บทที่ 4-1
รถฉันไม่ใช่สิบล้อ
เสียงอะไรหนักๆ ดังขึ้น แรงที่กอดรัดคลายลง แต่ฉันทรงตัวไม่อยู่ เซถลาไปด้านหลังปะทะเข้ากับอะไรแข็งๆ ก่อนที่ลำแขนแข็งแรงกว่าเมื่อครู่จะกระหวัดเอวฉันแล้วดึงเข้าหา ฉันอ้าปากจะกรี๊ดอีกครั้ง
“ลองแหกปากดู เธอได้เจอดีแน่” แม้เสียงเพลงจะดังแค่ไหน แต่หัวใจฉันเต้นดังยิ่งกว่า กลิ่นน้ำหอมที่ฉันไม่อยากจำ อ้อมกอดแข็งๆ ที่ฉันอยากลืม เสียงทุ้มต่ำที่มีแต่คำประชดประชัน ฉันอยากขืนตัวหนีแต่ร่างกายกลับอ่อนยวบอยู่ในอ้อมกอด
“เฮ้ย ไม่เสือกเรื่องชาวบ้านว่ะ” เสียงอ้อแอ้ดังขึ้นอีกครั้ง ฉันเอี้ยวตัวกลับไปมองก็เห็นไอ้บ้ากามนั่นยืนโงนเงนกำลังเช็ดเลือดออกจากริมฝีปาก
“นี่เมียกู” จอมทัพเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่กวนอารมณ์เป็นที่สุด พร้อมกับยกเท้าถีบคนเมาทั้งๆ ที่ยังกอดฉันไว้ในอ้อมแขนอย่างปกป้อง
เขาไม่สนใจดูผลงานตัวเองด้วยซ้ำก็จัดการลากฉันออกมาทางหลังร้านผ่านที่จอดรถ ฉันพยายามขืนตัวไว้ แต่ไม่รู้ทำไม ร่างกายเหมือนกลัวเขา มันอ่อนแรงจนฉันอยากร้องไห้
“จะ...จะไปไหน” ฉันถามเสียงสั่น ยอมรับว่ากลัว แสงไฟกระทบเสี้ยวหน้าคมดุนั้นไม่ส่งให้เขาดูอ่อนโยนลงเลย
“อยากนักไม่ใช่รึไงก็จะพาไปจัดให้ ไม่ต้องเสียเวลามาเที่ยวแจกฟรี...” ฉันสะบัดฝ่ามือใส่หน้าอีกฝ่าย ร่างกายขยับไปก่อนสมองสั่ง แต่ไอ้โจรจอมทัพเหมือนจะรู้ทันจึงเบี่ยงตัวหลบได้ในจังหวะสุดท้าย
แม่งเคยเรียนแม่ไม้มวยไทยมารึไงวะ!
“ชอบความรุนแรงอย่างไอ้นั่นว่าจริงๆ” เขารวบแขนฉันไว้ขยับดันจนถอยไปชิดรถคันหนึ่งแล้ววางแขนกักร่างฉันไว้ตรงกลาง
“ปะ...ปล่อยก่อน” ฉันเบนหน้าไปอีกทางเมื่อเขาขยับเข้าใกล้ กลิ่นแอลกอฮอล์จากลมหายใจกรุ่นเริ่มมอมเมา ทำเอาหัวใจฉันเต้นระรัว ใบหน้าร้อนผ่าวเมื่อจอมทัพโน้มตัวลงมาหา ยกขาข้างหนึ่งแทรกตรงหว่างขาของฉันไว้ ลมหายใจร้อนๆ สัมผัสแผ่วเบาลงบนแก้มก่อนเจ้าตัวจะเป่าใส่ใบหู พาให้ขนอ่อนของฉันลุกซู่
ตัวฉันสั่นระริกอย่างไม่อาจควบคุม ก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่อรู้สึกถึงฝ่ามือร้อนๆ ที่กำลังลูบวนอยู่บริเวณช่วงเอว สติของฉันกระเจิดกระเจิง สมาธิวิ่งไปรวมอยู่บนบริเวณที่กำลังถูกฝ่ามือหยาบลูบไล้ สอดเข้ามาด้านในเสื้อ สัมผัสกับเนื้อตัวเปล่าเปลือยของฉันโดยไม่มีอะไรขวางกั้น ความร้อนแล่นลามไปตามผิว หัวใจของฉันสูบฉีดแรงก่อนจะกระตุกเมื่อริมฝีปากหยักแนบลงบนผิวแก้ม
มันเย็นชืด เปียกชื้น แต่กลับอ่อนนุ่ม จอมทัพไล้ริมฝีปากแผ่วเบาราวหยอกเอินประสานกับมือหนาอีกข้างที่กำลังนวดเฟ้นช่วงเอว ปลายจมูกโด่งสันดุนดันกับพวงแก้มนุ่มของฉันไม่เบาแรง พอๆ กับมือที่บีบเฟ้นหนัก ฉันกำลังจะอ้าปากประท้วงเขาก็ย้ายพื้นที่จู่โจมอีกครั้ง
“อื้อ...” ฉันร้องได้แค่นั้นเมื่อถูกเขางับริมฝีปากล่าง ดูดแรงๆ แต่กลับเสียวแปลบไปทั่วท้องน้อย
สมาธิทั้งหมดถูกดึงไปยังริมฝีปากนุ่มที่กำลังถูกรุกราน ฉันพยายามใช้สองมือที่แทบจะไร้เรี่ยวแรงดันหน้าอกกว้าง แต่เขากลับปล่อยมืออีกข้างที่เท้ากับกระโปรงหน้ารถเพื่อสอดเข้ามาในเรือนผม ตรึงท้ายทอยของฉันไว้ไม่ให้ดิ้นหนี ใช้ลำแขนโอบกอดเอวของฉันให้แน่นขึ้นแล้วดึงเข้าหาหน้าอกแกร่ง
จอมทัพดูดดึงริมฝีปากฉันเล่นจนพอใจ ไล้ปลายลิ้นไปบนกลีบปากไม่ยอมห่าง ทำเหมือนกำลังละเลียดชิมน้ำตาลไอซิ่งบนขนมหวานคล้ายกับไม่อยากตัดใจ
ฉันครางอู้อี้ พยายามร้องประท้วง แต่ดูเหมือนเขากำลังติดใจอะไรสักอย่างบนริมฝีปากฉันพอๆ กับมือใหญ่ที่เริ่มไต่สูงขึ้นจนน่าหวาดเสียว สมองของฉันหมุนคว้าง รู้ว่าควรขัดขืน ขยะแขยง แต่ร่างกายคล้ายกับจดจำสัมผัสของเขาได้ เหมือนผู้ชายคนนี้ได้สลักตัวตนของเขาลงไปในจิตวิญญาณ
คนเอาแต่ใจกดฝ่ามือลงบนแผ่นหลัง รั้งร่างฉันเข้าหาจนทรวงอกแนบชิดไปกับแผงอกกว้าง ถ่ายทอดไอร้อนผะผ่าวที่ลามมาจากร่างของเขา ในขณะที่ริมฝีปากของเราแนบสนิทกัน เขาก็ใช้ปลายลิ้นดุนดันให้ฉันยอมเผยอริมฝีปากรับ
ครืดๆ ครืดๆ
โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงของฉันสั่น ดึงสติที่หลุดลอยให้กลับคืนมา ฉันอาศัยจังหวะนั้นผลักเรือนร่างสูงใหญ่ออกไป จอมทัพยอมขยับห่างเพียงเล็กน้อย ทั้งที่สองแขนยังคร่อมตัวฉันไว้ไม่ยอมปล่อย
ฉันรีบกดรับสายโดยไม่ดูชื่อด้วยซ้ำ อย่างน้อยมันก็เปรียบเหมือนระฆังช่วยชีวิต
“ค่ะ”
[อยู่ไหน] น้ำเสียงร้อนรนของโซดาดังขึ้นมาผสานกับเสียงเพลงดังกระหึ่ม
ฉันเหลือบตามองจอมทัพ แล้วจึงตอบกลับไปเบาๆ “ฝุ่นออกมาข้างนอกแล้ว”
[จะกลับทำไมไม่บอก]
“ก็เห็นนายยังยุ่งอยู่ ไม่ต้องห่วง...”
[ไม่ห่วงได้ไงวะ] เขาตะคอกกลับมาเสียงดัง [ครั้งที่แล้วก็กลับก่อน แม่ง กว่าจะติดต่อได้หายไปคืนหนึ่งกับอีกครึ่งวัน] เขาหมายถึงครั้งก่อนที่ฉันถูกจอมทัพพาตัวไป กว่าจะแต่งเรื่องโกหกขึ้นมาได้ก็แทบตาย
[รออยู่ตรงนั้นเดี๋ยวออกไปหา]
“ไม่ๆๆ” ฉันรีบละล่ำละลักห้าม “ฝุ่น ฝุ่นถึงรถไฟใต้ดินแล้ว นายไม่ต้องออกมาหรอก เจอกันพรุ่งนี้ที่มหา’ลัย” แม้อยากไปกับอีกฝ่ายแทบตาย แต่ฉันก็ทำไม่ได้
จอมทัพจ้องมองนิ่ง ก่อนจะยกมุมปากยิ้มเมื่อเห็นฉันปฏิเสธโซดา แล้วโน้มหน้าเข้ามาหา กระซิบลงข้างหูอีกด้านที่ไม่มีโทรศัพท์
“วางได้แล้วครับ” น้ำเสียงเซ็กซี่ร้ายกาจนั่นกำลังทำให้หัวใจฉันสั่นพอๆ กับอาการลูบไล้ใต้เสื้อที่เริ่มขึ้นอีกครั้ง
[ฝุ่น แกรออยู่ตรงนั้นเลย] โซดายังโวยวายไม่เลิก
“แกไปส่งพลอยเถอะ ฉันกลับเองได้ แค่นี้นะ รถไฟมาแล้ว เดี๋ยวถึงหอดึกโดนลงชื่อ ฝากบอกน้ำค้างให้ฝุ่นด้วยนะ” ฉันกดตัดสายแล้วผลักจอมทัพออกห่างก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะทันได้สัมผัสแก้มอีกครั้ง
“พอใจคุณแล้วใช่ไหม”
เขาไหวไหล่ ท่าทางไม่ยี่หระ แต่ก็ก้าวตามเข้ามาคว้าแขนขณะที่ฉันถอยกรูดไปชิดรถ
“เลิกเล่นเกมสะดีดสะดิ้งเถอะ นี่ก็เห็นมาหมด เลียมาทั่วตัวแล้ว”
“ไอ้...”
“ไม่เอาน่า อยากให้ฉันประจานตรงนี้ด้วยการจัดชุดใหญ่ไหม ไม่แน่ตอนนี้เราอาจจะกำลังแสดงหนังสดหน้ากล้องวงจรปิดก็ได้นะ”
ฉันผวาทันทีเมื่อคิดตาม เผลอเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายลากตามไปง่ายๆ ลืมไปได้ยังไงเรื่องคลิปคืนนั้น เขาเปิดประตูรถคันหรู ยัดฉันใส่เข้าไปด้านใน เปิดประตูอีกฝั่งแล้วนั่งลงหลังพวงมาลัย
“จะให้ไปส่งที่ไหน”
“ฉันกลับเองได้”
“กลับไปกับไอ้โซดาน่ะนะ ถ้าไม่บอกก็ไปต่อที่ห้องฉันแล้วกัน”
“รถไฟฟ้าใต้ดิน” ฉันเลิกพยศทันที เขาแค่นเสียง หึ แล้วจึงออกรถ
ร้านนี้ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับสถานีรถไฟใต้ดิน พอเขาขับออกมาแป๊บเดียวฉันก็เห็นป้ายชี้บอกทาง แต่อีกฝ่ายกลับขับเลยไป แถมยังกวนอารมณ์ด้วยการเปิดเพลงกลบเสียงโวยวายลั่นของฉันอีก
“บอกมาว่าพักอยู่ที่ไหน จะไปส่ง” เขาปล่อยให้ฉันโวยวายจนเหนื่อย พอรถติดไฟแดงฉันก็พยายามจะเปิดประตูกระโดดลง แต่รถหรูคันนี้กลับสามารถล็อกได้จากฝั่งคนขับ ช่างเอื้อประโยชน์ให้โจรชัดๆ
“หอใน” ฉันว่าแค่นี้แล้วหันไปมองนอกรถ เลิกสนใจเขา ปล่อยให้ภาพเมืองกรุงยามค่ำคืนไหลผ่านสายตา
ชีวิตสับสนของผู้คนในเมืองใหญ่จะมีใครปากกัดตีนถีบเหมือนฉันไหมนะ ฉันได้แต่แอบสงสัยเมื่อเห็นใครต่อใครกำลังเดินสวนกันไปมาบนทางเท้า จนเมื่อเห็นเด็กขายพวงมาลัยเดินเข้ามา จึงค่อยหันกลับไปถามคนข้างๆ เสียงเบา
“ขอซื้อพวงมาลัยได้ไหม”
“รถฉันไม่ใช่สิบล้อ” ไอ้โจรห้าร้อยตอบกลับเสียงนิ่ง
ฉันเม้มริมฝีปากข่มอารมณ์ “จะซื้อไปไหว้พระที่ห้อง” ว่าเสียงอ่อนเพราะกำลังขอร้อง “นะคะ”
จอมทัพเบนสายตามองฉัน เลิกคิ้วขึ้นด้วยสีหน้าแปลกใจแต่ก็ยอมกดเปิดกระจกให้
ฉันเลิกสนใจเขา หันไปเรียกเด็กตัวน้อยที่ยังอยู่ในชุดนักเรียน “น้องคะ พี่ขอพวงหนึ่งค่ะ”
“ของซื้อของขาย ใครเขาให้ฟรี” เสียงโจรกวนประสาท อยู่ด้วยกันฉันต้องกดข่มอารมณ์เบอร์แรง
“เท่าไหร่คะ” ฉันล้วงหากระเป๋าเงินในกางเกง ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแค่โทรศัพท์กับกระเป๋าสตางค์แบบผ้า ไม่มีกระเป๋าถือสวยๆ แบบผู้หญิงคนอื่นเขาหรอก
พอเงยขึ้นมาก็เห็นลำแขนแกร่งผ่านหน้า ส่งเงินให้เด็กน้อยที่ยิ้มหน้าบานส่งพวงมาลัยให้ฉันแล้วก้มนับเงินทอน
“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องทอน” เด็กน้อยวัยแปดเก้าขวบรีบพนมมือไหว้เอ่ยขอบคุณฉันซ้ำๆ จนสัญญาณไฟใกล้เปลี่ยนสีจึงค่อยผละจากไป
“ฉลาดใช้เงินคนอื่นนี่”
ฉันเลิกใส่ใจเขา ทำเพียงล้วงแบงก์ร้อยส่งคืนให้ แต่อีกฝ่ายไม่ยอมรับ อาจเพราะกำลังขับรถอยู่ ฉันจึงตัดสินใจจะเอาวางไว้ข้างๆ
“เก็บไปเถอะ เงินร้อยเดียวไม่ทำให้ขนหน้าแข้งฉันร่วงหรอก”
“แต่ฉันไม่อยากติดหนี้บุญคุณใคร” ฉันกระแทกเงินวางไว้ข้างๆ แล้วหันกลับไปมองนอกหน้าต่างอีกครั้ง