บทที่ 14 คุณหนูสาวใช้
เสียงจันทร์เงียบไป ปรายชลสลัดผ้าห่มออกพ้นตัวแล้วเลื่อนเท้าลงจากเตียงลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู ข้างนอกมืดสนิทเห็นเพียงแสงไฟสว่างออกมาจากห้องครัว หล่อนกลับไปนั่งที่เตียง อยากขัดคำสั่งจันทร์แต่ถ้าหล่อนไม่ออกไปช่วยทำงานในครัวก็เหมือนกับหล่อนไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ เสียงถอนหายใจดังขึ้น
“เราต้องสู้เพื่อพี่ฟ้า” หล่อนลุกพรวด ยาสีฟันแปรงสีฟัน ขัน สบู่ที่จันทร์ส่งให้ตอนค่ำ ถูกนำออกมาใช้งาน เพียงไม่กี่นาที ร่างเพรียวก็ก้าวเข้ามาในครัว
“จะให้ทำอะไรบอกมาได้เลยพี่ ฉันพร้อมจะเป็นสาวใช้แล้ว สั่งมาเลย”
หญิงสาวเท้าเอวสองข้างยืนห่างจากจันทร์ไม่ถึง 5 ก้าว จันทร์หันมามองแล้วยิ้มขำๆ ท่าทางของปรายชลจริงจังแต่กริยาที่แสดงออกเหมือนคุณหนูขันอาสามาทำงานในครัว ปรายชลมองจันทร์แล้วลดมือสองข้างที่สะเอวลง
“ยิ้มอะไรเหรอพี่จันทร์ ฉันแต่งตัวไม่สมฐานะเหรอ”
หล่อนก้มลงมองตัวเอง กางเกงขาสั้นที่หล่อนเตรียมมาไม่สั้นมากแค่เลยเข่าขึ้นไปเล็กน้อย เสื้อยืดคอกลมแขนสั้น แค่นี้ก็เหมาะสมกับฐานะคนรับใช้แล้ว หล่อนคิดอย่างนั้น จันทร์หัวเราะแล้วว่า
“แกจะแต่งยังไงก็ได้ไม่มีใครว่าหรอกแต่ที่พี่ขำเนี่ยเพราะท่าทางแกเป็นคุณหนูมากกว่าสาวใช้ แกจะทำงานนี่ได้สักกี่วัน”
“ฉันจะทำจนกว่าเจ้านายจะไล่ออก”
“ขอให้จริงเถอะ พี่กลัวว่าแกเจองานหนักแค่วันเดียวก็เผ่นแล้ว ไม่รู้คุณชิสส์เลือกแกมาเป็นคนใช้ได้ยังไง ให้ไปเป็นเลขาฯน่าจะเหมาะกว่า”
จันทร์ยิ้มอีกแต่ปรายชลยิ้มไม่ออก อากาศยามเช้าสดชื่นเย็นสบายแม้อยู่ในห้องครัว บรรยากาศที่นี่ต่างจากบ้านในกรุงเทพฯของหล่อน เพียงเดินออกจากห้องพักก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความสดในอากาศ หากจมูกหล่อนได้กลิ่นไม่เพี้ยนมากนัก เมื่อครู่หล่อนได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ ไม่แน่ใจว่าเป็นดอกอะไร มันมืดจนหล่อนไม่กล้าออกไปหาต้นของมัน หล่อนเดินผ่านกลิ่นหอมนั้นเข้ามาถึงครัว กลิ่นอาหารที่จันทร์เตรียมไว้ก็แทรกเข้ามาแทนที่
“เหมาะยังไงเหรอพี่จันทร์ หน้าตา รูปร่างฉันเป็นสาวใช้ไม่ได้รึไง ฉันทำได้ พี่จันทร์ไม่ต้องห่วงหรอก เออพี่.เมื่อกี้ที่ฉันเดินมานี่ได้กลิ่นดอกไม้ ไม่รู้ดอกอะไร มันหอมอ่อนๆ แต่ชื่นใจดี พี่ได้กลิ่นมั้ย”
ปรายชลถามขณะก้าวเข้าไปใกล้จันทร์ ช่วยล้างผักและหั่นผักชี หล่อนเห็นเครื่องปรุงก็รู้ว่าจันทร์จะทำอะไร สาวใช้รุ่นพี่หันมามองคนถาม
“แกชอบเหรอ”
“จ้ะ มันหอมดี ดอกอะไรเหรอพี่”
“ดอกจำปี ต้นอยู่หลังบ้าน เดี๋ยวสว่างก่อนจะพาไปเก็บมาไหว้พระ เอาไปไว้บนหัวเตียงคุณผู้หญิงด้วย คุณผู้หญิงชอบมาก ตอนที่เธอไม่ป่วย เธอเก็บมาร้อยมาลัยเกือบทุกวัน”
“คุณนีร้อยมาลัยเป็นด้วยเหรอ”
“เก่งมากเชียวแหละแก ไม่รู้ว่าจะตื่นมาร้อยได้อีกรึเปล่า เฮ้อ..”
“ต้องได้สิพี่ ยังไงคุณนีก็ต้องตื่นมาร้อยมาลัยได้เหมือนเดิม”
ปรายชลพูดอย่างมั่นใจ ความคิดช่วยภาวินีให้พ้นจากสภาพการหลับลึกยังคงติดอยู่ในสมอง จันทร์หันมามองแล้วถอนหายใจ นึกแปลกใจที่ปรายชลพูดเหมือนกับว่าจะช่วยให้นายหญิงใหญ่ของบ้านหายได้อย่างนั้น หล่อนจ้องหน้าปรายชล ดวงตาของหญิงสาวเป็นประกายวาววับ รอยยิ้มเจืออยู่บนใบหน้ามนช่วยเพิ่มน้ำหนักของคำพูดให้จันทร์เชื่อ สาวใช้คนเก่าถอนหายใจอีกครั้งแล้วเอ่ยขึ้น
“แกจะช่วยคุณผู้หญิงยังไง”
“ฉันยังไม่รู้หรอกพี่ วันนี้คุณหมอมาดูอาการคุณนีรึเปล่าพี่” ปรายชลตื่นเต้นเมื่อคิดถึงหมอประจำตัวของภาวินี
“มา ทำไม แกจะถามคุณหมอเหรอ ไม่ต้องถามให้เปลืองน้ำลายหรอกปราย คุณหมอยังหาวิธีไม่ได้เลย หมอบอกแค่ว่าต้องรอ ไม่รู้จะให้รอกี่ชาติ”
จันทร์พูดเหมือนกับโกรธหมอที่ไม่สามารถช่วยให้นายหญิงของหล่อนตื่นขึ้นมาพูดคุยได้ ปรายชลยิ้มแล้วว่า
“โกรธหมอไม่ถูกนะพี่ เราต้องช่วยหมออีกแรงถึงจะถูก ทุกวันนี้เราทำตามคุณหมอสั่งอย่างเดียวแต่เราไม่ช่วยคิดหาวิธีแก้ไข คุณนีจะตื่นได้ยังไงล่ะ เราต้องช่วยกัน บางทีนางฟ้า เทวดาอาจเห็นใจ เราพยายามเต็มที่ ท่านอาจจะปลุกคุณนีให้เราก็ได้”
“บ้าแล้วแก นางฟ้าเทวดาท่านไม่มายุ่งด้วยหรอก ทุกอย่างมันเป็นไปตามกรรม”
“สาธุ..”
ปรายชลยกมือจรดหน้าผากแล้วหันมายิ้มทะเล้นกับจันทร์ แม่บ้านเก่ายกมีดในมือขึ้น ปรายชลเอียงหน้าหลบแล้วหัวเราะเสียงดังออกไปถึงบันไดขึ้นชั้นบน เจ้านายหนุ่มชะงักเท้ากำลังจะแตะพื้นบ้าน หันไปมองตามเสียงหัวเราะ ใบหน้าเรียบเฉยเมื่อครู่คลี่ยิ้มบาง ดวงตาไหววับ เท้าก้าวไปทางห้องครัว
“แกอย่าทำเป็นหัวเราะดีนะ เรื่องเวรเรื่องกรรมมันมีจริงนะแก ระวังเถอะหัวเราะดีนักเวรจะตามทัน”
จันทร์ชี้หน้าปรายชล ดวงตาจ้องมาเหมือนกับโกรธๆ กับเสียงหัวเราะของหญิงสาว ปรายชลยกมือปิดปากแล้วหันหน้าหนีสายตาของแม่บ้านที่ขุ่นขวางมากขึ้นทุกทีแต่หล่อนเงียบได้ไม่กี่วินาที ความอยากรู้ก็ทำให้หล่อนหันมามองจันทร์