บทที่ 6 นาย
อรุณเดินกลับเข้าบ้าน ความเงียบเหงาเข้าปกคลุมทุกซอกมุมของบ้าน ปรายฟ้านั่งเช็ดน้ำตาอยู่ในห้องรับแขกมือข้างหนึ่งถือแผ่นกระดาษไว้ หล่อนจ้องมองตัวหนังสือในกระดาษและป้ายน้ำตาไปเรื่อยๆ ในกระดาษมีอะไร ทำไมปรายฟ้าต้องร้องไห้ไม่หยุดอย่างนี้ด้วย อรุณถอนหายใจแล้วเดินอ้อมด้านหลังนายสาวไปเงียบๆ
ภูชิสส์ขับรถเร็วจนปรายชลต้องหันมามองแต่เขาก็ทำไม่รู้ไม่ชี้เหยียบคันเร่งจากร้อยเป็นร้อยยี่สิบ สามสิบและสี่สิบ หญิงสาวทนนั่งนิ่งใช้สายตาปรามเขาอีกต่อไปไม่ไหว หล่อนหันมาจ้องหน้าเขา
“จอดรถ”
หล่อนแผดเสียงจนคนขับต้องหลับตาแยกเขี้ยวต้านกับเสียงนั้น เขาหันมามองหล่อน
“ตะโกนทำบ้าอะไร อยู่ใกล้แค่นี้พูดเบาๆ ฉันก็ได้ยิน”
“ถ้าคุณไม่ลดความเร็ว ฉันจะโบกรถไปเอง จอดรถเดี๋ยวนี้”
หล่อนไม่สนใจกับคำดุและสรรพนามแทนตัวเองเปลี่ยนจากผมเป็นฉันและคำพูดนั้นค่อนข้างห้วน เขาจะอารมณ์เสียเพราะใครเพราะอะไรก็ชั่งเขาแต่ตอนนี้เขาต้องลดความเร็วลงอย่างน้อยเหลือ 120 ก็ยังดีถนนสายหลักรถว่างขับแค่นี้ก็ถือว่าเร็วพอควรแล้ว
“กลัวตายด้วยเหรอ”
“ใช่ เพราะฉันยังอยากอยู่ดูโลกสดใสใบนี้อีกนานๆ ถ้าคุณอยากไปลงนรกก็จอดรถให้ฉันลงก่อนแล้วจะไปทัวร์นรกขุมไหนก็เชิญตามสบาย”
“คนที่จะไปนรกคือเธอต่างหากปรายชล ฉันจะทำให้เธอทุกข์ทรมานยิ่งกว่าตกนรกซะอีก”
เขาจ้องหน้าหล่อนใบหน้าเครียดถมึงทึง ดวงตาวาววับด้วยความโกรธ ประกายแค้นกระจายเต็มดวงตากลมสีเข้ม ปรายชลกะพริบตาถี่ๆ ไม่เข้าใจคำพูดของผู้ชายแปลกหน้าคนนี้ เขาหมายถึงอะไร คำพูดของเขาเหมือนกับเขารู้จักหล่อนก่อนหน้านี้และหล่อนทำร้ายเขาให้เจ็บช้ำจนไม่สามารถให้อภัยได้ เขาเป็นบ้าไปหรืออย่างไร เท่าที่หล่อนจำได้ หล่อนเพิ่งรู้จักเขาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมานี่เอง
“จะบ้าเหรอ ฉันไปทำอะไรให้คุณถึงได้พูดกับฉันอย่างนี้ โรคประสาทกำเริบรึไง จอดรถ ฉันจะไปโรงแรมภูดาวเอง จอดรถสิ”
“ฉันเป็นนายเธอไม่ใช่เธอเป็นนายฉันเพราะฉะนั้นอย่ามาออกคำสั่งกับฉัน”
เขาลดความเร็วลงไม่ใช่เพราะหญิงสาวที่จ้องหน้าเขาอยู่ขณะนี้แต่เพราะรถที่ขับสวนมากะพริบไฟเตือน ไม่กี่กิโลเมตรด่านตรวจตั้งขวางอยู่แต่นายตำรวจไม่เรียกให้จอด ปล่อยให้ขับผ่านเขาจึงเร่งความเร็วขึ้น ปรายชลยังจ้องหน้าเขาอยู่
“มองหน้าฉันทำไม”
“คุณเป็นนายฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ เท่าที่ฉันรู้ พี่ฟ้าฝากงานให้ฉัน”
“อ้อเหรอ พี่เธอฝากงานให้ ฝากกับใคร”
“เพื่อนพี่ฟ้าเป็นคนฝาก ฉันไม่รู้ว่าเพื่อนพี่ฟ้าชื่ออะไร ฉันลืมถาม”
“เหรอ”
เขาไม่พูดอะไรมากกว่านี้ มีเพียงรอยยิ้มหยันที่มุมปากเท่านั้นเป็นคำตอบให้ปรายชลหงุดหงิดในหัวใจ ผู้ชายคนนี้เป็นใคร เขาพูดเหมือนกับว่าเป็นใหญ่ในโรงแรมภูดาวแอนรีสอร์ทอย่างนั้นหรือว่าเขา...
“เอี๊ยดดด...”
“โอ๊ย..”
ร่างบางถลาไปข้างหน้าศีรษะกระแทกกับกระจกหน้ารถเจ็บแปลบที่หน้าผาก ภูชิสส์อมยิ้มกับสิ่งที่เขาตั้งใจทำให้ปรายชลเจ็บ
“ขับบ้าอะไรเนี่ย อูยยย...” หล่อนหันมาว่าเขา ใบหน้าเนียนบึ้งตึง
“หุบปาก ถ้าไม่อยากเจ็บตัวมากกว่านี้”
เขาชี้มาที่หน้าหล่อนแล้วออกรถ คราวนี้เขาขับเรื่อยๆ เอื้อมมือไปกดปุ่มเปิดเพลงเบาๆ ปรายชลเอนศีรษะพิงพนักเบาะหลับตาไม่อยากพูดกับผู้ชายใจร้ายคนนี้ รู้สึกเจ็บหน้าผาก หล่อนยกมือลูบเพื่อให้ความเจ็บคลายลงแต่ปรากฏว่ามันนูนขึ้นมา หล่อนลืมตาโพลง
“บ้าเอ๊ย”
คำสบถเบาๆ แต่ภูชิสส์ได้ยินชัดเจน เขาหันมามองแล้วเปิดกล่องสำหรับใส่ของกระจุกกระจิกใกล้กับคันเกียร์ คลำหาอะไรบางอย่างแต่ไม่พบ
“ยาทาแก้ฟกช้ำอยู่ในนี้เอามาทาซะก่อนที่หน้าผากเธอจะปูดเป็นลูกมะนาว” เขาเอ่ยขึ้นลอยๆ หล่อนหันมามองแล้วเหลือบตาลงมองกล่อง
“ตบหัวแล้วลูบหลัง” หล่อนพึมพำขณะควานหายาที่เขาบอกและหยิบมันขึ้นมาเปิดฝาบีบเนื้อยาสีเขียวใสป้ายหน้าผากนวดเบาๆ แล้วเก็บหลอดยาไว้ที่เดิม ปิดฝากล่องแบบไม่ออมแรง เขาหันมาหาหล่อน
“ทำเบาๆ เป็นมั้ย ของฉันพังจะว่าไง”
“ก็พังไปสิ ไม่ใช่ของฉันนี่”
“นี่เธอ”
เขาขบเขี้ยวเมื่อรู้ว่ากำลังถูกหญิงสาวที่ตั้งใจจะพาตัวหล่อนมาเป็นทาสรับใช้และเป็นนางบำเรอความใคร่ ตอบโต้อย่างไม่เกรงกลัว หล่อนร้ายกว่าที่เขาเห็นรูปสวย น่ารัก ท่าทางใจดีและน่าจะเรียบร้อยแต่ความจริงแล้วตรงข้ามโดยสิ้นเชิง
ภูชิสส์ขับรถเข้ามาจอดหน้าบ้านไม้สองชั้นหลังใหญ่ รอบๆ บ้านมีต้นไม้ร่มครึ้ม หน้าบ้านเป็นสนามหญ้าผสมผสานกับปลูกไม้ดอกไม้ประดับเป็นหย่อมๆ ศาลาพักผ่อนทำด้วยไม้ทั้งหลังตั้งเด่นเกือบกลางสนาม มีทางเท้าปูด้วยอิฐศิลาทอดตัวยาวถึงศาลาพักผ่อน
ตัวบ้านเป็นไม้เนื้อดี อวดลวดลายแก่นไม้งดงามตามธรรมชาติ บันไดไม้แผ่นใหญ่ขึ้นสู่ชานบ้านด้านนอก เก้าอี้ไม้ตั้งไว้รับแขกและนั่งเล่นมุมของชานบ้าน กระถางปลูกไม้ประดับโชว์ใบอวดความเขียวสดหนาให้ชุ่มชื่นตาและใจของผู้ที่พบเห็น ถัดเข้าไปด้านในเป็นประตูเข้าตัวบ้าน