บทที่ 3-1
ชอบความรุนแรง?
เชี่ยเอ๊ย...
ฉันสบถในใจแล้วหันหลังวิ่ง!
เออ... ใช่ ฉันออกวิ่งท่ามกลางสีหน้างงๆ ของคนรอบข้าง วิ่งหน้าตั้งออกจากคณะสถาปัตยกรรมเหมือนเห็นผี วิ่งเร็วจนเจ็บลิ้นปี่
“ฝุ่น! เป็นอะไร” น้ำค้างหน้าตาเหลอหลาวิ่งตามมาทีหลัง ยืนมองฉันที่ทิ้งตัวลงนั่งเป็นหมาหอบแดดอยู่บนทางเท้า
ตอนนี้ฉันมีปัญญาทำได้แค่ยกมือโบกไปมา ไม่มีแม้แต่แรงจะอ้าปากตอบ
ทำไมไอ้ชั่วนี่มาอยู่ในมหาวิทยาลัยฉันได้ ทั้งๆ ที่คิดว่าชาตินี้คงไม่เจอกันอีก ฉันไม่อยากเจอมัน แม้นึกอยากจะแจ้งความจับ แต่ภาพในคลิปนั่นแทบไม่เป็นหลักฐานในการแก้ต่างใดๆ ใครจะไปเชื่อว่าผู้หญิงที่ร้องครวญครางในนั้นจะถูกขืนใจ หากเปลี่ยนเป็นฝ่ายแก้ผ้าวิ่งเข้าใส่ยังจะน่าเชื่อถือกว่า ไอ้บ้านั่นต้องวางยาปลุกเซ็กซ์ฉันแน่ๆ แถมมันยังมีคลิปสารภาพบาปที่ฉันไม่ได้เป็นคนก่อจากไอ้นรกสามตัวนั่นอีก ชีวิตเล็กๆ ที่ไม่มีอำนาจ ไม่มีเงิน จะเอาอะไรไปสู้ในชั้นศาล นอกจากปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปโดยไม่เป็นบ้า ฉันยังจะมีปัญญาทำอะไรได้อีก
“แล้ววิ่งออกมาทำไม” น้ำค้างนั่งลงข้างๆ ฉัน
“พอดี... เอ่อ เจอคนที่ไม่ค่อยชอบหน้าน่ะ ไม่มีอะไรหรอก เปลี่ยนไปกินที่ศิล’กรรมแทนได้ป้ะ” ฉันรีบพาเปลี่ยนเรื่อง
ยัยตัวเล็กทำหน้ายู่ “ฮือ... วันนี้พี่จอมทัพอุตส่าห์อยู่ที่คณะ ฝุ่นนะฝุ่น ทำไมต้องไปกินที่อื่นด้วยก็ไม่รู้”
ฉันกลอกตา “เอาน่า ผู้ชายมีเยอะแยะ ไม่มีพี่อะไรนะ... จอม เออนั่นแหละ ก็ไปส่องหนุ่มศิล’ กรรมเอาก็แล้วกันนะ”
“โหย ฝุ่น พี่จอมทัพย่ะ ฝุ่นไปมุดหัวอยู่ไหนมา พี่เขาฮอตมาก เป็นแรร์ไอเท็ม นานๆ จะได้เจอเขาสักครั้งนะ”
“อืมๆ คนไหน เดี๋ยวฝุ่นหารูปให้” ฉันโบกมือพลางพยุงตัวลุกขึ้น
“ก็พี่ผู้ชายคนสูงๆ หล่อๆ ที่ยืนอยู่ตรงหน้าทางเข้าโรงอาหาร ที่กำลังถูกรุมล้อมจากสาวๆ นั่นแหละ”
ฉันหลับตาคิดภาพตาม สูงๆ หล่อๆ กลางวงสาวๆ “ใส่เสื้อนิสิตกับกางเกงยีนสีซีดๆ ป้ะ”
“นั่นแหละจ้ะ”
ชัดเลย ไอ้โจรห้าร้อยชื่อจอมทัพ
ฉันส่ายหน้ารัว “น้ำค้าง ฝุ่นว่า... อย่าไปยุ่งกับเขาดีกว่านะ ดูเป็นคนเลว... ไม่น่าไว้ใจยังไงไม่รู้ ดูเจ้าชู้ปลิ้นปล้อน สำส่อนฟันไม่เลือก”
มีเวลาสักสามชั่วโมงไหมล่ะ ฉันจะแฉให้ยับเลย!
ยัยตัวเล็กส่ายหน้าหัวเราะร่วน “หล่อวัวตายควายล้ม หล่อน้ำเดินขนาดนั้นนี่นะฝุ่นที่ดูไม่น่าไว้ใจ พี่เขาออกจะแสนดีมีน้ำใจ”
ใช่คนเดียวกันไหมเนี่ย?
ฉันโบกมือไปมาตัดบทสนทนา ไม่อยากฟังคำสรรเสริญที่มันเกินจริง ไม่ใช่ๆ ต้องบอกว่ามันสวนทางกับความเป็นจริง เรียกว่าหน้ามือกับส้นตีน สวรรค์กับขุมนรกชั้นสิบหก เอ๊ยสิบแปด จะชั้นไหนก็ช่างแม่งเถอะ แต่ไม่ใช่สวรรค์ชั้นฟ้าแน่ๆ
“ไปรู้จักเขาได้ยังไง”
“โห ใครไม่รู้จักพี่จอมทัพบ้างฝุ่น”
“ก็ฉันนี่ไง” ฉันว่าอย่างเซ็งๆ ผิดไหมที่ฉันไม่เคยรู้จักไอ้บ้านี่มาก่อน
“งั้นตอนนี้ก็รู้จักแล้วนะ พี่จอมทัพเป็นพี่ปีห้า อยู่คณะสถาปัตย์ เป็นหนุ่มหล่อที่ฮอตมาก แต่ปีนี้พี่เขาไม่ค่อยเข้ามหา’ลัยแล้ว ถึงบอกไงว่านานๆ จะได้เจอสักที เป็นแรร์ไอเท็มของแท้”
“ก็แค่หน้าตาดี” ฉันเบะปากค่อนขอด นึกเทียบกับโซดา คนหนึ่งหน้าตาแบดๆ เถื่อนๆ เหมาะเป็นตัวร้าย ไม่ได้หล่อเกาหลีดูแสนดีแบบโซดา ไม่เห็นน่าสนใจตรงไหน
“ไม่ใช่แค่หน้าตา แต่ฐานะก็ดี มากกกก” น้ำค้างลากกอไก่ยาวไปอีกสามกิโลเมตร “นิสัยก็ดี พี่จอมเคยช่วยน้ำค้างถือของครั้งหนึ่งด้วย ตอนนั้นต้องแบกกล่องใบใหญ่” เล่าพลางยกมือทำท่าประกอบ “เดินๆ เซๆ แล้วพี่เขาก็เข้ามาช่วย เดินไปส่งถึงคณะแน่ะ”
ฉันพยักหน้าตาม คร้านจะฟังคำเยินยอเกินจริงจึงเบนสายตาชมนกชมไม้ เข้าหูบ้างไม่เข้าหูบ้าง ปล่อยยัยตัวเล็กพล่ามไป จนหมดช่วงเวลาพักกลางวัน โซดาก็แวะมารับที่โรงอาหารคณะศิลปกรรมหลังจากไปส่งพลอยมาก่อนแล้ว เพราะมีชนักติดหลังฉันจึงต้องพาเขาเดินอ้อมไปทางคณะวิศวะ แทนที่จะผ่านหน้าคณะสถาปัตยกรรม
คาบเรียนบ่ายเลิกเร็วกว่าปกติ โซดาอาสาเดินไปส่งฉันที่หอ เพราะเขาแสนดีแบบนี้ไง ใครๆ เลยพากันตกหลุมรัก พวกเราเจอกันวันรับน้อง ได้อยู่กรุปเดียวกัน เป็นบัดดีกัน และเพราะนิสัยดีคุยสนุก ช่างเทกแคร์ จากเป็นแค่เพื่อนฉันจึงเผลอเลื่อนสถานะทางใจให้อีกฝ่าย
แต่ก็นั่นแหละ มีแค่ฉันที่คิดไปเอง ส่วนเพื่อนตัวดีน่ะไม่เคยรับรู้หรอกว่า ทุกความเอาใจใส่ที่มอบให้กันนั้นทำให้ฉันหวั่นไหวมากแค่ไหน
ปกติมีโซดาก็ต้องมีฝุ่น จนฉันกลายเป็นที่อิจฉาของสาวๆ ในสาขา ไปๆ มาๆ ฉันจึงกลายเป็นตัวน่ารังเกียจที่เพื่อนผู้หญิงไม่อยากเข้าใกล้ แน่นอนว่าฉันไม่มีเวลาสนใจ ลำพังวิ่งทำงานหาเงินก็กินทั้งกำลังกายและกำลังใจ ใครอยากไม่ชอบหน้าก็ตามสบายเลยจ้า
ทว่าพอมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ โซดาจึงยิ่งเป็นห่วง เวลามีงานคู่หรืองานกลุ่มต้องเป็นธุระวิ่งแจ้นมาจับคู่กับฉัน ทั้งๆ ที่เขาเองก็มีกลุ่มเพื่อนผู้ชาย ดังนั้นพอมีโซดา คนอื่นก็จะรีบตามเข้ามารวมกลุ่มด้วย ทำให้อย่างน้อยงานกลุ่มของฉันก็ยังมีสมาชิกร่วม ไม่ได้โดดเดี่ยวหัวเดียวกระเทียมลีบเกินไป
อันที่จริงแล้วในสาขาก็ยังมีผู้หญิงคนอื่นที่นิสัยดี หรือไม่หลงโซดาจนหน้ามืดตามัว เช่นน้ำหวานกับเจ๊เบเบ้ที่มักเข้ามาคุยด้วยบ่อยๆ แต่พวกเราเจอกันแค่ในเวลาเรียนเท่านั้น เนื่องจากฉันแทบไม่มีเวลาไปสังสรรค์กับใคร ทำให้สุดท้ายแล้วก็ยังไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่ ไปๆ มาๆ จึงวนเวียนอยู่แต่กับโซดา
เมื่อกลับมาถึงห้องฉันก็ทิ้งกระเป๋า แล้วเปิดแล็ปท็อปรุ่นเก่าที่ใช้เวลาสตาร์ตเครื่องประมาณชาติเศษ ระหว่างนั้นก็หันไปจัดกระเป๋าสำหรับเรียนวันพรุ่งนี้ ส่งข้อความหาน้องสาว โทร.หาแม่ คุยนิดๆ หน่อยๆ ถามเรื่องสุขภาพและเจ้าหนี้
ไอร้อนจากคอมพิวเตอร์เครื่องเก่าปะทะผิว ร้อนจนฉันนึกอยากสเปรย์น้ำใส่ให้มันระเหยกลายเป็นไอ ลองนึกภาพว่าขณะฉันพิมพ์งานแล้วมีละอองน้ำพ่นใส่หน้า แทบจะเรียกว่าทำสปาย่อมๆ ได้เลยทีเดียว และก็หาซื้อที่ไหนไม่ได้ด้วยนะฟังก์ชันนี้
คอมพิวเตอร์เครื่องนี้ฉันใช้มาได้ห้าหกปี ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม จนเจ้าเครื่องคู่ชีพประท้วงแล้วประท้วงอีกเหมือนจะลาโลก แต่ฉันยังไม่ยอมปลดปล่อยวิญญาณมันเสียที โชคดีได้พี่ที่รู้จักพอซ่อมให้ ซ่อมไปจนชนิดที่ว่า ถ้าเป็นคนมันคงโดนแก้ผ้าสำรวจจนทะลุปรุโปร่งไปแล้ว
เมื่อกลับจากไปล้างหน้าล้างตา เปลี่ยนเสื้อผ้า เจ้าเครื่องรุ่นพระเจ้าเหาก็ทำการสตาร์ตตัวเองสำเร็จจนได้ ฉันจึงเข้าไปไล่อ่านอีเมลเรื่องงานก่อน ดูว่ามีลูกค้าใหม่ติดต่อเข้ามาไหม โดยฉันอาศัยข้อได้เปรียบจากการเรียนการตลาดและเผอิญว่าเรียนเก่งมากมารับทำงานโฆษณาออนไลน์ เขียนคอนเทนต์ต่างๆ ลงเว็บไซต์ และพ่วงงานออกแบบสิ่งพิมพ์ที่เรียนรู้เองอีกหนึ่งอย่างเข้าไป จากปีแรกๆ ที่ต้องใช้แรงงานแลกเงิน พอขึ้นปีสามฉันก็เปลี่ยนมันสมองเป็นแบงก์พันแทน และนอกจากนี้ยังจัดสรรหาวันว่างรับสอนพิเศษเด็กเป็นกลุ่ม ซึ่งได้เงินและประหยัดเวลามากกว่าสอนแบบตัวต่อตัว
เมื่อทุ่มสมาธิกับงาน เวลาจึงไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว มารู้ตัวอีกครั้งก็ตอนที่น้ำค้างส่งข้อความมาเตือนให้ไปรับ
บ้านญาติของน้ำค้างอยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยไม่ไกล แต่เพราะอยู่ในย่านใจกลางเมือง ถึงห่างแค่สิบกว่ากิโลเมตรก็ยังใช้เวลาเกินหนึ่งชั่วโมงกว่าฉันจะฝ่าการจราจรแสนคับคั่งมาถึง หลังยืนสูดลมหายใจเข้าออกอยู่สี่ห้าครั้งหน้าประตูรั้วเหมือนกำลังจะออกศึกสงครามก็ไม่ปาน ฉันก็ยื่นมือออกไปกดกริ่ง เพียงครู่ผู้หญิงวัยกลางคนที่ฉันคุ้นหน้าก็เดินออกมา
“สวัสดีค่ะคุณอา” ฉันประนมมือไหว้ ผ่อนลมหายใจออกช้าๆ
“มารับน้ำค้างเหรอ” อาประพรายมองฉันด้วยหางตา เชิดปลายคางขึ้นอย่างคนที่มักถือว่าตัวเองอยู่ในฐานะสูงกว่า “จะออกไปร้านไหนกัน”