บทที่ ๓ แรกพบ
เพตรามาอยู่ศิลามณีได้เกือบหนึ่งเดือน เมืองพี่เมืองน้องดั่งผู้คนเล่าขานสภาพแวดล้อมแทบเหมือนกับบ้านเกิด ทว่าเหมือนก็ยังไม่ใช่บ้าน ทุกคนที่นี่มีน้ำจิตน้ำใจดีงาม ครอบครัวของสหายบิดายิ่งให้ความสำคัญแก่เพตรามากเป็นพิเศษ เด็กหญิงอยากจะไปไหน ไม่เคยห้ามปราม แต่ละวันเชื่องช้าราวกับหยุดนิ่ง
เพตราตื่นนอนตั้งแต่รุ่งเช้า ลงมานั่งเล่นที่ศาลาริมสระบัวเหมือนทุกวัน ทว่าเมื่อเดินมาถึงกลับเห็นใครบางคนกำลังยืนกอดอกเหม่อมองดอกบัวตูมทั้งสีขาวสีชมพูละลานตา เขาคงเป็นบุตรชายของเจ้าพระยานฤเบศก์และคุณหญิงมลิกา ทั้งยังเป็นคู่หมายของภัทรวดี
เมื่อเห็นว่ามีคนจับจ้องเด็กหญิงจึงเดินคอตกกลับเรือนไม้ดังเดิม แต่ทว่าเสียงแตกหนุ่มที่เอื้อนเอ่ยออกมาทำให้เพตราหยุดฝีเท้าลง
“ในเมื่อมาแล้ว เหตุใดจะต้องเดินย้อนกลับไปทางเดิมด้วยเล่า” เขาค่อยๆ ผินหน้ามามองเด็กน้อยอายุราวสิบขวบ หน้าตาจิ้มลิ้ม ผิวผุดผ่อง และแก้มจ้ำม่ำ นัยน์ตาคมที่มองเหมือนเพตราเป็นเด็กแอบทำความผิด จดจ้องอยู่ชั่วครู่ทำเอาคนถูกจ้องต้องกลั้นใจเดินเข้าไปหาเขา
คนตรงหน้าคงอายุมากกว่าเพตราไม่เกินสองถึงสามปี สูงชะลูด องอาจและผิวที่เริ่มกร้านแดด แต่คงไว้ด้วยความสง่า เพตราทำตัวไม่ถูกยืนเกร็งตัวแข็ง ก้มหน้างุดลงมองพื้นไม่กล้าสบตาเขา
“พี่ชื่ออัตถ์ เรียกสิแม่เพตรา” เขายอมเอ่ยชื่อตนก่อนแล้วให้เพตราเรียกขานอย่างคนที่สนิทสนมกันมานานนม
“พี่...อัตถ์”
“เจ้าคงมาอยู่ที่นี่สักพักแล้ว ต้องขอโทษด้วยที่เพิ่งจะมีโอกาสมาหาเจ้า”
“มิเป็นไรดอกเจ้าค่ะ พี่อัตถ์ ข้า...” เพตราดูไม่สบายใจและอึดอัดต่อเหตุการณ์ตรงหน้า อยู่ดีก็ได้เจอลูกชายของผู้มีพระคุณทั้งที่ยังไม่ได้เตรียมใจไว้อย่างเนิ่นๆ เห็นบ่าวรับใช้แอบคุยกันว่ากันว่าบุตรชายของเจ้าพระยานฤเบศก์นิสัยเย็นชาไม่ชอบยอมเข้าหาผู้อื่น ทว่ายามนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น
“น้องคงรู้สึกอึดอัดกระมัง”
“มิใช่แบบนั้นดอกเจ้าค่ะ น้องแค่...คิดถึงบ้าน”
“คิดถึงบ้านเยี่ยงนั้นรึ” เพตราได้ยินเขาพึมพำอยู่คนเดียว คงเพราะเห็นใบหน้าเศร้าสร้อยของเด็กน้อยแล้วรู้สึกห่วงใย จึงคิดหาวิธีให้เพตรามีความสุข โชคดีที่วันนี้เป็นวันพักผ่อน ไม่ได้เข้าร่วมฝึกซ้อมดาบ
“น้องเห็นเรือตรงโน้นฤๅไม่”
“เห็นเจ้าค่ะ ทำไมฤๅ”
“พี่จักพาน้องไปพายเรือเล่น” เพตราตาเบิกกว้างกับคำพูดของพี่ชายแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกัน ไฉนถึงกล่าวเช่นนี้ คงเพราะดูสีหน้าแววตาของนางดูเหลอหลา เขาจึงเปลี่ยนใจทันควัน
“ไว้น้องโตกว่านี้สักหน่อยพี่จักเป็นคนพายเรือพาน้องไปเล่นดีฤๅไม่”
“ดีเจ้าค่ะ” เพตรายิ้มรับ
“ที่นี่คือบ้านของน้องนะ แม่เพตรา”
“...” เขาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงปลอบประโลมแต่มันยิ่งทำให้เด็กน้อยน้ำตารื้น
“พี่จักเป็นบ้านให้น้องเอง” อัตถ์ลูบหัวเพตราระคนเอ็นดูดุจน้องสาว
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ พี่อัตถ์”
นับตั้งแต่นั้นมาอัตถ์และเพตรามักตัวติดกันเป็นประจำ ส่วนภัทรวดีต้องตามไปรับใช้พระนางเจ้าไศลกัลยามหาราชินีเคียงบัลลังก์ของสมเด็จพระเจ้าศิมันตร์แห่งเมืองศิลามณี
เมื่อครั้นมีงานล่าสัตว์ป่าและเรือนเจ้าพระยานฤเบศก์เป็นเรือนรับรองชั่วคราว พระนางเจ้าฯทรงถูกพระทัยสองพี่น้อง ภัทรวดีจึงต้องเข้ารับใช้ในพระราชวัง จึงไม่ค่อยได้กลับเรือน
“พี่อัตถ์ ถ้าวันหนึ่งเราต้องได้แยกจากกัน พี่จักตามหาน้องไหมเจ้าคะ”
“เอ่ยคำมิเป็นมงคลเลยเจ้า จำไว้หนาว่าพี่มิยินยอมปล่อยให้น้องต้องอยู่คนเดียว”
“สัญญานะเจ้าคะ”
“พี่สัญญา เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป”
“แล้วพี่อัตถ์กับพี่พิมพ์จักแต่งงานเมื่อใดกันเล่า”
“แต่งงานกระไรรึ” อัตถ์คิ้วขมวด งุนงงกับคำถามของเด็กน้อย
“คู่หมั้นคู่หมายของพี่อัตถ์ก็คือพี่พิมพ์”
“ไปได้ยินข่าวลือจากที่ใดกัน พี่มิเคยมีคู่หมายหนา” เขายิ้มระรื่น
“ก็ท่านพ่อกับท่านอาคุยกันไว้เรียบร้อยแล้ว”
“ยกเลิกไปแล้ว พี่จักขอแต่งงานกับคนที่พี่รักเท่านั้น”
“คนที่รักมิใช่พี่พิมพ์ฤๅ”
“…” อัตถ์ส่ายศีรษะแล้วอมยิ้มเล็กน้อย เด็กน้อยจะเข้าใจความรักได้อย่างไรกัน
“ความรักคือแบบไหนกัน น้องมิเข้าใจ เหมือนกับท่านพ่อกับท่านแม่ที่กอดกันทุกคราฤๅไม่”
“...” เขายกยิ้มมุมปาก
“แล้วพี่อัตถ์รักน้องไหม”
“รักสิ”
“เราสองคนย่อมจัดงานมงคลกันได้สิเจ้าคะ”
“มิได้”
“ทำไมเล่า”
“น้องเพิ่งจะอายุเท่าใดกัน” อัตถ์ส่ายหน้าระอากับความนึกคิดของผู้เป็นน้องสาว
“ถ้าหากน้องโตกว่านี้ก็คงแต่งงานกับพี่ได้ใช่ไหมเจ้าคะ”
“ไว้น้องโตกว่านี้ น้องจักเข้าใจเอง”
“น้องจะรอ”
สองคนต่างมีสายสัมพันธ์ที่ถักทอไม่อาจแยกแยะได้ คำพูดเป็นแค่ลมปากแต่การกระทำต่างหากที่บ่งบอกความรักความหวังดีที่มีให้แก่กัน
สุริยันจันทราเป็นพยานความรักความหวังดีของสองเราที่จักมิเสื่อมคลายตามกาลเวลา
เข้าสู่ฤดูร้อน ปีที่สอง เพตราเริ่มปรับตัวได้ สรีระเริ่มเปลี่ยนแปลง ตัวสูงขึ้น ครั้นจะบอกว่ามาร่ำเรียนก็เป็นการกล่าวเกินจริง คุณหญิงมลิกามักสอนวิชาบ้านวิชาเรือนให้เสียมากกว่า ส่วนเรื่องตำรานานๆครั้งที่อัตถ์ว่างถึงจะค่อยๆเคี่ยวเข็ญ
เจ้าพระยาศรีศักดาและพระนางเรวลัยไม่ค่อยได้ข่าวคราวนัก เจ้าพระยานฤเบศก์เพียงบอกว่ายามนี้ท่านทั้งสองยุ่งกับงานประเพณีไหว้พระแม่วารีประจำนคร
ฟากฝั่งเมืองศิลามณีก็ต้องเตรียมงานเหมือนกัน เหตุเพราะเมืองศิลานคร เมืองศิลามณี เปรียบดั่งเมืองพี่เมืองน้อง สมเด็จพระเจ้าผู้ครองนครทั้งสองพระองค์เป็นสายเลือดขัตติยะเดียวกัน วัฒนธรรมประเพณีย่อมคล้ายคลึงกัน
ยิ่งไปกว่านั้นยังใช้แม่น้ำสายหลักเป็นสายกลางเชื่อมต่อไปสู่กันและกัน ผืนแผ่นดินเดียวกันไยต้องบาดหมาง
ประเพณีไหว้พระแม่วารี เป็นความเชื่อดั้งเดิมที่มีอยู่ชั่วลูกชั่วหลาน ชาวเมืองศิลานับถือแม่น้ำ เพราะเปรียบเสมือนผู้มีพระคุณที่ให้การดำรงชีวิต ขาดน้ำเหมือนขาดชีวิต ภายในงานจะมีการร่ายรำและบูชาผืนน้ำให้ปกป้องรักษาบ้านเมืองให้ร่มเย็นเป็นสุข
เชื้อพระวงศ์จะเป็นผู้ถวายคำสัตย์ต่อพระแม่และชาวเมืองเพื่อให้ฟ้าดินเป็นพยาน สถานที่เป็นลานกว้างข้างแม่น้ำใกล้พระราชวัง ชาวเมืองจึงมักไปชมพิธีการอย่างเนืองแน่น เพราะจะมีการทำนายจากโหราจารย์เกี่ยวกับความเป็นไปของบ้านเมือง นอกจากนี้สมเด็จพระเจ้าผู้ครองนครได้ริเริ่มสร้างปราสาทจารึกเหตุการณ์สำคัญของบ้านเมือง วิถีชีวิต เพื่อให้ชนรุ่นหลังได้เห็นถึงอำนาจบารมี ความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรศิลามณี
เพตราง่วนกับการปักลวดลายลงในผ้าคลุมไหล่เพื่อจะส่งไปให้ภัทรวดีในพระราชวัง มีคุณหญิงมลิกาคอยพร่ำสอนอยู่ข้างกาย เมื่อเห็นว่านางตั้งใจทำงานตรงหน้า แต่ทว่าก็อยากให้เด็กน้อยได้เปิดหูเปิดตาเสียบ้าง
“แม่เพตรา เจ้ามิไปดูพิธีใหญ่ของวันนี้ฤๅ” เพตราที่กำลังร้อยเข็มอยู่ก็รีบวางมือลงแล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงใสกังวาน
“มิไปดอกเจ้าค่ะ ถ้าลูกไปแล้วเจ้าคุณแม่จะอยู่กับใครกัน ทั้งพี่อัตถ์ ท่านอาก็ไปร่วมพิธีกันหมดแล้วหนา”
“โธ่ถัง ยังจะกังวลว่าแม่จะเหงาอีก ไปเถิด แม่อยากให้เจ้าไปเปิดหูเปิดตากับเขาเสียบ้าง”
“จะดีรึเจ้าคะ”
“ไปเถิด เอิบ นังเอิบ! พาแม่เพตราไปผลัดผ้าเร็ว เดี๋ยวมิทันงาน”
“มาแล้วเจ้าค่ะ” บ่าวรับใช้วิ่งแจ้นขึ้นมาบนเรือนไม้แล้วนั่งพับเพียบเรียบร้อย
“แม่เอิบมาแล้ว ข้าไปแล้วหนา” บ่าวรับใช้จึงค่อยๆ ประคองเพตราพาไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในเรือนกลาง คุณหญิงมลิกามองตามบุตรบุญธรรมคนนี้แล้วอดเอ็นดูไม่ได้ กิริยาช่างงดงาม เห็นอกเห็นใจ เป็นที่รักของพ่ออัตถ์และครอบครัวนางเหลือเกิน เสียแต่ว่าในอนาคตอันใกล้ใครจะได้ตบแต่งกับบุตรสาวคนนี้
คงต้องข้ามพ่ออัตถ์ของนางไปเสียก่อนล่ะ รายนั้นยิ่งหวงน้องสาวหนักหนา
“พระนางเรวลัยเอ๋ย ลูกของท่าน ข้าคนนี้จะดูแลนางให้ดีที่สุด”
เพตราสวมชุดขาวทั้งตัว และคลุมใบหน้าเกือบครึ่งหลงเหลือไว้แค่ดวงตา เด็กหญิงยังไม่อยากทำตัวเอิกเกริก บ่าวติดตามมาแค่สามคน หนึ่งในนั้นคือเอิบบ่าวรับใช้คนสนิทของคุณหญิงที่ตอนนี้อายุอานามราวสามสิบปีต้นๆ
“พิธีการจะเริ่มตอนไหนฤๅพี่เอิบ” เพตราเมื่อขึ้นจากเกวียนก็เอ่ยถามทันควัน นางเอิบไม่ค่อยมั่นใจนัก จึงยื่นคอออกไปถามบ่าวด้วยกัน แล้วจึงตอบเพตรา
“อีกไม่กี่ชั่วยามเจ้าค่ะ”
“อืม แล้วพี่อัตถ์กับท่านอาเล่าอยู่ส่วนไหนของพิธีการ”
“เกรงว่าพวกเราจะไม่เห็นท่านเจ้าพระยาและนายน้อยนะเจ้าคะ เพราะส่วนที่เราจะไปเป็นฝั่งของชาวบ้าน เห็นว่าเขาจะกั้นและแบ่งฝ่ายนอกฝ่ายในอย่างชัดเจน”
“แล้วอย่างนี้พี่พิมพ์จะได้ออกมาด้วยฤๅ”
“คงต้องได้ร่วมขบวนแน่นอนเจ้าค่ะ บ่าวมั่นใจ เพราะแม่พิมพ์ติดตามรับใช้พระนางเจ้าฯ”
“ไม่เห็นก็มิเป็นไรดอก มองดูไกลๆ ยิ่งเห็นภาพได้กว้างขึ้น ไม่รู้ว่าทางศิลานครจะเป็นเยี่ยงไรบ้าง”
“บ่าวได้ยินมาว่า ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กันเลยเจ้าค่ะ”
“ทุกปีก็ราบรื่นมาโดยตลอด”
“พระนางอย่าเป็นกังวลไปเลย ทุกอย่างต้องเรียบร้อย”
“กระนั้นข้าก็อดคิดถึงทุกคนมิได้อยู่ดีแม่เอิบ” เพตราเหม่อลอยหวนคิดถึงบ้านเกิด
“บ่าวเชื่อว่า เมื่อท่านทั้งสองพร้อมจะต้องมารับท่านแน่นอนเจ้าค่ะ”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น”
สองนายบ่าวคุยกันจวบจนมาถึงสถานที่ประกอบพิธีการสำคัญของปี เพตราก้าวเท้าลงมาจากพาหนะ จึงเห็นชาวบ้านชาวเมืองยืนดูขบวนเสด็จของสมเด็จพระเจ้าผู้ครองนครที่กำลังเดินขึ้นไปบนแท่นพิธี ตามด้วยขุนนาง ข้าราชบริพาร ส่วนพระนางเจ้าฯนั่งประทับอยู่ด้านล่าง พิธีการนี้มีเพียงกษัตริย์ โหราจารย์ และขุนนางเท่านั้น
ท่านโหราจารย์กราบไหว้และส่งสายตาแก่สมเด็จพระเจ้าผู้ครองนครให้กล่าวคำสัตย์
“พระแม่วารีผู้เป็นดั่งชีวิต ขอจงเมตตาแก่สรรพสิ่งทั้งปวง เหล่าชาวเมืองศิลามณีเมืองน้อง-และศิลานครเมืองพี่ ขอให้คำสัตย์จักมิกระทำการชั่วช้าต่อพระแม่ผู้ให้ชีวิต ข้าผู้มีเลือดขัตติยะที่ทรงธรรมมิกล่าวคำเท็จ ขอดลบันดาลให้พระแม่คุ้มครองบ้านเมืองให้อยู่ดีมีสุขชั่วกัปชั่วกาลนาน หากผิดต่อคำสัตย์ขอให้พระแม่ลงทัณฑ์ข้าผู้เป็นประมุขทั่วหล้าแต่เพียงผู้เดียว” เมื่อกล่าวจบฟ้าได้ผ่าลงมายังแท่นบูชาเพื่อให้ผู้คนประจักษ์แก่สายตาทั่วทั้งเมือง
พระนางเจ้าฯลุกขึ้นแทบจะทันควันที่ได้ยินคำสัตย์ของพระสวามี นางแทบจะลมจับ ไยเสด็จพี่ถึงได้กล่าวน่ากลัวเยี่ยงนั้นกัน มือทาบหน้าอกพร้อมเอนตัวลงคล้ายอาการอ่อนแรง ดีที่ภัทรวดีใช้มือประคองไว้ได้
ชาวเมืองคุยกันแซ่ซ้องต่างตื่นตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า ทว่าเพื่อไม่ให้ทุกคนขวัญหายกันไปมากกว่านี้ สมเด็จพระเจ้าศิมันตร์จึงได้ปลอบขวัญด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำทรงพลัง กึกก้องไปทั่วอาณาบริเวณ
“เย็นไว้เถิด อย่าได้เป็นกังวลชาวเมืองของเรา เหตุการณ์เมื่อครู่เป็นเพียงสาบานของข้าและพระแม่วารีเพื่อเป็นการเตือนว่าชีวิตนี้จักทำความผิดต่อผู้ที่ให้ชีวิตมิได้ หากวันใดที่ข้ากระทำผิดต่อพระแม่วันนั้นก็คงเป็นวันสิ้นชีพของข้าผู้นี้เฉกเช่นเดียวกัน”
เมื่อชาวเมืองได้ยินคำกล่าวของผู้ครองนคร กลับยิ่งเลื่อมใสและศรัทธามากขึ้น ในชีวิตนี้ขอมีกิน มีใช้นอนหลับปลอดภัยผู้ปกครองมีคุณธรรมเห็นแก่ส่วนรวมมากกว่าส่วนตนก็เพียงพอแล้ว ผู้ใดเล่าจะไม่ชมชอบ ทุกคนก้มลงทำความเคารพต่อผู้ปกครองสูงสุดแห่งนี้ ก่อนที่พระองค์จะกลับพระราชวังเป็นการเสร็จสิ้นพิธีการ
ขบวนเสด็จค่อยๆเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ชาวเมืองต่างพากันแยกย้ายไปตามเดิม ส่วนเพตราชะเง้อหาภัทรวดีและอัตถ์อยู่ชั่วครู่กลับไม่เห็นแม้แต่เงา ไม่เจอทั้งคู่นานเกือบเดือนรู้สึกเหงาหงอยอยู่บ้าง บ่าวรับใช้เห็นนายหญิงนัยน์ตาเศร้าสร้อยจึงพยายามหาทางให้เด็กน้อยมีความสุข
แต่ทว่าหลังร่างเล็กลับตาไป อัตถ์กลับกำลังขี่ม้าตามขบวนผ่านตรงที่เพตราเคยยืนอยู่คลาดกันอย่างน่าเสียดาย อัตถ์เองก็พยายามมองหาน้องสาวหวังว่านางจะมา ทว่ามองซ้ายมองขวายิ่งทำให้องค์รัชทายาทสงสัยใคร่รู้
“เจ้าเทียวเหลียวมองหาใครอยู่รึ” พระโอรสของพระองค์เจ้าเหนือหัวและเป็นถึงผู้มีคุณสมบัติครอบครองราชบัลลังก์ในภายภาคหน้ามีนามว่า ‘พระองค์เจ้าศิรา ศตนันท์ธร’ สหายคนสนิทและร่วมเรียนร่วมฝึกวิชาด้วยกันมาตั้งแต่วัยเยาว์
“พระองค์ทรงคิดไปเอง” อัตถ์ตีหน้าขรึมใบหน้ามองตรงไปยังเบื้องหน้าราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำพระองค์เล็กเหนื่อยหน่าย เป็นสหายมาก็นานแต่อัตถ์กลับไม่ยอมปริปากบอกเขาสักคำเดียว ชอบเก็บความคิดไว้คนเดียวนั้นคือนิสัยของอัตถ์
“คงมิใช่มองหาแม่พิมพ์ดอกหนา” พระองค์เจ้าศิราทรงเย้าแหย่คนหน้านิ่ง ถึงจะเป็นสหายและเป็นถึงองค์รัชทายาทแต่ทั้งคู่ก็เปรียบเสมือนพี่น้อง ไม่มีบรรดาศักดิ์มาเกี่ยวข้องแม้แต่น้อย
“เกี่ยวข้องอันใดกับแม่พิมพ์พ่ะย่ะค่ะ” พ่อคนหน้าตายคิ้วขมวดเป็นปมกับคำถามที่ดูเป็นเรื่องไร้สาระ แล้วท่าทางมีเลศนัยยิ่งทำให้อัตถ์ไม่สบอารมณ์ เดิมทีคิดว่ามารดาจะพาเพตรามาเจอกันที่ลานพิธีจึงกวาดสายตาหาจนทั่วทั้งบริเวณ จวบจนพิธีจบก็ไม่เห็นนาง กว่าที่เขาจะได้ออกมาข้างนอกวังได้ช่างยากเย็น เหตุใดมารดาถึงได้ใจร้ายไม่ให้พบน้องสาว
“คู่หมายเจ้ามิใช่รึ” พระองค์เล็กทรงแย้มพระโอษฐ์
“มิใช่คู่หมายกระหม่อม”
“อย่างนั้นหรอกฤๅ”
“…”
“ถ้าเยี่ยงนั้นหากข้าจับจองนางเล่า”
“แม่พิมพ์เปรียบดั่งน้องสาวกระหม่อม อย่าได้ทรงคิดเป็นเรื่องล้อเล่นหนา พระองค์เล็ก”
“หึ ข้าก็แค่เย้าเจ้าเล่นดอก แต่ถ้าวันนั้นมาถึงจริงข้าจะบอกเจ้าเป็นคนแรกเลยอัตถ์”
“…” อัตถ์ไม่ได้ให้ความสนใจแก่พระองค์เล็กนัก เพียงขบคิดเพียงลำพัง ปานนี้น้องสาวจะเป็นอย่างไรบ้าง หรือเขาจะลอบออกไปหานางดี
ไม่ดีแน่ จะยิ่งทำผู้อื่นลำบากเสียเปล่า
“อัตถ์อย่าลืมไปลานประลองหนา วันนี้เรามาประมือกัน ข้าได้กระบวนท่ามาใหม่จากท่านครู”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ทั้งสองคนควบม้าเคียงข้างกันเพื่อมุ่งไปยังประตูพระราชวังเบื้องหน้า เพื่อฝึกซ้อมรำดาบอย่างเช่นทุกวัน เพื่อเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า
ถึงไม่มีศึกสงครามมานานแต่ใช่ว่าจะตลอดไป ทหารย่อมพร้อมรบเสมอไม่มีข้อแม้ใดๆ
การฝึกซ้อมย่อมไม่มีวันพักเฉกเช่นเดียวกัน
ตั้งแต่ที่เริ่มเข้ามารับใช้พระนางเจ้าฯ จนถึงบัดนี้ เด็กหญิงในวัยสิบสองต้องอดทนอดกลั้นเสมอ มีผู้รักใคร่ย่อมมีผู้ริษยา ร่างเล็กมักถูกพระนางเจ้าฯ เรียกไปปรนนิบัติรับใช้อยู่ทุกวัน พระนางเจ้าไศลกัลยาโปรดปรานรูปร่าง ใบหน้า และอุปนิสัยอ่อนหวาน เจียมเนื้อเจียมตัว ไม่ประจบสอพลอเหมือนดั่งคนอื่น
แต่ใครจะล่วงรู้ว่ายิ่งถูกใจมากเพียงใดย่อมเป็นดาบสองคมกับคนที่เป็นเป้าโจมตีแห่งความอิจฉาของจิตใจมนุษย์ผู้อยากได้อยากมี ระหว่างที่พระนางเจ้าฯบรรทม ก็มักถูกกลั่นแกล้งไม่เว้นแต่ละวัน จากที่อ่อนแอก็เริ่มฮึดสู้
คราแรกที่เข้ามาอยากกลับบ้านใจจะขาด แต่บัดนี้ไม่มีแม้คนคุ้มครอง แล้วเหตุใดต้องหวังพึ่งผู้อื่นด้วยเล่า
“แม่พิมพ์ พระนางเจ้าฯให้เจ้าไปเตรียมเครื่องเสวยยามค่ำที่อุทยาน”
“จริงรึ แล้วเหตุใดพระนางเจ้าฯไม่เรียกข้าเข้าเฝ้าเล่า”
“แล้วเหตุใด พระนางเจ้าฯจะต้องเรียกเจ้าด้วย”
“ก็ทุกครา...” ร่างเล็กพยายามอธิบาย ก็ถูกคนตรงหน้ากระชากเสียงใส่ด้วยความโมโห
“ในเมื่อมิย่อมเชื่อก็สุดแล้วแต่เจ้า ข้าจักไปเตรียมเอง แล้วข้าจักบอกว่าเจ้ามิยินยอมทำตามคำสั่ง ดูสิว่าพระนางเจ้าฯจักเชื่อคนที่อยู่รับใช้มานานเยี่ยงข้า หรือจะเชื่อเด็กที่ไม่ประสีประสาบังอาจเกียจคร้านเยี่ยงเจ้า หน็อย เห็นว่าพระนางเจ้าฯเอ็นดูหน่อย ก็ริอ่านจองหองพองขน” เมื่อนางข้าหลวงโมโหโกรธาหน้าดำหน้าแดงก็ทำให้ภัทรวดีเกิดลังเล กอปรกับกลัวว่าจะเกิดเรื่องราวบานปลายจึงตกปากรับคำทันที
นางข้าหลวงยิ้มอย่างมีเลศนัยจากนั้นก็เดินเฉิดฉายจากไป ภัทรวดีคิดว่าเรื่องนี้มีอะไรไม่ชอบมาพากลแต่จะให้กลับไปถามพระนางเจ้าฯก็ดูท่าไม่เหมาะสม ทั้งเสียเวลาแล้วยังมีโอกาสที่จะโดนกริ้วมากกว่าเดิม
จึงตัดสินใจเดินไปยังห้องเครื่อง แต่ทว่าทางเดินกลับต้องผ่านสะพานเพื่อข้ามไปฝั่งตรงข้ามที่มีดอกบัวออกดอกงดงามในสระขนาดใหญ่ใกล้กับตำหนัก และน้ำค่อนข้างลึก นางเดินขึ้นไปยังกลางสะพาน พอดิบพอดีกับมีนางข้าหลวงวิ่งมาจากทางด้านหลังด้วยความเร็วจนทำให้ภัทรวดีซวนเซผลัดตกลงสระเสียงดังสนั่น
ตู้ม!
น้ำกระจายเป็นวงกว้าง เด็กสาวผลุบโผล่พยายามตีขาเพื่อจะหาทางขึ้นจากสระน้ำ นางพอจะว่ายน้ำได้แต่เพราะมีบางอย่างเกี่ยวรั้งข้อเท้าไว้จึงทำให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้น ร่างกายอ่อนแรงเริ่มจะทนไม่ไหว สิ่งสุดท้ายที่คิดถึงคือบุพการีและน้องสาว
‘ข้าขอโทษที่ไม่สามารถอยู่ปกป้องน้องได้ ขอบิดามารดาให้อภัยลูกด้วยเถิดเจ้าค่ะ’
ร่างกายค่อยๆจมหายลงไปยังก้นสระ แต่ทว่ามีมือแกร่งได้ดึงร่างบางไว้ก่อนจะจมหายลงสู่เบื้องล่าง
“แม่พิมพ์ๆ เป็นเยี่ยงไรบ้าง” พลางตบแก้มทั้งช่วยให้คืนสติ ไม่นานร่างเล็กก็สะลึมสะลือ สบตากับบุคคลผู้มีพระคุณ
“พี่...อัตถ์”
“เป็นเยี่ยงไรบ้าง แล้วนี่...” ยังไม่ทันได้พูดจบประโยคร่างบางก็โถมกอดเต็มแรงร่างกายที่สั่นเทา ร้องไห้จนตัวโยน ร่างกายอ่อนเพลียหมดสติไปชั่วขณะ
“แม่พิมพ์!” เขาเรียกอีกสักกี่ครั้งก็ไม่ได้สติ ไม่นานพระองค์เล็กก็เดินรีบเร่งมาพร้อมพระนางเจ้าฯทรงมีสีหน้าตื่นตระหนก
“เจ้าพานางไปเรือนพัก เดี๋ยวข้าจะให้หมอหลวงมาดูอาการนาง”
“พ่ะย่ะค่ะพระนางเจ้าฯ”
“รีบไปเถิด แล้วพระองค์เล็กมาได้เยี่ยงไรกันเล่า”
“ลูกจะแวะมาหาพระมารดา มิคิดว่าจะเห็นแม่พิมพ์จมน้ำอยู่ในก้นสระพ่ะย่ะค่ะ”
“ไปเรียกนางข้าหลวงทั้งหมดมารวมกันที่ตำหนักข้า บัดเดี๋ยวนี้!”
“ถ้าอย่างนั้น ลูกขอไปดูอาการแม่พิมพ์ก่อนหนา”
“ไปเถิด พ่ออัตถ์คงเป็นห่วงมาก ดูสิรีบอุ้มไปรวดเร็วขนาดนั้น พระมารดาขอไปจัดการเรื่องภายในก่อน แล้วจักมาคุยกับเจ้า”
“...” พระองค์เล็กพยักหน้าและลาพระนางเจ้าฯผู้เป็นมารดาบังเกิดเกล้า ก่อนจะทรงเดินปลีกไปอีกทางเพื่อจะไปยังเรือนพักรับรองของภัทรวดี