บทที่ 9
เส้นทางที่ขรุขระนั้นดำเนินต่อไป จนในที่สุด ก็มาบรรจบกับถนนสายที่ราบเรียบกว่า ซึ่งได้รับการบดอัดด้วยหินคลุก อันเป็นถนนชนบททั่วๆ ไป ฝุ่นจากเส้นทางลูกรังถูกทิ้งไว้ทางเบื้องหลัง และความสนใจทั้งหมดของคิทก็ถูกแบ่งออกระหว่างแนวถนนที่คดเคี้ยวเลี้ยวลดไต่ขึ้นเขาลงเขาอยู่ตลอดเวลา เหมือนงูที่เลื้อยผ่านเข้าไปในแถบถิ่นอันอ้างว้างและกับภูมิภาพสองข้างทางนั้นเอง
มันเป็นพื้นภูมิประเทศที่คิทไม่เคยเบื่อหน่ายที่จะมองเลย ภูเขาสูงชันโดดเดี่ยวที่ทอดยอดขึ้นเสียดฟ้า พื้นแผ่นดินที่เป็นโขดเขิน ประกอบด้วยริ้วรอยสีสันซึ่งเกิดจากการชะล้างจากสายฝนมาชั่วนาตาปี ซึ่งเห็นเป็นสีแดงสีเหลืองแล้วแต่ลักษณะของดิน และบางครั้งก็ตัดด้วยสีดำอันเป็นสีของลิกไนท์ชั้นล่าง
และที่ปกคลุมอยู่ทั่วไปในบริเวณนี้ คือหญ้าต้นสูงที่เขียวชอุ่มบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ มันเป็นอาณาจักรอันหาค่าไม่ได้ ไม่ใช่แผ่นดินที่ชั่วร้ายอย่างที่เรียกขานกันอยู่ นอกจากนั้นในพื้นที่บางแห่งก็ยังมีมันสำปะหลังและต้นไม้ป่าที่ออกดอกบานไสวอยู่เป็นกลุ่ม เบื้องแนวลำธารที่ทอดตัวคดเคี้ยวเข้าไปในแผ่นดินแห่งนี้ คือต้นคอทต้อนวู้ด และวิลโลว์ ส่วนจูนิเปอร์นั้นยืนอยู่ตรงแนวเนินที่เหนือขึ้นไป
นอกจากนั้น มันก็ยังสลับอยู่ด้วยหุบผาที่มีกระแสธารไหลผ่าน โตรกผาและที่ราบสูงชันดารดาษด้วยพุ่มพฤกษ์เขียวขจี และหน้าผาหินที่สูงชัน มันทำให้ต้องมองด้วยความพิศวงในความงามอย่างล้ำลึก และภูมิภาพเช่นนี้ทำให้หัวใจของคิทต้องเต้นแรงทุกครั้ง ราวกับว่าแผ่นดินแห่งนี้เป็นของเธอแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
“คุณอายุเท่าไหร่แล้ว?”
คำถามนั้นทำลายความรู้สึกดื่ม ที่คิทกำลังมีต่อธรรมชาติลงโดยสิ้นเชิง และดูเหมือนเธอเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่ายังมีผู้ชายอีกคนหนึ่งนั่งเคียงคู่มาด้วยในรถ เขากำลังจับตามองดูเธออยู่ ซึ่งก็คงจะใช้เวลานานพอสมควร และแววตาเช่นนั้นที่ทำให้ประสาทในเรือนกายหวั่นไหวขึ้น
“ยี่สิบเอ็ด แล้วคุณล่ะ?” เธอตอบพร้อมกับย้อนถามด้วยน้ำเสียงที่บังคับให้ราบเรียบ
“สามสิบห้า”
“แต่ดูแก่จังนะ” สายตาของเธอจับอยู่กับแนวถนนที่กำลังทอดตัวขึ้นสูง
“ถามจริงๆ เถอะ ใครเอาเหล็กมาดามไหล่คุณไว้?”
“ฉันไม่เข้าใจว่าที่คุณพูดน่ะ หมายถึงอะไร?” เธอย้อนถามด้วยน้ำเสียงชาเย็น
คุณบอนเนอร์” เขากระแทกเสียงห้วนๆ กับท่าทางหยิ่งๆ ของเธอ และแม้ไม่ได้หันหน้ามามอง คิทก็พอจะรู้ได้ว่า ขณะนี้ เขาคงจะต้องเหยียดยิ้มออกมาตรงมุมปากเช่นเคย “นับตั้งแต่เราพบหน้ากันครั้งแรกแล้วนะที่คุณพยายามจะแสดงให้ผมเห็นว่าคุณเป็นคนใจแข็งแล้วก็ปากจัดด้วย”
“ฉันไม่เห็นจะเข้าใจเรื่องที่คุณกำลังพูดอยู่เลย” แต่กล้ามเนื้อในเรือนกายก็เครียดขึ้นไม่ยอมหันหน้ามามองเขา
“ผมมีความรู้สึกว่า” เขาเอ่ยต่อ น้ำเสียงไม่ได้อำพรางความรู้สึกขบขันไว้เลยแม้แต่น้อย “คุณเป็นคนที่สร้างเกราะขึ้นป้องกันตัวได้แข็งที่สุดเท่าที่ผมเคยพบเห็นมา”
“ก็แล้ว ทำไม คุณถึงคิดว่ามันเป็นแค่เกราะล่ะ?”
“ก็เพราะว่า... ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ยอมรับก็ตามทีเถอะนะ...ถึงยังไงคุณก็ยังถูกสร้างขึ้นด้วยเลือดด้วยเนื้อเหมือนกับใครๆ เขาทุกคนน่ะสิ”
มีเสียงเบาๆ ดังขึ้น และจากปลายหางตาคิทก็มองเห็นควันบางๆ ที่ลอยตัวขึ้นจากปลายบุหรี่ที่เขาคาบอยู่ตรงริมฝีปาก กลิ่นหอมๆ ของยาเส้นเหมือนจะเรียกร้องชวนเชิญอยู่ และทำให้เธอเกิดความอยากสูบขึ้นมาบ้าง
“ขอบุหรี่ตัวสิ” คิทเอ่ยขึ้น
“มันเป็น...เอ้อ...บุหรี่สมัยใหม่นะ” แววในดวงตาคู่สีน้ำตาลเหมือนกับกำลังหัวเราะใส่เธออยู่
“แล้วไงล่ะ?”
รีสดึงบุหรี่ออกมาจากซองอีกมวนหนึ่งพร้อมกับจุดมันขึ้น
“คือผมคิดว่าคุณน่าจะเคี้ยวยาเส้น หรือไม่ก็สูบบุหรี่แบบพื้นบ้านที่เคยสูบอยู่มากกว่า” เขายื่นบุหรี่มวนที่จุดขึ้นใหม่ให้ “ที่พูดอย่างนี้ก็เพราะมีความรู้สึกว่า การสูบบุหรี่แบบนั้น มันทำให้คุณดูเป็นผู้ชายดีไงล่ะ”
คิทกัดฟันกับคำพูดเสียดสีของเขา รู้ดีว่าเขาไม่เห็นด้วยกับการที่เธอไม่ยอมทำตัวเป็นผู้หญิงเอาเสียเลย อัดควันบุหรี่เข้าปอด ละไออุ่นจากริมฝีปากของเขายังติดอยู่ที่ไส้กรองแต่มันก็ไม่ได้สร้างความรู้สึกใดๆ ให้เกิดขึ้น
“ฉันก็ควรจะลองสูบดูบ้างในบางครั้งน่ะสิ จริงไหม?” เธอตอบโต้กับคำวิจารณ์ของเขา
ถ้าจะมีใครสักคนที่เชี่ยวชาญกับการยั่วให้โกรธหรือพูดจาถากถางแล้ว ใครคนนั้นก็คือคิทนั่นเอง การไม่ยอมทำตัวสนิทสนมกับใคร หรือการแสดงออกถึงความเย็นชานั้น บอกให้รู้ว่าเธอไม่ได้สนใจกับการสนทนาที่เขาเป็นฝ่ายเริ่มต้นขึ้นนานนับปีมาแล้วที่วาจาหรือคำพูดของใครก็ตามไม่เคยทำให้เธอหวั่นไหวได้เลย
“มันเกิดอะไรขึ้นกับพ่อแม่ของคุณล่ะ?” รีสเปลี่ยนเรื่องถาม ไม่ได้แสดงว่าจะสนใจนักกับการที่คำพูดของเขาไม่สามารถจะกระตุ้นให้เธอเคืองขุ่นขึ้นมาได้
“ตายหมดแล้ว เนทกับมาร์ธาเลี้ยงฉันมา” และดูเหมือนจะคิดขึ้นมาได้ เมื่อเธอเสริมต่อว่า “ฉันหมายถึงตากับยายน่ะ”
“คุณทำอย่างนี้อีกแล้ว” เขาวิจารณ์ออกมาตรงๆ
“ทำอะไร?” คิทตวัดสายตามองหน้าเขาอย่างไม่พอใจ
“ก็พยายามที่จะแสดงให้ผมเห็นน่ะสิว่า คุณน่ะมันคนจองหองแล้วก็อิสระมาก ด้วยการเรียกชื่อตากับยายออกมาอย่างนั้น เพราะคุณเชื่อว่าการที่จะเรียกท่านด้วยสรรพนามว่าตากับยายแล้ว มันจะทำให้คุณใกล้ชิดสนิทสนมกับเขามากเกินไป ซึ่งดูเหมือนคุณจะไม่ได้ต้องการสิ่งนั้นจากใครทั้งสิ้นเลยนะ” แววในดวงตาของเขาฉายประกายที่ตรงกับคำพูด และคิทก็เพ่งสายตาอยู่กับเส้นทางเบื้องหน้าเท่านั้น “แล้วคุณเรียกพ่อแม่ว่าอะไรล่ะ?”
“จำไม่ได้ ไม่รู้ว่าเคยเรียกพ่อหรือแม่หรือเปล่าด้วยซ้ำ” เธอตอบ พร้อมกับยักไหล่อย่างจะปกป้องตัวเอง
“อันที่จริงฉันจำหน้าทั้งพ่อและแม่ไม่ได้ด้วยซ้ำ เคยเห็นแต่ในรูปแล้วก็รู้ว่าเป็นพ่อแม่เท่านั้น”
“แล้วคุณเคยรู้สึกเสียใจบ้างหรือเปล่าล่ะ?”
เท่าที่คิทรู้อยู่ในเวลานี้ก็คือ เรื่องที่กำลังสนทนากันอยู่ชักจะลึกซึ้งเข้ามาทุกทีแล้ว
“นี่มันเรื่องอะไรกันนะ บารอน...? อยากจะตรวจสุขภาพจิตฉันหรือไง”
“ผมชื่อรีส ถ้าคุณรู้สึกว่ามันยากนักที่จะเรียกละก้อจะเรียกว่าทัลบอทก็ได้ แต่อย่ามาเรียกผมด้วยบรรดาศักดิ์อย่างนั้น... ได้โปรดเถอะ” มันเป็นคำสั่งมากกว่าที่จะเป็นคำพูดธรรมดา
“เอ๊ะ ทำไมล่ะ?” คิทย้อนถามทันที “ก็คุณได้รับบรรดาศักดิ์นั่นมา พร้อมๆ กับทรัพย์สินมรดกทั้งหลายแหล่ด้วยไม่ใช่หรือ?”
“ผมไม่จำเป็นที่จะต้องใช้บรรดาศักดิ์” รีส ทัลบอทเอื้อมมือไปดับบุหรี่ลงในที่เขี่ยในรถ “ผมมีสัญชาติอเมริกันไม่ใช่อังกฤษ”
“แต่ถึงยังไงมันก็ยังต้องใช้กันอยู่ในประเทศอังกฤษละ...โดยเฉพาะเวลาที่คุณไปพำนักอยู่ในปราสาทของคุณจริงไหมล่ะ?” มันมีความแข็งกร้าวแฝงอยู่ในน้ำเสียงที่ย้อนถามออกไปนั้น
“ผมเสียใจนะ ที่เห็นจะต้องทำให้คุณผิดหวัง เพราะจริงๆ แล้วเราไม่มีปราสาทในอังกฤษหรอก ไม่มีอีกแล้วด้วย”
“อ้าว คุณขายไปแล้วยังงั้นรึ?”
“ไม่ใช่ผมหรอก คนที่เขาดำรงตำแหน่งนี้มาก่อนหน้าผมต่างหากที่เขาขายไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน”
“น่าเห็นใจนะ” คิทเอ่ยขึ้นราวกับจะแสดงน้ำใจ“น่าเห็นใจที่คุณมีแต่บรรดาศักดิ์ ไม่มีปราสาทจะอยู่”
“มันต้องใช้จ่ายในการบำรุงรักษาสูง ซึ่งถ้าเขาไม่ขายผมก็อาจจะขายเองก็ได้”
คิทตวัดสายตามองหน้าเขา พิจารณาเสี้ยวหน้าด้านข้างอยู่ มันบอกถึงความเป็นผู้ดีตระกูลสูงอย่างเด่นชัด
“ฉันเข้าใจว่าคุณได้รับมรดกมากมายทีเดียว”
และแล้ว เธอก็ต้องเบือนหน้าหนีเมื่อเขาเหลือบมาประสานสายตาด้วย มันมีความหยิ่งและหยันเยาะอยู่เป็นนัย
“นี่คุณกำลังจะสืบเสาะเข้าไปในเรื่องส่วนตัวของเจ้านายคุณเองยังงั้นรึ แคทเธอรีน?” น้ำเสียงที่เนิบนุ่มยามที่เขาเอ่ยชื่อเธอออกมานั้น ทำให้คิทรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้ามาต้องตัว รู้สึกเหมือนขนหัวจะลุกชันขึ้นแต่รีส ทัลบอท ไม่ได้รั้งรอที่จะฟังคำตอบ
“อยากรู้ก็จะบอกให้ว่า หลังจากที่ผมได้รับมรดกมาแล้ว ค่าใช้จ่ายในการจัดงานศพก็ดี ค่าภาษีมรดกก็ดี ทำให้มันเหลือไม่มากนักหรอก”
“ที่เหลืออยู่ก็คือไร่ ฟลายอิ้ง อีเกิ้ล อย่างนั้นสิใช่ไหมท่านบารอน?” เธอเสียดสีให้ ความพยาบาทดูเหมือนจะฉาบขึ้นในแววตาชั่วแวบหนึ่ง
“ใช่ครับผม จะเหลืออยู่ก็แต่เฉพาะไร่ฟลายอิ้ง อีเกิ้ลเท่านั้นแหละครับ ท่านบารอนเนส”
อาการเครียดเขม็งบังเกิดขึ้นในช่องท้องเมื่อได้ยินเขาใช้บรรดาศักดิ์ของผู้หญิง แทนสรรพนามเรียกชื่อเธอ
“ทำไม ต้องมาเรียกฉันยังงั้นด้วยเล่า?” คิทถามเสียงเครียด ตวัดสายตามองหน้าเขาอย่างขึ้งโกรธ
“อ้าว...คุณไม่ชอบหรอกหรือนี่?”
“ไม่ชอบ” เธอตวัดเสียงใส่
“ผมก็ไม่ชอบเหมือนกัน เพราะฉะนั้น เลิกเรียกผมว่าบารอนเสียที”
เมื่อเขาพูดจบ รถก็วิ่งเข้าสู่บริเวณตัวเมืองพอดี คิทไม่ได้ตอบรับในคำพูดถึงคำสั่งนั้น แต่เธอกลับใช้วิธีชี้ให้เขาดูยอดปราสาทสีแดง ซึ่งถูกสร้างขึ้นเป็นบ้านพัก ในฤดูร้อนของมาควิส เดอ มอเรส ตั้งแต่ปี 1880 แทน มันยืนหยัดชัดเด่นอยู่ในท่ามกลางความเขียวขจีของแมกไม้ เด่นอยู่เหนือยอดเนินซึ่งสามารถจะมองเห็นทิวทัศน์ของตัวเมืองเมโดร่าได้อย่างชัดเจน ชื่อเมโดร่านี้เป็นชื่อที่ท่านมาควิสตั้งขึ้นตามชื่อภรรยาชาวอเมริกัน ที่ต่ำลงมาเบื้องล่างคือลำน้ำ มิสซูรี่ ซึ่งคดเคี้ยวแทรกซอนและยังความอุดมสมบูรณ์ให้กับ นอร์ธ ดาโกต้า แผ่นดินที่ถูกขนานนามว่า “แผ่นดินแห่งความชั่วร้าย” แห่งนี้