บทที่ ๔ รอคอย
ร่างเล็กที่ถูกกลั่นแกล้งจนร่างกายเปียกชุ่มถูกผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ในทันทีที่มาถึงเรือนพักของนางข้าหลวง ไม่นานหมอหลวงก็รีบเข้ามาดูอาการตามพระประสงค์ของพระนางเจ้าไศลกัลยา
จากนั้นท่านหมอหลวงจึงจัดแจงบอกข้ารับใช้คอยเช็ดเนื้อเช็ดตัว เกรงว่าแม่นางน้อยจะเป็นปอดบวม แล้วจึงยื่นหยูกยาเพื่อจะให้บ่าวรับใช้คอยป้อนยาเป็นระยะๆ
เมื่อคิดว่าไม่เป็นอะไรมากแล้ว เขาจึงเดินออกมารายงานอาการของคนป่วยให้คนด้านนอกได้รับรู้ซึ่งมีพระองค์เล็ก และองครักษ์ประจำกายที่มีใบหน้าเคร่งเครียด “มิเป็นอันใดมาดอก สบายพระทัยได้พ่ะย่ะค่ะ”
“แน่ใจฤๅท่านหมอหลวง”
“เทียวดื่มยาตามที่กระหม่อมจัดเตรียมไว้ให้อาการจักดีขึ้นตามลำดับพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นขอข้าเข้าไปได้ไหม” อัตถ์เป็นห่วงภัทรวดี อีกทั้งกลัวว่าถ้านางเป็นอันใดไป เพตราจะยิ่งทุกข์ใจหนักยิ่งกว่า จึงถามหมอหลวงเพื่อขออนุญาต
“เกรงว่าจะมิเหมาะกระมัง” ท่านหมอหลวงส่ายหน้าปฏิเสธ มีกฎย่อมทำตามถึงจะเป็นระเบียบของนายทหาร อีกทั้งยังเป็นองครักษ์ประจำกายขององค์รัชทายาท เรื่องนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด แล้วเหตุใดทั้งสองถึงได้เข้ามายังพระราชฐานชั้นในได้กัน เกรงว่าจะทำให้พระองค์เล็กเสื่อมเสียชื่อเสียงได้ที่มาสนใจข้ารับใช้ของตำหนักหลวง
“แต่นางคือน้องสาวข้า”
“อัตถ์...” พระองค์เล็กส่ายพระพักตร์เมื่อเห็นว่าสหายไม่ยินยอม แล้วจึงเอ่ยลาท่านหมอหลวง ดึงเขาออกมาด้านนอกบริเวณเรือนพักข้าหลวง หนึ่งผู้สูงศักดิ์พาอัตถ์สงบสติอารมณ์เพื่อจะกลับตำหนักของตน
เมื่อมาถึงตำหนักของพระองค์เล็ก เขาจึงปลอบใจสหายสนิททันที
“ไม่ต้องเป็นห่วงนางดอก ข้าให้คนดูแลนางเป็นอย่างดีแล้ว แม่พิมพ์จะมิเป็นไร”
“พระองค์...” อัตถ์คุกเข่าลงเบื้องหน้าของพระองค์เล็ก และก้มทำความเคารพตามประเพณีที่มีมาอย่างยาวนาน
“ข้ามีนามว่าอัตถ์ ขอซื่อสัตย์ต่อพระองค์เล็กหรือพระองค์เจ้าศิรา ศตนันท์ธรจนกว่าชีวิตจะหาไม่ หากวันใดที่คิดตระบัดสัตย์ มุสาวาทต่อพระองค์ขอให้ตายห่าตายโหง”
“อัตถ์! เหตุใดเจ้าต้องสาบานเยี่ยงนี้ด้วยเล่า” พระองค์เจ้าศิราตกพระทัยกับคำกล่าวสาบานตนของสหาย
“ข้าเกิดครั้งเดียวตายหนเดียว มีหน้าที่รับผิดชอบในการเป็นถึงราชองครักษ์ และร่วมเล่าเรียนได้รับเกียรติกระทั่งเป็นสหายสนิทของพระองค์ คำสาบานแค่นี้มิเป็นกระไรดอกหนา หนนี้ที่พระองค์เล็กช่วยเหลือครอบครัวกระหม่อมไว้ บุญคุณทดแทนแค่นี้ แม้กระทั่งชีวิตย่อมถวายได้พ่ะย่ะค่ะ” อัตถ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังและเข้มแข็ง
องค์รัชทายาททรงตื้นตันพระหฤทัย และรีบประคองให้สหายลุกขึ้นพร้อมทั้งตบลงบ่าอย่างพอพระทัย
“ดี เราสองคนจะรวมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ตลอดไป จนกว่าชีวิตจะหาไม่”
“...” อัตถ์พยักหน้าเพื่อจะยืนยันตามพระองค์เล็กตรัสเสร็จ เมื่อทุกอย่างผ่านไปด้วยดี เขาจึงคลายความกังวลใจลง ภัทรวดีหายดีแล้ว และผู้กระทำผิดถูกลงทัณฑ์ตามความเหมาะสม เพียงแต่เรื่องนี้ภัทรวดีห้ามเขาไม่ให้บอกเพตราเด็ดขาด เพราะกลัวว่าน้องสาวจะมีใจพะวงจนไม่เป็นอันกินไม่เป็นอันนอน
คนหนึ่ง...จากเฉยชาเริ่มมองหา
คนหนึ่งเป็นห่วง...เพราะห่วงอีกคนมากกว่า
ส่วนอีกคนได้แต่รอ...ว่าเมื่อใดจะอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอย่างวันวาน
อัตถ์ไม่ได้พบเพตราหน้านางนานแค่คืนวัน แต่เหมือนนานแรมปี
คิดถึง...น้องสาวผู้เป็นรอยยิ้ม
คิดถึง...น้องสาวผู้เป็นความสุข
คิดถึง...น้องสาวผู้เป็นดั่งดวงใจ
คิดถึง...นานแล้วไม่ได้มองหน้าเด็กน้อยเรียบร้อยอ่อนหวานคนนั้น ที่คอยมอบรอยยิ้มให้เขาเสมอ
‘น้องอยู่สุขสบายดีไหม คิดถึงพี่ชายคนนี้ฤๅไม่ แม่เพตรา...’
เขาได้แต่ภาวนาให้ทุกคืนวันแสนสั้นเพื่อที่จะได้กลับบ้าน...ไปพบหน้านาง
คนที่ถูกคำนึงถึงกลับนั่งเล่าเรียนตั้งอกตั้งใจ ไม่นานมานี้พระนางเรวลัยเพิ่งส่งสาส์นมาให้เพตรา ว่าอยู่สุขสบายอีกทั้งเจ้าพระยาศรีศักดาได้หยุดพักชั่วคราวเนื่องจากจะเดินทางมาเยี่ยมเยือนนางถึงศิลามณี ยิ่งทำให้เพตราปลื้มอกปลื้มใจ ท่านครูมาสอนเรื่องประวัติศาสตร์ความเป็นมาของเมืองเห็นว่านางเป็นคนใฝ่รู้ใฝ่เรียนให้เลิกเรียนเร็วกว่ากำหนด
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะท่านครู”
นางก้มทำความเคารพก็เก็บตำราเรียนและเดินไปส่งท่านครูที่ท่าน้ำ เมื่อเรือเคลื่อนตัวออกไปก็หันกลับมาถามเอิบแทบจะทันที
“แม่เอิบ ท่านพ่อท่านแม่จะมาหาเราจริงๆรึ”
“พระนางฯ ถามคำถามนี้รอบที่สิบแล้วหนาเจ้าคะ”
“ก็ข้ายังมิเชื่อนี่นา”
“จริงแท้เจ้าค่ะ ข้าน้อยได้ยินเองกับหู”
“อย่างนี้แล้วพี่พิมพ์ กับพี่อัตถ์จะมาทันฤๅ”
“ท่านเจ้าพระยาแจ้งเรื่องให้ทั้งสองทราบแล้ว จักได้เจอกันเป็นแน่แท้เจ้าค่ะ”
“ถ้าเยี่ยงนั้น ข้าก็คงต้องไปจัดเตรียมอาหารให้ทั้งสองได้ลองชิมแล้วกระมัง”
“เดี๋ยวเอิบช่วยเจ้าค่ะ พระนางสั่งมาได้เลยหนา”
“ท่านแม่ของข้าชอบกินอาหารที่มีรสค่อนข้างจัด”
สองนายบ่าวเดินเคียงข้างกันไปยังเรือนกลางเพื่อจะจัดหาอาหารต้อนรับผู้ให้กำเนิด ที่ได้ข่าวว่าจะมาถึงในอีกไม่กี่วัน เพตราสดใสร่าเริงอีกครั้งในรอบหลายเดือน ข่าวดีวันนี้ทำเอาบ่าวรับใช้พลอยร่วมยินดีปรีดาไปกับพระนางผู้มีชาติกำเนิดที่สูงศักดิ์ เป็นที่รักใคร่ของเรือนเจ้าพระยาหลังนี้นับจากมาอาศัยอยู่เป็นเวลาเกือบสองปี
เพราะนอกจากจะต้องพรากจากบ้านมานมนาน ใครเล่าจะคาดคิดว่าทั้งพี่ชายและพี่สาวที่คิดว่าจะได้ใช้เวลาร่วมกันกลับต้องแยกทางเมื่อมาถึงศิลามณีเพียงไม่กี่เดือน
ความจริงเพตราจะต้องเข้าไปอยู่ในพระราชวัง ด้วยชาติกำเนิดและยังมีสายเลือดเดียวกันของศิลามณีแต่พระนางเรวลัยไม่ยินยอมให้ลูกสาวเข้าไปอยู่ในสงครามขนาดย่อมของอิสตรี แต่ภัทรวดีกลับอาสาเข้าไปแทนนาง เพียงเพื่อไม่อยากให้น้องสาวต้องอึดอัดใจ
อีกฟากหนึ่งคู่สามีภรรยาที่เดินทางมาร่วมเดือนเพียงเพื่อคิดถึงลูกสาว บัดนี้คงกำลังตั้งตารออยู่เป็นแน่
“ท่านพี่เจ้าคะ ยามนี้ลูกเราจักโตเท่าใดแล้วหนา”
“ลูกเพิ่งจะไปได้สองปีจักโตแค่ไหนกันเชียว”
“ก็น้องคิดถึงลูก แล้วแม่พิมพ์เล่านางจักเป็นอยู่เช่นไรหนอ”
“ลูกสาวทั้งสองคนเติบโตกันแล้ว มิต้องเป็นห่วงดอก เดี๋ยวพี่จักขอเข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าศิมันตร์ เรื่องที่สมเด็จพระเจ้าศรีแห่งศิลานครฝากฝังมา ทรงขออนุญาตให้แม่พิมพ์ออกมาด้วยดีฤๅไม่เล่า”
“เสด็จพี่คงไม่โหดร้ายห้ามพวกเราพบแม่พิมพ์กระมัง” พระนางเรวลัยเอ่ยถึงพระเชษฐาผู้ร่วมสายเลือดที่ตั้งแต่ปกครองเมืองศิลามณีก็ไม่ได้พบพานกันมาหลายปี
“หลับตาลงเสีย ถึงแล้วพี่จะปลุกเจ้าดีฤๅไม่”
“ดีเจ้าค่ะ” ท่านเจ้าพระยาศรีศักดาและพระนางเรวลัยมองตากันหวานเชื่อมราวกับคู่แต่งงานใหม่ทั้งที่มีลูกสาวถึงสองคน แต่ความรักที่มีให้กันไม่เคยเสื่อมคลายตามกาลเวลาเลย
ภัทรวดีได้รับพระราชทานพระราชานุญาตจากพระนางเจ้าฯให้กลับเรือนเร็วกว่ากำหนด ทั้งยังเพิ่งทราบข่าวคราวว่าบิดามารดามาเยี่ยมเยือนถึงศิลามณีก็รีบเร่งจัดเสื้อผ้าและเตรียมออกนอกพระราชวัง
เมื่อพ้นผ่านพระราชฐานชั้นในก็เจออัตถ์ยืนรอที่ด้านหน้าประตู เขาพยักหน้าทักทาย ร่างบางเห็นดังนั้นจึงรีบสาวเท้ายาวๆเข้าไปหาเขา
“พี่อัตถ์...ก็จะกลับเรือนฤๅเจ้าคะ”
“ได้ข่าวว่าท่านเจ้าพระยาศรีศักดากับพระนางเรวลัยแวะมาเยี่ยมเยือนจึงได้รับอนุญาตให้กลับเรือนได้ เราไปกันเถิดเพลานี้น้องสาวเจ้าคงคอยท่าแล้ว”
“เจ้าค่ะ” นางก้มหน้ารับคำของผู้เป็นเหมือนพี่ชาย ร่างเล็กรีบเดินตามกันขึ้นเกวียนกลับเรือนเพื่อจะได้พบหน้าพบตาคนที่อยู่ห่างไกล
ระหว่างทางนั้นทั้งคู่มีแต่ความเงียบงัน ได้ยินเพียงเสียงของล้อเกวียนที่กระทบกับพื้นดิน ด้วยความที่อัตถ์เป็นคนเงียบขรึม ส่วนภัทรวดีเองก็ดูประหม่ากว่าทุกครั้ง บรรยากาศภายในวันนี้ดูมีเรื่องตึงเครียดจนผิดปกติจึงค่อนข้างอึดอัดสำหรับนาง ภัทรวดีมีทีท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่เอ่ยออกมาสักคำ เขาเห็นว่านางมัวแต่อมพะนำจึงเอ่ยถามเสียงเรียบ
“มีกระไรจักถามรึ” เสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มทำเอาร่างบางสะดุ้งโหยงเพราะมัวแต่ใจลอย
“เปล่าดอกเจ้าค่ะ เพียงแค่ข้าอยากจะขอบพระคุณพี่อัตถ์ที่ช่วยเหลือครานั้น แต่ก็มิเคยได้มีโอกาสพูดสักครั้ง ตั้งแต่วันนั้นก็ผ่านมานานมากแล้ว”
“มิเป็นไรดอก เจ้าก็เหมือนน้องสาวข้า ว่าแต่แม่พิมพ์จะไม่ให้พี่บอกแม่เพตราจริงรึ” เขาไม่อยากมีความลับแก่เพตรา ยิ่งห่างไกลกันกลับยิ่งมีความลับ กลัวเจ้าเด็กน้อยจะน้อยใจเอาเสียเปล่า
“อย่าเลยเจ้าค่ะ ปล่อยให้เป็นเรื่องอดีตเถิด อย่าได้ยกขึ้นมาพูดอีกเป็นอันขาด ข้ากลัวนางจะยิ่งเป็นห่วง”
“อย่างนั้นพี่ก็แล้วแต่เจ้า” เขาพูดจบก็ไม่เอ่ยอะไรต่อและหลับตาทำสมาธิ ทว่าภัทรวดีกลับพูดโพล่งอย่างกล้าๆกลัวๆ
“พี่อัตถ์มีเรื่องหนักใจอันใด บอกข้าได้นะเจ้าคะ” นางแอบมองเขามาได้สักพัก หัวคิ้วย่นเข้าหากันเป็นระยะจนสังเกตได้ว่า เขามีเรื่องหนักใจเป็นแน่
“ดูออกขนาดนั้นเลยรึ” เขาเลิกคิ้วถาม “ความจริงก็ไม่มีกระไรมากดอก แต่กลัวว่าน้องสาวเจ้าจักทำใจมิได้มากกว่า” อัตถ์ยกยิ้มมุมปากและดูกังขากับเรื่องเรื่องหนึ่ง
‘ทำไม พี่อัตถ์จะต้องห่วงแม่เพตราด้วยเล่า มันเรื่องอันใดกัน’ ภัทรวดีเผยสีหน้าด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขากลับเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง ปรากฏว่าจวนจะถึงเรือนแล้ว
“พี่อัตถ์…”
“พี่จักต้องไปประจำการที่เมืองหน้าด่าน...”
สิ้นเสียงของอัตถ์ รถม้าก็จอดลงที่หน้าเรือนพอดี เขาลงจากเกวียนก่อนจะหันหลังไปมองภัทรวดีที่นั่งแน่นิ่งไม่ไหวติง เขาขานเรียกอยู่สองสามรอบ นางจึงสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะกระวีกระวาดเดินตามลงมา ก้าวเท้าไม่ทันระวังก็พันแข้งพันขาจนสะดุดบันไดล้ม แต่ทว่าดีที่มีมือหนารับร่างบางได้ทัน ไม่อย่างนั้นนางคงจะเจ็บหนักไม่น้อย
ภัทรวดีเมื่อได้สติก็ผละออกจากร่างหนา และกระเถิบออกเพื่อเว้นระยะการห่างไม่ใกล้กันจนเกินงาม พร้อมทัดใบหูเอียงอายกับการใกล้ชิดที่ไม่ทันตั้งตัว
นางรีบขออนุญาตแล้วเดินจ้ำอ้าวเข้าไปในเรือน ส่วนอัตถ์ไม่ได้ให้ความสนใจใดๆ เขารีบบอกบ่าวรับใช้ที่มาต้อนรับมาช่วยขนสัมภาระ ก่อนจะปลีกตัวไปหาเพตรา
ตามหาบนเรือนและบริเวณรอบนอกก็ยังไม่พบน้องสาว จึงเอ่ยถามบ่าวรับใช้
“แม่เพตราเล่า”
“แม่เพตราไปเลือกซื้อของที่ตลาด ตั้งแต่รุ่งเช้ายังไม่กลับเลยเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นรึ พวกเจ้าไปเถอะ” เขาได้ยินอย่างนั้นก็เข้าใจ แล้วจึงขึ้นไปบนเรือนเพื่อพบบิดามารดา
“แหม มาถึงเรือนแทนที่จะมาหาแม่ กลับเรียกหาแต่แม่เพตรา จนคนในเรือนวุ่นวายไปหมด นี่ถ้าน้องสาวเจ้าแต่งงานพ่ออัตถ์จะทำใจได้รึ” เขายังเดินไม่พ้นจากบันไดเสียงเอ่ยหยอกล้อบุตรชายที่ดังมาจากชานเรือน พร้อมเสียงหัวเราะของบิดายิ่งทำให้เขารู้สึกเก้อเขิน ก่อนจะลงไปกราบท่านทั้งสอง แล้วเข้าไปซบหน้าลงบนตักคุณหญิงมลิกา
“ใครจะมาแต่งกับน้องได้ ต้องผ่านด่านอัตถ์ก่อนนะขอรับเจ้าคุณแม่”
“ดูสิ อายุแค่นี้ก็ริอ่านจะมาห่วงน้อง โน้นวันพรุ่งนี้บิดามารดาตัวจริงก็จะมาหาน้องแล้ว”
“อัตถ์ห่วงน้องนี่นา”
“โธ่ เจ้าพระคุณของแม่” นางหัวเราะอารมณ์ดี นานๆครั้งจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน ทว่าเจ้าพระยานฤเบศก์กระแอมเบาๆ ส่งสายตาให้บุตรชายบอกเรื่องบางอย่างที่สำคัญยิ่งแก่มารดา
“เจ้าคุณแม่ขอรับ ลูกมีเรื่องสำคัญที่จะบอกขอรับ” เขาเอ่ยเสียงเรียบ
“ลูกจะได้ไปประจำการที่เมืองหน้าด่าน” จากใบหน้าแย้มยิ้มเมื่อได้ยินดังนั้นก็กลับเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันตา
“ลูกว่าเยี่ยงไรนะ คุณพี่...นี่มันเรื่องกระไรกันเจ้าคะ” นางเบิกตากว้างพลางเอ่ยถามกับสามีอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“...”ท่านเจ้าพระยาพยักหน้าเพื่อยืนยันคำตอบ นางก้มหน้าเพื่อสบนัยน์ตาของอัตถ์ก่อนจะหลั่งน้ำตาด้วยความเศร้าโศก ในใจกลัวว่าบุตรชายคนนี้จะไม่กลับมาหานาง มลิกามีบุตรยาก และท่านเจ้าพระยาเองก็ไม่ยอมมีลูกกับใครนอกจากภรรยารัก จึงทำให้อัตถ์เป็นบุตรชายที่ทั้งรักและห่วงใยเป็นพิเศษ
“เจ้าคุณแม่อย่าร้องไห้เลยขอรับ ลูกแค่ไปมินาน ห้าปีก็กลับมาแล้ว ลูกมิได้อยู่ดูแลท่าน รักษาตัวด้วยนะขอรับ”
“ห้าปีเลยฤๅ ลูกจักต้องไปนอนกลางดินกินกลางทรายจะมิให้แม่เป็นห่วงได้เยี่ยงไร”
“เอาเถิด ลูกก็ได้ตัดสินใจแล้ว ห้าปีก็มิถือว่านานนักดอก เจ้าก็อย่าห่วงพ่ออัตถ์มากจนเกินไป เดี๋ยวพี่จะเทียวไปหาบ่อยๆ ดีฤๅไม่” เมื่อสามีคอยปลอบประโลมข้างกาย นางก็พอจะเบาใจขึ้นมาบ้าง คุณหญิงมลิกาถอนหายใจยาวหนึ่งเฮือก รู้สึกปลงกับบุตรชายคนนี้
“เอาเถอะ แม่จะว่ากระไรได้ สุดแล้วแต่เจ้าเถิด เลี้ยงมาจนเติบใหญ่ก็พอจักเข้าใจเจ้า เรื่องบ้านเมืองเป็นเรื่องของบุรุษ ยิ่งลูกอายุเพียงแค่นี้แต่ช่างห้าวหาญนัก วันข้างหน้าขอให้ลูกประสบพบเจอแต่เรื่องดีๆ ห้าปีให้หลังอย่าลืมพาแม่หญิงที่งดงามจิตใจดีมาให้แม่สักคนด้วยหนา” นางเอ่ยหยอกเย้าบุตรชาย ก่อนจะหัวเราะขบขัน ทำเอาอัตถ์ดูกระอักกระอ่วนเมื่อเห็นว่าเรื่องนี้ช่างไม่เหมาะกับเขาเอาเสียเลย เขาเพียงออดอ้อนตามประสาเด็กน้อยเมื่ออยู่กับบุพการี
“ขอรับ เจ้าคุณแม่” กล่าวยังไม่ทันจบเสียงของตกดังสนั่นพื้นไม้บริเวณชานบันได ทำให้ทั้งสามคนหันขวับไปมองโดยพลัน
ตุบ!
เพตราเผลอปล่อยตำราเรียนลงกับพื้นโดยไม่ทันรู้สึกตัว นางได้ยินคำพูดของอัตถ์เต็มสองรูหู ดังก้องกังวานวกวนไปมา จับใจความได้เพียงว่า
เขาจะห่างจากนางไปไกลถึงเมืองหน้าด่านตั้งห้าปี!
จากที่คิดว่าอัตถ์และภัทรวดีห่างกันเพียงแค่กำแพงกั้น ตอนนี้กลับไกลออกไป อารมณ์แจ่มใสตลอดทั้งวัน กลับมืดมนลงเพียงพริบตาเดียว
เพตราเมื่อได้สติสัมปชัญญะก็รีบวิ่งไปยังเรือนกลาง ไม่สนเสียงเรียกของเอิบที่ตามมาติดๆ
“พระนาง จะรีบไปไหนเจ้าคะ” เสียงเอะอะโวยวายตรงบันไดเรือนของบ่าวรับใช้ ทำให้อัตถ์ลุกขึ้นจากการนั่งคุยกับบิดามารดา เขาเดินลงไปหาบ่าวรับใช้เพื่อไขข้อข้องใจกับเสียงของตกพื้นเมื่อครู่
“มีเรื่องอันใดฤๅ”
“พ่ออัตถ์ พระนางเจ้าค่ะ อยู่ๆก็วิ่งจากไปอย่างหุนหันทั้งที่เมื่อครู่จะเดินขึ้นไปหาคุณหญิงแล้วแท้ๆ”
“แม่เพตรากลับมาแล้วฤๅ งั้นรีบไปบอกเจ้าคุณแม่ว่าข้าจักไปตามนางเอง”
“เจ้าค่ะ” เขาจึงรีบสาวเท้าฉับๆ เพื่อตรงดิ่งไปยังเรือนกลางที่อยู่ห่างออกไป อัตถ์ภาวนาในใจอย่าเป็นอย่างที่เขาคิดเลย เรื่องสำคัญขนาดนี้ย่อมเป็นเขาที่ต้องบอกนาง ไม่ใช่ให้นางมารับรู้ทั้งที่ยังไม่ได้เตรียมใจ
ระหว่างทางจะเดินผ่านศาลาริมสระบัว เขาก็ต้องหยุดชะงักฝีเท้าลง เพตรากำลังนั่งเหม่อมองดอกบัวที่สระน้ำ ใช้คางพิงกับราวกั้นไม้ด้วยท่าทางราวกับสูญเสียความเป็นตัวตน และกลับไปเป็นเด็กน้อยเหมือนสองปีก่อน
“น้องมานั่งอยู่ที่นี่เอง ทำไมมิเดินขึ้นไปบนเรือนเล่า”
“...”
“แม่เพตรา เหตุใดถึงดูเหม่อลอยเยี่ยงนี้ เป็นกระไร เล่าให้พี่ฟังสักหน่อยเถิดหนา”
“เพียงแค่ได้ยินว่าคุณพี่จะมิอยู่กับน้อง...”
“น้องโกรธฤๅ”
“น้องมิเคยโกรธท่านดอกเจ้าค่ะ เพียงแค่คิดว่าคนเราได้เจอกันเป็นวาสนา ลาจากเป็นเรื่องธรรมดาก็เท่านั้นเอง” ดวงตาสุกใสแดงเรื่อแลมองเขาอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ
“น้องโกรธ...แล้วเหตุใดถึงต้องวิ่งมาหลบที่แห่งนี้” เขากล่าวย้ำถึงความน้อยใจของเพตรา ก่อนจะถามถึงสาเหตุที่มาหยุดตรงสถานที่ที่เป็นความทรงจำ
“น้องแค่ยังทำใจมิได้ ทำไมทุกคนที่น้องรักมิได้อยู่กับน้องเลย ทั้งท่านพ่อท่านแม่ พี่พิมพ์หรือแม้แต่พี่อัตถ์ ทำไมน้องเป็นคนที่ถูกผู้อื่นทอดทิ้ง เหลือเพียงตัวคนเดียวตลอด…” เพตราเอ่ยทั้งน้ำตา เด็กน้อยคนนั้นกำลังเสียใจเรื่องของเขา อยู่ๆก็รู้สึกจุกอกและเจ็บหัวใจ
เขาเป็นคนปลอบนางแท้ๆ ว่านี่คือบ้านของนางแต่กลับไม่เคยได้อยู่ร่วมกัน แล้วยังมาทำให้นางเสียใจ เขาเป็นพี่ชายที่ไม่ได้เรื่องได้ราว แค่คำสัญญาง่ายๆ ยังทำไม่สำเร็จช่างน่าขันยิ่งนัก!
“พี่ขอโทษที่ทำให้น้องต้องเสียใจ”
“ท่านมิต้องไปมิได้ฤๅ” เพตราสะอึกสะอื้นเอ่ยเสียงแผ่วอย่างน่าเวทนา อัตถ์ทนเห็นไม่ได้จึงสวมกอดแน่นเพื่อปลอบโยน แต่ความเงียบของเขากลับทำให้นางยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม
‘ท่านมิยอมตอบน้อง...’ อาการนิ่งเงียบของเขาเป็นคำตอบได้อย่างดี
“น้องเข้าใจทุกอย่างแล้ว น้องจะไปเตรียมของหวานมาให้พี่อัตถ์ได้ลองชิมดู” เพตราผละจากอกของอัตถ์และเช็ดน้ำหูน้ำตาที่เปรอะเปื้อนเต็มใบหน้าหวาน ก่อนจะยิ้มกลบเกลื่อน และเดินจากไปทันที
“น้อง...” อัตถ์ทำได้แค่มองตามจนสุดสายตา ก่อนจะยืนกอดอกขบคิดปัญหาที่แก้ไม่ตก
อย่างไรเขาก็ต้องตามเสด็จพระองค์เล็กเพื่อไปปกป้องคุ้มครอง มันคือหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ
“อ้าวแม่เพตรา ไปไหนมารึ พี่ตามหาตัวเจ้าตั้งนาน”
“พี่พิมพ์...น้องคิดถึง” เพตราโผเข้ากอดพี่สาวด้วยความคะนึงหา ภัทรวดีคลี่ยิ้มและลูบศีรษะไปพลาง กลับมาครั้งใดน้องสาวก็มักจะออดอ้อน แต่ทว่าครั้งนี้ไยจึงดูตาแดงก่ำราวกับร้องไห้มากเสียอย่างนั้น
“เป็นกระไรรึ”
“พี่พิมพ์ พี่อัตถ์จะมิอยู่แล้ว”
“…” ภัทรวดีได้ยินก็ถอนหายใจ น้องสาวของนางรักเขาดุจดั่งพี่ชายร่วมสายเลือดย่อมไม่แปลกที่จะรู้สึกเสียอกเสียใจอยู่บ้าง
“ต้องห้าปี มันนานเกินไป แต่ละเดือนน้องเฝ้ารอพี่พิมพ์และพี่อัตถ์เสมอ นี่อีกก็อีกหลายปีน้องจะทนได้เยี่ยงไรกัน”
“น้อง...”
“หรือว่าน้องควรไปขอร้องมิให้พี่อัตถ์ไปดีเจ้าค่ะ”
“น้อง...พี่ว่า”
“หรือจะไปบอกให้เจ้าคุณแม่ก่อนดี”
“น้อง!” ภัทรวดีที่กำลังจะเอ่ยปลอบใจ ยิ่งไม่มีโอกาสที่จะอธิบายก็เริ่มหงุดหงิด เผลอตะคอกเสียงดังจนเพตราสะดุ้ง
“เจ้าคะ” นางขานรับเสียงอ่อยๆ เมื่อรับรู้ถึงแรงอารมณ์ของคนตรงหน้า เหตุใดจึงได้โมโหโกรธาเช่นนี้
“พี่พิมพ์โกรธฤๅ”
“น้องต้องยอมรับความจริงให้ได้ อย่าทำตัวเหมือนเด็ก ไม่มีใครมานั่งปลอบเจ้าอีกแล้ว!”
“พี่พิมพ์...เหตุใดถึง” เปลี่ยนไปได้ขนาดนี้กัน เพตราได้แต่เอ่ยต่อในใจ แล้วก็ได้ฉุกคิดขึ้นมาได้ ไม่เคยมีใครเข้าใจนางเลยแม้แต่ภัทรวดีผู้เป็นพี่สาวเพียงคนเดียวก็ไม่เว้น
“น้องเหมือนเด็กเสมอ ในวันที่ต้องจากเมืองเพียงเพื่อเหตุใดก็มิใคร่จะรู้ดอก เด็กที่ได้แต่รอ...หวังว่าทุกคนจะอยู่พร้อมหาพร้อมตา น้องผิดฤๅ”
“...”
“แม้แต่พี่พิมพ์ยังมิเข้าใจน้องเลย” เพตราเอ่ยตัดพ้อต่อพี่สาว เมื่อได้ยินน้ำเสียงสั่นเครือของนางได้แต่ยืนนิ่งและอยากตบปากตนเองที่พูดพล่อยๆออกไปเพียงอารมณ์ชั่ววูบ
เพตราเดินหายเข้าไปในห้องนอน ปิดประตูลงกลอนและห้ามผู้ใดมารบกวนจนกว่าจะมีผู้มาแจ้งข่าวว่า บิดามารดามาถึงเมืองศิลามณีแล้ว