บทที่ ๕ หมั้นหมาย
จวบจนมืดค่ำเจ้าพระยาศรีศักดากับพระนางเรวลัยก็ยังมาไม่ถึง เพตรารู้สึกถึงความผิดปกติของด้านนอก เสียงฝีเท้าที่เดินอยู่หน้าประตูเรือนนอน จึงค่อยๆ เปิดช้าๆ นางเห็นทั้งอัตถ์และภัทรวดีเดินไปมาราวกับมีเรื่องร้อนใจแต่ยังไม่กล้าแม้กระทั่งที่จะเคาะเรียกน้องสาว ด้วยเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ทั้งสองกระทำผิดต่อเพตราจึงรู้สึกละอายแก่ใจ
“มีเรื่องอันใดถึงทำให้ท่านพี่ทั้งสองมายืนรอที่หน้าเรือนนอนของน้องเล่า” เสียงบานประตูเปิดออกร่างแน่งน้อยก้าวออกมา ทั้งสองก็เดินกรูเข้ามาตรงหน้าน้องสาวเพื่อสำนึกผิด
“น้องมิโกรธพวกพี่สองคนแล้วฤๅ” อัตถ์เอ่ยขึ้น ภัทรวดียิ่งรู้สึกผิดกล่าวโทษตัวเองที่ปากพล่อยนิสัยไม่ดีเอาเสียเลย
“…” นางส่ายหน้าไม่ถือสาหาความอันใด หลังจากคิดทบทวนเรื่องราวทั้งหมดก็ยอมรับความเป็นจริง
“มิโกรธแล้วเจ้าค่ะ น้องยอมรับได้แล้ว” สิ้นเสียงของเพตราทั้งสองคนจึงถอนหายใจเหมือนกับยกภูเขาออกจากอก
“ถ้าเยี่ยงนั้น น้องหิวฤๅไม่ นี่ก็มืดค่ำแล้วเจ้าคุณแม่เรียกพวกเราไปกินข้าวที่เรือนใหญ่” ภัทรวดีรีบบอกเพตรา เมื่อเห็นว่าเรื่องทุกอย่างได้คลี่คลายลง
“งั้นพวกเราไปกันเถิด น้องหิวมากเจ้าค่ะ” เพตราพยักหน้าตอบตกลง แล้วทั้งสามจึงเดินไปพร้อมกัน
“พี่พิมพ์ เมื่อไรท่านพ่อท่านแม่จะมาถึงเล่า”
“พี่ก็มิค่อยรู้นักดอก แต่ได้ยินท่านอาแจ้งข่าวมาว่า ท่านทั้งสองต้องเข้าพระราชวังก่อน รุ่งขึ้นยามบ่ายคล้อยถึงจะมาพักที่เรือน”
“อย่างนั้นหรอกฤๅ ก็ดีเหมือนกันรุ่งเช้าน้องจะเตรียมสำรับให้พวกเขา”
“เจ้าอารมณ์ดีแล้วรึ” ภัทรวดีกับอัตถ์ลอบมองน้องสาวพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“แน่นอนว่าน้องมีความสุขมาก ครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตากันเยี่ยงนี้”
เมื่อมาถึงเรือนใหญ่ ก็รับประทานอาหารจนอิ่มหนำสำราญ เจ้าพระยานฤเบศก์รีบแจ้งกำหนดการวันพรุ่งนี้ขึ้นทันที
“แม่เพตรา รุ่งเช้าต้องเข้าพระราชวังพร้อมอาหนา”
“เหตุใดต้องเข้าพระราชวังด้วยเจ้าคะ” เพตราเอ่ยถามอย่างคลางแคลงใจ
“มีพระประสงค์จากสมเด็จพระเจ้าฯ” ท่านเจ้าพระยาตอบนางแล้วหันมาทางอัตถ์และภัทรวดี ที่ใบหน้ามีคำถามมากมาย
“ส่วนพวกเจ้า มิต้องไปดอก”
“เหตุใดเล่า เจ้าคุณพ่อ”
“เรื่องนี้พ่อเองก็สุดจะรู้ ความคิดของพระองค์ท่านเราจะรู้ได้เยี่ยงไรกันเล่า ช่างเถิดพวกเจ้าก็รีบกลับเรือนไปนอนเสีย รุ่งเช้าแม่เพตราต้องเข้าพระราชเข้าวังแต่เช้าตรู่”
“เจ้าค่ะ” ภัทรวดีและเพตราขานรับเสร็จก็ขอตัวกลับเรือนทันที เหลือไว้เพียงอัตถ์และคุณหญิงมลิกา
“เจ้าคุณพ่อขอรับลูกรู้ว่าท่านคงทราบเรื่องราว บอกลูกมาเถิด” ท่านเจ้าพระยาเผยสีหน้าเหนื่อยหน่ายใจ พลางหันมามองคู่ชีวิตที่พยักหน้ารับ ยินยอมให้เอ่ยถึงความนัยทั้งหมดที่ได้ยินมา
“คงเป็นเรื่องมงคลกระมัง”
“เรื่องมงคล...ของใครขอรับ” อัตถ์เอ่ยต่อด้วยเสียงตื่นตระหนก คงไม่ใช่สิ่งที่เขาคาดคิดกระมัง
“แม่เพตรากับองค์รัชทายาท...”
“ได้เยี่ยงไรกันขอรับ แม่เพตรายังเยาว์วัย และพระองค์เล็กก็จะไปเมืองหน้าด่านกับลูก”
“พ่ออัตถ์ใจเย็นก่อนเถิด แค่หมั้นหมายไว้อีกห้าปี คราใดที่พระองค์เล็กกลับมาเพลานั้นคงมาถึง แม่หวังว่าพระองค์คงทำให้ลูกยอมรับได้กระมัง” นางเย้าแหย่ลูกชายที่มีสีหน้าดุดันเคร่งขรึม กำหมัดแน่น คิ้วขมวดโดยไม่รู้ตัว
“ลูกขอตัวก่อนหนาขอรับ”
“พ่ออัตถ์” นางคิดว่าลูกชายจะสีหน้าดีขึ้นบ้างแต่กลับตาลปัตร เดินหุนหันเข้าไปในเรือนนอนและปิดประตูลงกลอนเสร็จสรรพ
นางจึงหันมาถามสามีต่อ ราวกับมึนงงกับกิริยาท่าทางของบุตรชาย
“คุณพี่เจ้าขา ลูกเราเป็นกระไรไป”
“คงจะตกใจมิน้อยกระมัง อย่าถือสาเลย เราไปนอนกันเถิด”
“แต่ว่าสีหน้าเมื่อครู่ นี่มันดู...”
“ไปเถิดพี่ง่วงแล้วหนา ลูกมันโตแล้วปล่อยให้คิดทบทวนตัวเองเถิด”
“...” สามีรุนหลังให้รีบเข้าเรือนนอน ทำให้นางไม่อาจเอ่ยถามอันใดได้อีก
เมื่อลงกลอนประตูเรียบร้อย อัตถ์กลับนอนก่ายหน้าผากครุ่นคิดเรื่องที่ได้รับรู้มา เพตราจะต้องแต่งงานกับพระองค์เล็ก
ไม่ได้! เขาไม่ยอมให้เรื่องเกิดขึ้นเด็ดขาด เพตรายังเด็กเกินไป ส่วนพระองค์เล็กนั้นมีนางห้ามตั้งแต่พระชนมายุสิบสองพรรษา จะให้เพตราไปพบเจอเรื่องราวที่หนักหนา นางไม่เหมาะกับสถานที่ผู้คนในตำหนักจ้องจะชิงดีชิงเด่นกัน เพตราบริสุทธิ์ดุจน้ำค้างไม่เคยเจอจิตใจมนุษย์ที่ยากแท้หยั่งถึง
นางจะรับไหวได้เยี่ยงไรกัน
รุ่งเช้าเขาต้องเข้าวังพร้อมนาง และลองอ้อนวอนพระองค์เจ้าศิราให้จงได้
อัตถ์คิดหนักยันฟ้าสาง ไม่สามารถข่มตานอนหลับได้เพียงชั่วยามเดียว
เพียงเพื่อน้องสาวนอกสายเลือด ทำไมถึงต้องคิดมากเพียงนี้
เหตุใดถึงห่วงหาเวลาที่ห่างไกล
เหตุใดถึงรักและทะนุถนอมนางทุกเมื่อเชื่อวัน
เหตุใดถึงกลัวว่าใครจะมาทำร้ายนาง เวลาที่เขาไม่อาจอยู่ปกป้องนางได้
เหตุใดถึงเป็นเอามากเพียงนี้
คงเพราะรู้สึกสงสารนาง ในวันแรกที่พบกัน และต่อไปนี้จะขอเป็นความสุขให้นางเอง
ทุกอย่างที่เกี่ยวกับนาง เขายอมทำเพื่อนางทั้งสิ้น ขอแค่นางมีความสุข
อัตถ์...พี่ชายคนนี้ขอรับไว้แต่เพียงผู้เดียว
“เจ้ามีความสุข แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว เพตรา”
น้องสาวที่น่าสงสาร จะมีวันไหนที่จะมีความสุขได้จริงๆ ไหมหนา
วันที่พบบิดามารดาก็ต้องพรากจากอกอีกครา เขาตั้งมั่นแล้วว่าชีวิตนี้ขอปกป้องเพตราคนเดียว
น้องสุข พี่สุข น้องทุกข์พี่ขอเป็นคนแบ่งเบาเอง
อย่าได้เป็นกังวลอันใด
ระยะทางเป็นแค่เครื่องพิสูจน์ความคิดถึง ในเมื่อคำนึงหาทุกวัน ไยเจ้าจะไม่รับรู้
เพตราทราวดี
ยามรุ่งเช้านกบินมาเกาะริมหน้าต่างส่งเสียงดังจอแจ ทำให้เพตราค่อยๆลืมตาตื่นช้าๆ พับผ้าห่ม อาบน้ำล้างหน้าผลัดอาภรณ์เพื่อเข้าพระราชวังไปพบสมเด็จพระเจ้าผู้ครองนคร นางเป็นถึงเชื้อพระวงศ์แต่ในใจนางกลับไม่คิดว่าเป็นผู้สูงส่งใดๆเลย กลับคิดเพียงว่าตนคือมนุษย์คนหนึ่งที่มีบุพการีที่รัก นั่นคือเหตุผลที่มีแต่คนรักเมื่อยามรู้จักนิสัยใจคอแท้จริงของนาง
วันนี้ร่างเล็กแต่งตัวด้วยชุดสีแดงเลือดหมู ปักเลี่ยมทองที่ชายผ้าถุงถักทอลวดลายด้วยความประณีต ปล่อยผมสยายทั่วทั้งกลางหลัง สวมกำไลข้อมือหลายเส้น ต้นแขนประดับด้วยกำไลเล็กๆ และสร้อยไข่มุกประดับลำคอระหง
และที่ขาดไม่ได้คือสวมใส่ศิราภรณ์สีทองอร่ามเพื่อบ่งบอกถึงฐานะของสายตระกูลแต่เก่าก่อน
“เสร็จแล้วกระมัง แม่เอิบ” เพตรามองดูคันฉ่องเพื่อตรวจความเรียบร้อย ก่อนจะลุกขึ้นเตรียมที่จะเดินทาง แต่ทว่าบ่าวรับใช้กลับร้องเรียกมาตามหลัง
“พระนาง ลืมผ้าคลุมไหล่เจ้าค่ะ” เอิบวิ่งแจ้นมาดักหน้าของนายหญิงก่อนจะพาดทับให้นางเป็นที่เรียบร้อย
เมื่อเดินมาถึงเรือนใหญ่จึงเห็นว่า ท่านเจ้าพระยา คุณหญิงมลิกา และอัตถ์ยืนรอที่ลานหน้าเรือนไม้ กำลังคุยกันด้วยสีหน้าจริงจัง อัตถ์สวมผ้าจีบชายผ้าด้านหน้าทิ้งลงไปคล้ายผ้าถุงครึ่งเข่า ใสกรองคอ กําไลแขน ต่างหู เข็มขัดโลหะคาดเอว
เหมือนจะมีธุระออกไปข้างนอกเหมือนกันกับนาง
“มาแล้วรึ วันนี้ลูกงดงามเชียว แม่เพตรา” คุณหญิงมลิกาเอ่ยชมร่างเล็กขณะที่เดินมาหยุดตรงหน้านาง ทำเอาเจ้าพระยานฤเบศก์และอัตถ์ต้องพินิจร่างบางทันที ฝ่ายท่านเจ้าพระยาแย้มยิ้มและพยักหน้ารับราวกับพึงพอใจ ส่วนอัตถ์กลับแน่นิ่งไม่มีปฏิกิริยาใดๆทั้งสิ้น
เพตรารอคอยคำชมจากอัตถ์ก็ไม่มีแม้เสียงใดๆหลุดออกมาแม้แต่คำเดียวช่างน่าแปลกใจยิ่งนัก บ่าวรับใช้ต่างชื่นชมพระนางเพตราทราวดีที่เมื่อแต่งองค์ทรงเครื่องอย่างสมเกียรติช่างเหมาะสมกับฐานันดรยิ่ง เมื่อยืนเคียงอัตถ์สมกันราวกับกิ่งทองใบหยก คุณหญิงมลิกาเองก็รับรู้ถึงสถานการณ์ตรงหน้าจึงพยายามกลบเกลื่อนในพฤติกรรมของบุตรชาย พลางพยักพเยิดให้ทั้งสามคนออกเดินทาง
“แล้วเจ้าคุณแม่ไม่ไปด้วยฤๅเจ้าคะ”
“รายนั้นไม่ค่อยสบายตัว อากลัวว่าอาการปวดหลังจะกำเริบเลยมิให้ไปด้วยดอก”
“แล้วพี่อัตถ์...ทำไมถึงต้องได้ไปด้วยเจ้าคะ”
“...” อัตถ์เหมือนมีเรื่องครุ่นคิด กลับไม่ยอมตอบคำถาม นานจนท่านเจ้าพระยาจึงตอบแทนบุตรชาย
“พี่เจ้าแค่เป็นห่วง กลัวว่าแม่เพตราจะทำตัวมิถูกมิควรเมื่ออยู่ต่อหน้าสมเด็จพระเจ้าศิมันตร์หนา”
“เจ้าค่ะ ข้าเข้าใจแล้ว” เมื่อหายข้องใจ เพตราจึงนิ่งเงียบเพื่อรอคอยที่จะพบบุพการี โดยไม่รับรู้สายตาที่ห่วงใยส่งมาให้เป็นระยะๆ มีเพียงท่านเจ้าพระยาที่เริ่มรับรู้ว่าบุตรชายรู้สึกอย่างไรกับพระนางเพตราทราวดี
แต่จะแก้คำประกาศิตของพระองค์เจ้าเหนือหัวได้อย่างไรไรกันล่ะ
เมื่อเข้ามายังท้องพระโรง เพตราก้มหน้าลงต่ำและเดินรั้งท้ายต่อจากอัตถ์และเจ้าพระยานฤเบศก์ สายตานับร้อยต่างจับจ้องไปยังบุตรสาวของพระนางเรวลัยกับเจ้าพระยาศรีศักดา
กิริยา ท่าทางการเดิน ช่างสง่างามดั่งผู้เป็นมารดาราวกับพิมพ์เดียวกัน พระนางเรวลัยและเจ้าพระยาศรีศักดานั่งอยู่บนแท่นข้างซ้ายกำลังสนทนากับสมเด็จพระเจ้าศิมันตร์อย่างครึกครื้น เมื่อบุตรสาวมาถึงก็แย้มยิ้มและมองนางด้วยความรักและคะนึงหาตลอดระยะเวลาเกือบสองปีที่ห่างไกลกัน
ผู้มาใหม่ทั้งสามทำความเคารพผู้ครองนครทั้งสอง สมเด็จพระเจ้าศิมันตร์และพระนางเจ้าไศลกัลยาบอกให้ลุกขึ้น ทรงอนุญาตให้เพตราไปนั่งถัดจากพระนางเรวลัย
ส่วนเจ้าพระยานฤเบศก์และบุตรชายนั่งถัดจากเพตราอีกที เมื่อครบทุกคนจึงพูดคุยกับเรื่องที่ยังค้างคา
“เรวลัยน้องพี่ ได้ข่าวว่าจะมาอยู่เกือบสิบวันรึ ทำไมมิอยู่ให้นานกว่านี้เล่า”
“เสด็จพี่ น้องเพียงแวะมาเยี่ยมเยือนบุตรสาวเท่านั้น อยู่นานเกรงว่าจักกลั้นใจกลับเมืองมิไหวกระมัง”
“แล้วทำไมเจ้า ไม่มาอยู่กับเพตราเลยเล่า”
“เสด็จพี่ทรงล้อน้องเล่นแล้วกระมัง เกรงว่าสวามีที่ขยันทำการทำงานจักมิใคร่พอใจดอก นี่แค่ลามาไม่นาน ทางโน้นก็ส่งพระราชสาส์นมาตามกลับแล้วเพคะ”
“อย่างนั้นฤๅ เสียดายจริง เพลานี้ท่านพี่ศรีศิริชัยย์คงบ่นคิดถึงท่านเจ้าพระยาเป็นแน่แท้” ฝ่ายพระองค์เจ้าเหนือหัวตรัสวาจาหยอกเย้าเจ้าพระยาศรีศักดาจนทำให้เขารีบกล่าวปัดอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน
“หามิได้ดอกพ่ะย่ะค่ะ”
“ฮ่าๆ เราเย้าเจ้าเล่นดอก ว่าแต่เพตราอายุอานามเท่าใดแล้วรึ”
“ลูกสาวน้องปีนี้ก็ย่างเข้าสิบสองปีเพคะ”
“อืม อายุน้อยกว่าเจ้าเพียงแค่สามปีเอง พระองค์เล็ก”
“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ” พระองค์เจ้าศิราที่นั่งบนแท่นทองตรงข้ามกับพระนางเรวลัยแย้มพระโอษฐ์เล็กน้อย
“ท่านพี่ไม่รอให้พระองค์เล็กกลับมาก่อนแล้วค่อยว่าถึงเรื่องมงคลเพคะ” พระนางเจ้าไศลกัลยากระซิบบอกพระสวามี
“พี่แค่เอ่ยถึงเอง เจ้านี่เห็นพี่เป็นคนกระไรฤๅ”
“น้องผิดเองเพคะ” นางเอ่ยเสียงอ่อย
“เอาเถิด เห็นว่าอย่างไรเพตราก็ต้องอยู่ที่นี่ถาวร เรื่องมงคลยิ่งใหญ่ปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคต แต่ทว่าเพตราจะยินดีเป็นคู่หมายของพระองค์เล็กฤๅไม่” สิ้นเสียงของสมเด็จพระเจ้าเหนือหัว เพตราที่จับต้นชนปลายไม่ถูก กำมือแน่นจนชื้นเหงื่อทำเอาพระนางเรวลัยรีบทาบทับมือบางเพื่อปลอบโยน นางสบเข้านัยน์ตาดำสนิทที่กำลังหวาดหวั่นของบุตรสาว มีเพียงคำถามและความสับสน
“...”
“เพตรา อย่าให้พระองค์รอนานนักสิ” ท่านเจ้าพระยาเอ็ดลูกสาวเบาๆ ทั่วทั้งท้องพระโรงเงียบงันเพื่อรอพระนางเพตราทราวดีพระองค์เดียว เมื่อเห็นว่านางกำลังสับสน เจ้าพระยานฤเบศก์ลอบมองบุตรชายเห็นอัตถ์ก้มหน้าลงต่ำและกำมือแน่นสนิท ก่อนจะเอ่ยแทรกเพื่อเบี่ยงประเด็น
“ไว้รอห้าปีที่พระองค์กล่าวกับกระหม่อมก็ยังมิสายดอกพ่ะย่ะค่ะ”
“นั่นสิเพคะ” พระนางเจ้าไศลกัลยากล่าวเสริม สมเด็จพระเจ้าศิมันตร์เห็นว่าทุกคนเห็นพ้องต้องกันก็ทรงพยักหน้ายอมจำนน และเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น จวบจนบ่ายคล้อยก็ได้เพลาต้องกลับเรือนของเจ้าพระยานฤเบศก์
ทั้งอัตถ์และเพตรานิ่งเงียบตลอดทางไม่มีบทสนทนาใดๆเกิดขึ้น ผู้ใหญ่ทั้งสามคนต่างกลัดกลุ้มแทน
เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว จะให้ถอยกลับไปก็คงเป็นไปไม่ได้
หรือพวกเขาได้ทำผิดต่อลูกแล้วจริงๆ
“แม่เพตรา ฟังแม่ก่อน” เพตราหลังจากลงจากพาหนะที่หน้าเรือนของท่านเจ้าพระยา ก็เดินเร่งรีบเข้าไปยังเรือนกลาง ไม่สนใจเสียงพระนางเรวลัยที่ไล่ตามหลัง เจ้าพระยาศรีศักดาจับแขนภรรยาไว้และส่ายหน้าไม่ให้ตามไป เจ้าพระยานฤเบศก์จึงรีบบอกให้อัตถ์ตามนางไปแทน
“ให้พ่ออัตถ์ไปแทนเถิด เขารักใคร่ดั่งน้องสาวย่อมเข้าใจกันกว่าพวกเราดอกพระนางเรวลัย”
“เยี่ยงนั้น ข้าก็วางใจ”
“มาร้อนๆ ขึ้นไปบนเรือนเถิด ยามนี้แม่แก้วคงเตรียมน้ำมะลิเย็นๆไว้คอยพวกเราแล้ว”
“ไปๆ ข้ามาเหนื่อยๆก็อยากจะกินน้ำมะลิเย็นๆ มิรู้ว่ารสมือเมียเอ็งจะยังเหมือนเดิมฤๅไม่”
“เจ้าค่ะ ท่านเจ้าพระยา” ทั้งสามคนเดินขึ้นไปบนเรือนใหญ่ ทว่าภายในใจผู้เป็นมารดาย่อมกังวลถึงความรู้สึกของบุตรสาว
แต่จะให้ทำอย่างไร นางไม่อยากให้ลูกกลับไปบ้านเกิดเมืองนอน กลัวว่าผู้ใดรู้เรื่องราวจะยิ่งไม่อาจรักษาชีวิตลูกสาวที่รักเอาไว้ได้
ทางเดียวที่รั้งบุตรสาวเอาไว้ คือต้องแต่งงานกับพระองค์เล็กรั้งอยู่ที่เมืองนี้ตลอดไป
การตัดสินใจของบิดามารดาเป็นทางที่ทำให้เจ้าต้องเป็นทุกข์ แต่มารดาย่อมทุกข์กว่าถ้าลูกต้องจากไปทั้งๆที่มิได้ทำอะไรผิด
สิ่งเดียวที่ผิด...คือโชคชะตา
ลูกอาจจะโกรธมารดาในวันนี้...
มารดาเข้าใจ...
แต่จะให้ลูกตายต่อหน้าต่อตาลงของมารดา
มารดาย่อมยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้นมิได้ดอก
เพตรา...
“แม่เพตรา” อัตถ์รีบวิ่งตามเพตราจนถึงระยะประชิด มือกอบกุมมือบางไว้แล้วจับจูงมายังศาลาริมสระบัว
พบว่าภัทรวดีกำลังนั่งร้อยมาลัยอยู่ตรงนั้นพอดี เมื่อเห็นใบหน้าเศร้าหมองที่ถูกอัตถ์คอยนำทางก็รีบลุกขึ้นเพื่อจะไถ่ถามถึงสาเหตุ
“มีเรื่องอันใดฤๅ เหตุใดน้องถึงได้มีสีหน้าเช่นนี้เล่า”
“แม่เพตราต้องแต่งงานกับพระองค์เล็ก” เอ่ยออกไปก็เจ็บช้ำน้ำใจยิ่งนัก เขาน่าจะช่วยอะไรได้บ้าง ทว่าสิ่งที่เขาทำหวังว่าพระองค์เจ้าศิราจะไม่ผิดคำสัญญาที่ให้ไว้
อัตถ์นึกย้อนกลับไปเมื่อครู่ หลังออกมาจากท้องพระโรง เขาสบตากับองค์รัชทายาทเพื่อบอกนัยๆว่ามีเรื่องจะคุยด้วย
‘พระองค์เล็ก ตั้งแต่ร่วมเล่าเรียน เป็นข้ารองบาท และยังได้รับเกียรติเป็นถึงสหายสนิทของพระองค์’
‘อัตถ์...เจ้าจะกล่าวอันใด ทำไมถึงจริงจังเพียงนี้’
‘เรื่องแต่งงานกับน้องสาวกระหม่อม ขอพระราชทานยกเลิกได้ฤๅไม่พ่ะย่ะค่ะ’
‘อัตถ์ นี่เจ้า!’
‘ขอแค่พระองค์ทรงยกเลิก กระหม่อมจะทำตามทุกอย่างที่พระองค์ต้องการ’
‘อย่างนั้นฤๅ ข้าตกลง เจ้าอย่าลืมเสียล่ะ’
‘ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ’
เพตรานั่งลงและหยิบจับมาลัยของภัทรวดีมาร้อยต่อ พลางเหลือบมองอาการเหม่อลอยของอัตถ์
“น้องมิต้องแต่งงานแล้ว” เขาพูดด้วยเสียงหนักแน่น ทำเอาทั้งภัทรวดีและเพตรานัยน์ตาเบิกกว้างและรีบเข้าไปเขย่ามือหนาของอัตถ์ไว้
“จริงฤๅ คุณพี่”
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้นเล่า” ภัทรวดีและเพตราถามขึ้นพร้อมกัน
“พี่กราบทูลกับพระองค์เล็กให้ทรงยกเลิกแล้ว เรื่องนี้พี่เป็นคนจัดการเอง น้องมิต้องเป็นห่วงหนา” เพตราได้ฟังเยี่ยงนี้ก็ยิ้มดีใจร่า รีบลุกขึ้นโผเข้ากอดอัตถ์เต็มแรง
เมื่อได้เห็นคนที่ได้ชื่อว่าเป็นน้องสาวที่รักกลับมายิ้มได้เหมือนเดิมก็พึงพอใจ ทว่าทั้งคู่ไม่ได้เห็นสีหน้าที่เรียบนิ่งและเย็นชากว่าปกติของภัทรวดีแม้แต่น้อย
ภัทรวดีเหลือบมองทั้งสองคนที่สวมกอดกัน และเริ่มอิจฉาเพตราที่อัตถ์ห่วงใยขนาดนี้ แม้ว่าจะเป็นน้องสาวเหมือนกัน แต่อัตถ์กลับเอ็นดูเพตรามากกว่าตน
‘แม่เพตรา เจ้าน่าจักได้แต่งงานกับพระองค์เล็กออกไปหนา พี่จักยินดีเป็นอย่างยิ่ง’ ความคิดชั่ววูบที่เริ่มครอบงำทำให้ภัทรวดีรีบสะบัดศีรษะไปมา
ไม่! ทั้งสองคือคนที่นางรักหนา
ไยถึงได้มีความคิดชั่วร้ายเช่นนี้
“พี่พิมพ์ เป็นอันใดฤๅ เหตุใดจึงสะบัดหน้าเต็มแรงเยี่ยงนั้นเจ้าคะ”
“พี่แค่ปวดเนื้อปวดตัวนิดหน่อยนะ เดี๋ยวขอตัวไปกินยาก่อนหนา คุยกันตามสบายเลย” นางเอ่ยจบก็รีบเร่งฝีเท้าจากไป
“คุณพี่ น้องจักไปดูพี่พิมพ์เสียหน่อย”
“ไปเถอะ พี่ก็มีธุระต้องไปเหมือนกัน ยามค่ำ อย่าลืมมากินข้าวที่เรือนใหญ่หนา”
“เจ้าค่ะ”
คล้อยจากเพตรา อัตถ์ก็ยืนคิดทบทวนเรื่องราวทั้งหมดอีกครั้ง หวังว่าภายในห้าปีที่เขาไม่อยู่จะไม่เกิดเรื่องอันใดขึ้นเกี่ยวกับเพตราหรอกนะ
ระหว่างที่เหม่อลอย เสียงละมุนของพระนางเรวลัยก็เอ่ยขึ้นมาจากทางด้านหลัง เป็นเหตุให้อัตถ์หันขวับเพื่อจะทำความเคารพหญิงสาวผู้สูงศักดิ์
“ไม่ต้องมากพิธีดอก ข้าเป็นเพียงแค่เมียของท่านเจ้าพระยาสหายของบิดาเจ้าก็เท่านั้น”
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ช่างเถิด ลุกขึ้นๆ มานั่งตรงนี้ ข้ามีเรื่องสำคัญที่เกี่ยวกับเพตราให้เจ้ารับรู้ พ่ออัตถ์”
“พ่ะย่ะค่ะพระนางฯ” รับคำจากพระนางเรวลัยก็นั่งนิ่งหลังตรงเพื่อรับฟังจากปากของผู้เป็นมารดาของน้องสาวที่รัก
“เมื่อสองปีก่อน...เหตุที่เพตราต้องมาอยู่ที่นี่มันเริ่มจากวันนั้น...”
เมื่อได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดเขากลับเจ็บปวดแทนนาง เพตราช่างเป็นเด็กที่น่าสงสารเหลือเกิน
เขาได้ให้คำมั่นสัญญาแก่พระนางเรวลัย มีเขาอยู่ เพตราจะต้องมีความสุขตลอดชีวิต!