เธอคือสโนไวท์
เมื่อมาถึงร้านอาหารประจำ จินฉือก็สั่งอาหารโปรดของเธอ 2-3 อย่าง และก็ให้เธอสั่งต่อ เผื่อเธออยากจะกินอะไรอย่างอื่นด้วย เพราะหากให้เธอสั่งเอง เธอก็มักเกรงใจไม่กล้าสั่งอาหารแพงๆ ดังนั้นเวลาพามากินอาหารจินฉือมักจะเป็นคนเลือกสั่งหลายๆ อย่างก่อน และคอยแอบสังเกตดูทุกครั้งว่าเธอชอบกินอะไร ก็จะสั่งแบบนั้นให้เธอ
“เป็นไงบ้าง ทำงานมาเดือนกว่าแล้ว รู้สึกเป็นยังไงบ้าง”
“ก็ดีค่ะ ได้เรียนรู้งานเยอะดี เจอสิ่งใหม่ๆ เยอะมาก และก็มีพี่ที่เป็นถึงประธานบริษัทคอยสอนงานด้วยตัวเองอีก อิอิ ยิ้ม มีความสุขดีค่ะ”
ทั้ง 2 คน เมื่อได้ร่วมงานกันก็เกิดความรู้สึกที่ดีต่อกันมากขึ้น แต่ต่างฝ่ายต่างไม่รู้ว่า ความรู้สึกแบบนี้เป็นความรักแบบพี่น้องหรือแบบคนรักแน่ ดังนั้นคนอื่นจึงมองกันว่า พี่น้องครอบครัวนี้ รักและเทคแคร์กันมาก
“ก็ดีแล้วที่เรามีความสุข เดี๋ยวเดือนนี้พี่จะเซ็นขึ้นเงินเดือนให้เราอีก ต้องเพิ่มค่าขนมให้แล้วล่ะ ขยันและตั้งใจทำงานขนาดนี้” จินฉือพูดพร้อมกับยิ้ม และเอาลูบขยี้หัวเธอเบาๆ
ตั้งแต่โยโยมาทำงานที่บริษัทนี้ อารมณ์และท่าทางของจินฉือก็เปลี่ยนไป จากเป็นคนเงียบขรึม หน้านิ่งๆ ไม่ยิ้มแย้ม ทุกอย่างจะเอาแต่เรื่องงาน ทำแต่งานอย่างเดียว พอมีโยโยเขายิ้มทุกวัน และยังมือสั่งอาหารว่างมาให้โยโยและเผื่อพนักงานคนอื่นๆ ด้วย
…วันนี้ท่านประธานเลี้ยงขนมกับชาอีกแล้วใจดีจริงๆ
…ใช่ๆ ช่วงนี้เห็นท่านประธานอารมณ์ดีตลอดเลย
…หรือว่า จะมีความรักกันน่ะ
…ใครกันน่ะเป็นผู้โชคดีคนนั้น ที่ได้ท่านประธานสุดหล่อของเราไปครอบครองได้
…ฉันล่ะอิจฉาจริงๆ เลย
…ท่านประธานทั้งหล่อ ทั้งรวย สมบูรณ์แบบซะขนาดนั้น แฟนของท่านประธานจะต้องเป็นคุณหนูตระกูลสูง สวย และรวยเหมือนกันแน่ๆ
…แต่ฉันได้ข่าวมาว่า เมื่อ 3 ปีก่อน ท่านประธานของเราถูกแฟนสาวทิ้งไปกับผู้ชายคนอื่นก่อนงานหมั้นเพียงแค่ 2 วันเองน่ะ จนทำให้ท่านประธานเสียใจ และหนีไปดูแลบริษัทที่ประเทศไต้หวัน นี่ก็เพิ่งกลับมานี่เอง
…ใช่ ๆ ฉันก็ได้ยินมาเหมือนกัน ตอนนี้คงจะเจอรักใหม่แล้วสิน่ะ
…น่าสงสารท่านประธานของเราจริงๆ เลย เป็นผู้หญิงแบบไหนกันถึงได้ทำร้ายท่านประธานที่เฟอเฟคของเราแบบนี้ได้
…ฉันสังเกตเห็นช่วงนี้ท่านประธานจะตัวติดกับเด็กฝึกงานที่เป็นผู้ช่วยเลขาน่ะ
…หรือว่าจะกิ๊กกัน หรือไม่ก็อาจจะเป็นผู้หญิงคนใหม่ของท่านประธาน
…ไม่ใช่หรอก คุณเสี่ยวโยเป็นน้องสาวของท่านประธานน่ะ อย่าได้พูดมั่วๆ
…แกไปอยู่ที่ไหนมา ท่านประธานมีแค่น้องชายเพียงคนเดียวคือท่านรองประธานเทพบุตรสุดหล่อที่แสนอ่อนโยนของฉันเพียงคนเดียวเท่านั้น ส่วนคุณเสี่ยวโยเป็นแค่น้องสาวบุญธรรมย่ะ
…เอ้า จริงดิแก ฉันไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย
…จะไปรู้ได้ยังไงล่ะ เพราะที่นี่เขาไม่ได้ประกาศเรื่องนี้ แต่เวลาแนะนำตัวกัน เขาก็จะแนะนำกันว่าเป็นน้องสาวคนเล็ก
พนักงานพูดคุยและถกเถียงกัน ส่วนเสี่ยวโยที่เดินมาเข้าห้องน้ำนั้นก็แอบฟังและได้ยินทุกอย่าง โดยเฉพาะเรื่องงานหมั้นเมื่อ 3 ปีก่อน
“โยโย การพรีเซ้นต์งานวันนี้ทำได้ดีมากเลยน่ะ คณะผู้บริหารทุกคนยังชม เดี๋ยวอาทิตย์หน้าก็เตรียมตัวไปออกงานอีเว้นท์นี้ด้วยกัน เก่งมากแม่สาวน้อย” จินฉือเอ่ยชม
“ได้ค่ะ พี่ฉือ แต่หนูไม่มีชุดราตรีใส่ วันนี้เลิกงานพี่พาหนูไปที่ห้างได้มั้ยค่ะ หนูจะไปซื้อสักชุดนึงค่ะ”
“อื่ม ได้สิ”
ในวันงาน เสี่ยวโยใส่ชุดราตรีเกาะอกสีชมพูอ่อน ที่สั้นขึ้นมาถึงหัวเข่า แต่งหน้าอ่อนๆ เบาๆ แบบแทบจะไม่ได้แต่อะไรเลย เพราะด้วยผิวหน้าของเธอนั้นขาวใสอยู่แล้ว คิ้วก็ดกดำ ขนตาหนาและยาว ดวงตากลมตา ริมฝีปากแดงระเรื่อ แทบไม่ต้องแต่งแต้มอะไรเลย มองดูแล้วช่างสวยใสแบบอ่อนหวานเหลือเกิน บวกกับหุ่นของเธอที่ตัวเล็กมาก ผิวขาวดุจหิมะ และปล่อยผมสีดำที่ยาวมาถึงเอวแล้ว เธอดูน่ารักไร้เดียงสาเหลือเกิน มองเธอแล้วเหมือนเด็กที่อายุเพียง 17-18 ปีเท่านั้น จินฉือเห็นยังต้องอึ้งกับความสวยและความน่ารักของเธอ
“OMG โยโย แม่สโนไวท์ของพี่ เธอแต่แบบนี้แล้วสวยเหมือนดั่งเจ้าหญิงเลยน่ะเนี๊ยะ วันนี้พี่จะเป็นคนแคะของเธอเอง” จินฟานชม
“เกินไปล่ะ แกมีดารานางแบบควงอยู่แล้วนิ จะมีเวลามาเดินตามโยโยหรอ เธออยู่กับฉันปลอดภัยยิ่งกว่าอยู่กับแกอีก ไปกันเถอะโยโย” จินฟานพูดพร้อมจูงมือเสี่ยวโยไปขึ้นรถ
จินฉือเห็นเสี่ยวโยแต่งตัวแบบนี้แล้วรู้สึกหวงขึ้นมา ไม่น่าเลือกชุดนี้ให้เลย เพราะต้องเปิดไหล่ที่ขาวดุจหิมะนี้ รู้งี้เลือกชุดที่ปกปิดกว่านี้ดีกว่า
ในงานเลี้ยง….
เมื่อกลุ่มนักข่าวเห็น จินฉือ จินฟาน และเสี่ยวโยเดินเข้างานมา ทั้งแสงไฟ แสงแฟลช ต่างก็รุมมาทางนี้หมด พวกหนุ่มๆ ก็หันมามองเสี่ยวโยกันตาเป็นประกายเลย
“ท่านครับมาแล้ว แต่วันนี้เห็นควงผู้หญิงเป็นเด็กสาวอายุราวๆ 17-18 ปีมาด้วยครับ” ลูกน้องของจ้าวเอ้อถังเอ่ย
จ้าวเอ้อถังเป็นเพื่อนสนิทของจินฉือ ตั้งแต่ที่พ่อของเขาเสียชีวิตไปก็ไม่ได้ติดต่อกับจินฉืออีกเลย เพราะเขาคิดว่าการที่พ่อของเขาเสียชีวิตไปนั้น พ่อของจินฉือเป็นคนทำ จากที่ทั้งสองคนที่เคยเป็นเพื่อรักกัน ตอนนี้ก็ต้องกลายไปเป็นศัตรูกันเสียแล้ว
“มีเรื่องสนุกให้ทำแล้วสิวันนี้ แกไปจัดการตามแผนได้เลย” จ้าว เอ้อถังเอ่ย หลังจากที่ตระกูลได้ทำการทุจริตโครงการอสังหาริมทรัพย์ และถูกตัดออกจากการเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท จินฉือ กรุป โดยที่หนิงเฉิงไม่ให้อภัยและให้ลงโทษตามกฎหมาย จึงทำให้พ่อของจ้าว เอ้อถัง ที่เป็นโรคหัวใจอยู่นั้นเคลียดจนเกิดหัวใจวายเฉียดพลัน และเสียชีวิตไป จึงทำให้จ้าว เอ้อถัง นั้นแค้นตระกูลมู่ และคิดร้างแค้นมาตลอด อย่างน้อยต้องมีคนใดคนหนึ่งในตระกูลนี้ต้องตายไปสักคนเพื่อชดใช้