บทที่ 11 แค้น
ภานุรุจวางสายก่อนที่หลานชายจะมีข้ออ้างไม่กลับบ้าน เขาเดินไปห้องนอนของพี่สาว เปิดประตูก้าวเข้าไปด้านในแล้วปิดเบาๆ พี่สาวของเขายังหลับตาพริ้มเช่นเดิม เขาเดินไปนั่งข้างเตียงจับมือพี่มากุมไว้
“พี่นีครับ ตื่นมาเสียทีสิครับ ตอนนี้ตาชิสส์มันบ้าไปแล้วครับ มันรับตัวน้องสาวปรายฟ้ามาอยู่บ้านเรา ให้เธอเป็นสาวใช้ พี่นี ตาชิสส์กำลังคิดแก้แค้นปรายฟ้า ตาชิสส์มันคิดผิดนะครับ ตื่นมาช่วยกันห้ามตา0ชิสส์ทีสิครับพี่นี ผมขอร้อง รีบตื่นนะครับพี่”
เขายกมืออุ่นของพี่แนบแก้มขณะร้องขอให้พี่ตื่นมาคุยกับเขาแต่ภาวินียังคงหลับสนิท ไม่รับรู้คำขอของน้องชาย เขาวางมือพี่ลงที่เดิม สิ่งที่เขาอยากให้เกิดกลับไม่มีปาฏิหาริย์กับพี่สาวของเขาแต่สิ่งที่ไม่อยากให้เกิด หลานชายกลับทำมันขึ้นมา เขาจะพูดอย่างไร ภูชิสส์จึงจะเลิกล้มความคิดแค้นต่อปรายฟ้าลงได้
“พี่นีครับ ผมรอพี่อยู่นะครับ”
เขาเดินออกจากห้องพี่สาว มองหาจันทร์ก็ไม่พบจึงเดินตามหา เขาไม่กล้าใช้ปรายชล หล่อนไม่ใช่สาวใช้ที่พร้อมและยินดีมาทำงานอย่างนี้
“จันทร์ จันทร์ จันทร์อยู่ไหน”
“ขา มาแล้วค่ะ คุณนุเรียกจันทร์ทำไมเหรอคะ” จันทร์วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“ชงกาแฟให้ฉันแก้วนะ ขอขนมด้วย เอาไปที่ห้องทำงาน”
“ค่ะ”
“ถ้าตาชิสส์มาให้ไปพบฉันที่นั่น”
“ค่ะ”
จันทร์รับคำสั่งแล้วเดินออกไป ภานุรุจถอนหายใจยาว ภูชิสส์จะยอมล้มเลิกการแก้แค้นหรือเปล่าเขายังคาดเดาไม่ได้แต่เขาจะพยายามพูดให้หลานเข้าใจว่าปรายชลไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของเดชาแม้แต่ปรายฟ้าก็กล่าวโทษหล่อนไม่ได้ ในเมื่อไม่มีใครอยู่ในเหตุการณ์และที่สำคัญ เขาเพิ่งรู้จากสารวัตรสิทธิชัยว่า รถไม่ได้คว่ำเพราะคนขับประมาทแต่เบรกมีรอยตัดขาดจากกันด้วยของมีคม
การเสียชีวิตของเดชาไม่ใช่อุบัติเหตุธรรมดา เขาอธิบายให้ภูชิสส์เข้าใจความจริงแต่หลานกลับโทษปรายฟ้าเพียงคนเดียวและเก็บความโกรธแค้นนั้นมาตลอด กระทั่งพิธีศพเสร็จเรียบร้อย ภูชิสส์ก็ยังคงเงียบขรึมและวันนี้ภูชิสส์กำลังระบายความแค้นกับปรายชลซึ่งหล่อนไม่รู้เรื่องและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยสักนิด
จันทร์ยกแก้วกาแฟกับจานขนมมาวางบนโต๊ะทำงานของภานุรุจ ครู่เดียวเสียงรถแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้าน ไม่ถึงนาทีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามา” เจ้าของห้องเอ่ยอนุญาตขณะยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ สายตาอยู่ที่ประตูห้อง
“น้านุมีอะไรจะคุยกับผมเหรอครับ”
ภูชิสส์เปิดประตูก้าวเข้ามาก็พบสายตาขุ่นของน้าชาย เขารู้ว่าน้าจะพูดเรื่องอะไรแต่เขาแกล้งทำไม่รู้เสียอย่างนั้น เขาเดินไปนั่งเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของน้า ยิ้มบางๆ กับดวงตาที่จ้องเขาอยู่
“ปรายชลเป็นใคร” ภานุรุจตั้งคำถามเมื่อรู้ว่าหลานชายกำลังทำตัวไร้เดียงสากับเขา
“น้านุเห็นเธอแล้วเหรอครับ เธอเป็นสาวใช้คนใหม่ของเราครับ”
“เป็นน้องปรายฟ้าต่างหาก นี่แกกำลังจะทำอะไร แกไปเอาตัวคุณปรายชลมาทำไม แก้แค้นแทนปรายฟ้าอย่างนั้นหรือ แกทำไม่ถูกนะชิสส์ พาคุณปรายชลไปส่งบ้านเธอแล้วเลิกคิดแค้นเสียที”
ภานุรุจพูดในสิ่งที่เขาควรพูด เขายอมให้หลานชายทำผิดกับคนบริสุทธิ์ไม่ได้ ภูชิสส์แค่นยิ้มแล้วลุกขึ้นยืน ดวงตาที่สบตาของน้านั้นเต็มไปด้วยความโกรธ เขาถอยห่างโต๊ะตัวใหญ่
“ผมจะไม่ทำตามที่น้าพูด ผมจะถือว่าเราไม่ได้คุยเรื่องนี้แล้วก็ยายสาวใช้นั่น ไม่ใช่คนบริสุทธิ์สำหรับผม น้านุเลิกพูดกับผมเรื่องนี้ได้เลย”
เขาหมุนตัวก้าวยาวๆ ไปที่ประตูเปิดออกแล้วปิดอย่างไม่ออมแรง ภานุรุจถึงกับถอนหายใจเฮือก สีหน้าเป็นกังวล เขาจะติดต่อปรายฟ้าได้อย่างไร ถามจากภูชิสส์อย่างนั้นหรือ หลานชายของเขาไม่ยอมเปิดปากเรื่องนี้อย่างแน่นอน เขาถอนหายใจอีกครั้ง หยิบแฟ้มเอกสารขึ้นมาเปิดอ่าน
โรงแรมภูดาวเปิดบริการเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา ไม่น่าเชื่อว่าจะมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการมากและเรียกร้องให้ทำรีสอร์ทควบคู่ไปด้วย เดชาตัดสินใจเปิดรีสอร์ทเมื่อปีที่แล้วแต่ยังไม่ทันเห็นผลการลงทุนเขาก็เสียชีวิต ภานุรุจต้องช่วยภูชิสส์บริหารโรงแรมและรีสอร์ทไปพร้อมๆ กัน
ข่าวการเสียชีวิตของเดชาไม่ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจแต่ส่งผลถึงคนในครอบครัวรุนแรงซึ่งภานุรุจเข้าใจดีว่าพี่สาวของเขาเสียใจมากเพียงใดกับการจากไปของสามีและหลานชายโกรธแค้นมากแค่ไหนเมื่อรู้ว่า ในรถของพ่อมีผู้หญิงอยู่ด้วยและเป็นผู้หญิงที่พ่อของเขาสนใจ หากผู้หญิงคนนั้นตายตามเดชาไปความแค้นในใจของภูชิสส์คงไม่สะสมมาถึงวันนี้
“ตาชิสส์ น้ายอมให้แกทำร้ายปรายชลไม่ได้” ภานุรุจเดินออกจากห้องทำงานตามหาภูชิสส์แต่ไม่พบจึงเดินเรื่อยๆ ไปที่ห้องครัว
“จันทร์ คุณชิสส์อยู่ไหน”
“ขึ้นข้างบนไปแล้วค่ะ สั่งไว้ว่าห้ามรบกวนค่ะ คุณนุจะให้จันทร์ไปเรียนมั้ยคะ”
“ไม่ต้อง แล้วนี่ทำอะไรกัน” ภานุรุจเดินเข้ามายืนมองสองสาวกำลังเตรียมอาหาร
“ต้มจืดวุ้นเส้น ผัดพริกไก่ ต้มยำปลาทูสดค่ะ คุณนุจะรับอะไรเพิ่มบอกจันทร์ได้นะคะ”
“ไม่แล้วละ จะทำอะไรก็ทำ ปรายชลล่ะ ทำอาหารเป็นรึเปล่า งานบ้านมันจะหนักไปสำหรับเธอมั้ยถ้าไม่ไหวก็บอก ฉันจะให้ไปช่วยงานที่โรงแรม”
“ฉันเลือกได้เหรอคะ คุณภูชิสส์ออกคำสั่งออกมาแล้ว ฉันเปลี่ยนได้ด้วยเหรอ”