุกคนเขาแสดงออกเพื่อเป็นการต้อนรับคุณน่ะ มันเป็นเพียงมารยาทที่สุภาพเท่านั้นหรอก”
“และคุณก็ไม่คิดด้วยว่า ตัวเองจำเป็นที่จะต้องแสดงมารยาทดีเช่นคนอื่นๆ เขา” เขาย้อนให้ด้วยคำพูดที่เหมือน จะยั่วแมวให้โกรธ
คิทุกราดเกรี้ยวกับการที่ตัวเองไม่อาจจะทำอะไรเขาได้
“ฉันไม่ใช่คนที่ชอบทำอะไรด้วยความไม่จริงใจ และไม่ต้องการจะพูดคำหวานๆ ทั้งที่ใจไม่ได้คิดด้วย”
“รู้สึกว่านั่นเป็นการขอที่ออกจะมากเกินไปสักหน่อยว่ายังงั้นเถอะ?” เขาย้อนให้ด้วยน้ำเสียงหยันเยาะ
“ก็มันไม่ใช่เรื่องแปลกนี้ที่ฉันจะแปลกใจในเหตุผลการมาของคุณ ในเมื่อคุณไม่ได้บอกให้เรารู้ตัวล่วงหน้ากันก่อนเลย