บทที่ ๒ ศิลานคร
“แม่เพตรา ท่านพ่อของเจ้าจะออกไปทำกิจธุระ อีกไม่ถึงชั่วยามก็ใกล้เพลาทำบุญประเดี๋ยวพระคุณเจ้าท่านจะมาบิณฑบาต ยังไม่รีบลุกขึ้นมาอาบน้ำอาบท่าอีก ถ้ายังไม่ตื่นแม่จะเดินไปปลุกด้วยไม้เรียวหนา”
เสียงเรียกจากหน้าประตูทำแพรพิมาลืมตาตื่นขึ้นโดยพลันกุลีกุจอพับผ้าห่ม รีบเดินไปเปิดประตูไม้เพื่อจะทำตามเสียงนุ่มละมุนภายนอก
เธองุนงงและยังไม่ทันได้รวบรวมสติครบถ้วน แต่ร่างกายกลับสั่งให้ไปเปิดประตูไม้ช้าๆ เสียงบานประตูดังขึ้นทำให้บุคคลที่ยืนตรงหน้าหันมามองเธอ เป็นหญิงสาวที่อายุไม่น่าจะเกินสามสิบปี ใบหน้าเรียวงาม รูปร่างอรชร สวมใส่ชุดโบราณใช้ผ้ารัดหน้าอกสีขาวพร้อมผ้าคลุมไหล่สีเดียวกัน นุ่งผ้าถุงยกดอกสีดำลวดลายวิจิตร ทรงผมเกล้ามวยต่ำและมีเครื่องประดับคล้ายมงกุฎหนึ่งชั้น
บุคคลตรงหน้าเห็นว่าแพรพิมายืนจ้องนานเกินไปจึงเอ็ดเบาๆ
“แล้วลูกจักไม่ไปกับแม่แล้วรึ ไยเมื่อคืนวานนี้บอกแม่ว่าจะไปตักบาตรที่วัดด้วยกัน ภัทรวดีรีบพาน้องสาวของเจ้าไปล้างหน้าล้างตาเสีย ใกล้จักถึงเพลาแล้ว เดี๋ยวท่านพ่อจะมิใคร่พอใจ”
“เจ้าค่ะ พระมารดา” แพรพิมาพอจับใจความว่าผู้หญิงตรงหน้าเป็นแม่ของเธอ และเธอยังมีพี่สาวชื่อภัทรวดี ดูอายุอานามแล้วไม่น่าจะไม่เกินสิบห้าปี แล้วเธอล่ะอายุเท่าไรกัน
เมื่อภัทรวดีจูงมือน้อยมายังท่าน้ำ ก็ให้เธอรีบล้างหน้าล้างตา บ่าวรับใช้จึงตามมาติดๆ กลางผ้าเพื่อให้เด็กหญิงอาบน้ำ ก่อนจะลงใช้มือวักน้ำล้างหน้า เธอชะโงกหน้าเพื่อมองเงาในแม่น้ำ
คนตรงหน้าเป็นเด็กน้อยยังไม่ถึงสิบขวบเสียด้วยซ้ำ แพรพิมาได้แต่ชะงักงันแต่อยู่ดีร่างกายกลับไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป ราวกับสูญเสียความเป็นตัวตน
‘ร่างกายนี้มิใช่ของเจ้า จงมองดูอดีตที่ผ่านมา และจดจำเอาไว้เสียเถิด ว่าเรื่องราวทุกอย่างที่ผ่านมาเป็นความทรงจำที่ข้ามิอาจลืม ข้าขอโทษกับอดีตที่มิอาจเปลี่ยนแปลงนี้ได้ เพตรา...’
หลังจากเสียงนั้นดังอยู่ข้างในภายในหัว สุรเสียงช่างเศร้าจับใจเหลือเกิน แพรพิมาไม่สามารถควบคุมร่างกายนี้ได้อีก เธอเป็นแค่ผู้รับชมกับเรื่องราวทั้งหมดนี้แทน
“ท่านแม่ ลูกมาแล้วเจ้าค่ะ ลูกขอโทษที่ทำให้ท่านพ่อท่านแม่รอนาน”
“เอาเถิด ขึ้นมาบนเรือได้แล้ว พ่อถือสาหาความไม่”
“ท่านพี่ ลูกจะได้ใจหนา”
“มาๆ แม่พิมพ์พาน้องลงมาจะได้ไปวัดกัน” สองพี่น้องที่อายุไล่เลี่ยกัน ประคองกันและกันลงมานั่งบนเรือได้สำเร็จ ครอบครัวของเจ้าพระยาศรีศักดาได้รับใช้ศิลานครเมืองโบราณกาล มาหลายชั่วอายุคน เป็นขุนนางฝ่ายปกครองและยังได้รับความเห็นชอบจนได้เลื่อนขั้นเป็นสหายรู้ใจของสมเด็จพระเจ้าศรีศิริชัยย์
เจ้าพระยาศรีศักดามีภรรยานามว่า พระนางเรวลัย ที่มีหน่อเนื้อเชื้อพระวงศ์ถูกพระราชทานตบแต่งเข้ามาอย่างสมเกียรติ มารดาของเพตราจึงเป็นแม่หญิงที่เพียบพร้อมไปทุกระเบียบนิ้ว รวมถึงลูกสาวทั้งสองด้วย
อันจะกล่าวว่าพระนางเรวลัยมีลูกสาวแท้ๆ คงกล่าวไม่เต็มปาก เพราะภัทรวดีเป็นเพียงบุตรสาวที่รับมาเลี้ยง แต่เจ้าพระยาศรีศักดาและพระนางเรวลัยก็รักดุจลูกสาวแท้ๆ คลานตามกันมาติดๆ ครั้นจะกล่าวว่ารักใครมากไปกว่ากัน เรื่องนี้เห็นว่าจะตอบไม่ได้
เพตราหรือพระนางเพตราทราวดี เป็นเด็กหญิงที่เรียบร้อยและอยู่ในโอวาทของพระนางเรวลัยเสมอ แต่ทว่าเมื่อครู่กับทำตัวผิดแผกไปจากปกตินัก
“เมื่อคืนแม่เพตรานอนดึกฤๅ ไยเมื่อครู่เจ้าถึงตื่นสาย”
“ขอโทษเจ้าค่ะ ลูก...”
“วันหลังอย่าเป็นแบบนี้อีกหนา ดูพี่สาวเจ้าเป็นตัวอย่าง วันหน้าจะหวังพึ่งเจ้าได้เยี่ยงไรกัน”
“ลูกเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่” เพตราก้มหน้างุดพร้อมกุมมือไว้บนตักเพื่อระลึกถึงความผิดว่าตนทำตัวไม่เหมาะสม พระมารดาจึงกล่าวตักเตือน เจ้าพระยาศรีศักดาเห็นลูกสาวหน้าเสียก็รีบดึงภรรยารักมากอดแนบอก และลูบไหล่เพตราเบาๆ
ภัทรวดีเห็นน้องสาวหน้าจืดเจื่อนจึงลูบศีรษะพร้อมปลอบโยน เพตราช้อนสายตาและแอบอมยิ้มที่มีเพียงพี่สาวเท่านั้นที่เข้าใจนาง
อาณาจักรศิลานครเป็นเมืองที่มีวัฒนธรรมที่หลากหลาย ศาสนาก็เช่นเดียวกัน ผู้คนต่างมีอิสรเสรีในการใช้ชีวิต สมเด็จพระเจ้าศรีศิริชัยย์เป็นผู้ปกครองที่เที่ยงธรรม จึงเจริญในด้านการค้า อารยธรรมที่รุ่งเรืองจึงพบศิลาแลงได้ทุกหนแห่ง และนำมาสร้างเมืองที่แข็งแรง นอกจากนี้แต่ละเมืองปกครองกันอย่างสันติสุขโดยมีสองเมืองใหญ่คือ ศิลานคร-ศิลามณี
ครอบครัวเจ้าพระยาศรีศักดาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาจึงชวนลูกและภรรยาเข้าวัดทำบุญเป็นประจำ แต่ไม่วายยังนับถือตามครรลองของบรรพบุรุษดั้งเดิม เรือมาดเก๋งจอดเทียบท่าเรือ ท่านเจ้าพระยาจึงเดินขึ้นบนท่าเรือ และยื่นมือให้ลูกสาวทั้งสองคนและภรรยารัก ทั้งหมดมุ่งหน้าไปยังอุโบสถเพื่อเข้าไปทำบุญตักบาตร ฟังพระธรรมเทศนาจบ เจ้าพระยาศรีศักดาและพระนางเรวลัยจึงอยู่คุยกับพระภิกษุสงฆ์ต่อเรื่องราวดวงชะตาของบุตรสาว พระนางเรวลัยส่งสายตาให้ภัทรวดีพาน้องไปเล่นข้างนอกรอพวกท่าน
ไม่นานพระภิกษุสงฆ์ก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“ดวงแม่เพตราไม่ดีเลยหนา บ้านเมืองจะเกิดอาเพศเมื่อถึงวัยออกเรือน”
“ตายจริง!” พระนางเรวลัยตกอกตกใจแทบจะทันที เจ้าพระยาศรีศักดาเห็นอย่างนั้นก็เข้าไปประคองภรรยาเอาไว้
“แล้วพอจะมีหนทางให้แก้ไขไหมขอรับหลวงพ่อ”
“อืม...มันมีทางแก้เสมอแหละโยม แต่โยมทั้งสองจะลองเสี่ยงดูไหมเล่า”
“เยี่ยงไรรึขอรับ”
“ต้องมิให้แม่เพตราอยู่ที่ศิลานคร ห้ามกลับมาแม้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม”
“หลวงพ่อขอรับ!”
สองสามีภรรยาได้ยินอย่างนั้นก็หายใจหายคอลำบาก ไม่ว่าทางไหนก็ดูเป็นเรื่องยาก เจ้าพระยาศรีศักดาเป็นหนึ่งในสหายส่วนพระองค์ของสมเด็จพระเจ้าผู้ครองนคร ส่วนพระนางเรวลัยมีเชื้อพระวงศ์ที่ประดับอยู่บนบ่ามาตั้งแต่กำเนิด แล้วบุตรีของนางเล่า จะให้บอกผู้อื่นรู้ว่า พระนางเพตราทราวดีเป็นกาลกิณีของบ้านเมือง แล้วให้คนอื่นมาตัดสินชะตาชีวิตครั้งนี้ ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ นางยอมไม่ได้!
ใครหน้าไหนก็ไม่อาจพรากเราสองแม่ลูกไปได้ พระมารดาคนนี้จะทำทุกวิถีทางให้ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนต้องรอดปลอดภัยจวบจนนางจะสิ้นชีพ
“กราบลาหลวงพ่อเจ้าค่ะ” พระนางเรวลัยจมอยู่ในภวังค์ก่อนจะตัดสินใจกราบลาหลวงพ่อและรีบรุดไปนอกโบสถ์เพื่อจะหาลูกสาวคนโปรด
“กระผมต้องกราบขอโทษหลวงพ่อด้วยขอรับ”
“มิเป็นไรหรอกโยม ก็นางเป็นถึงมารดาจะยอมได้เยี่ยงไรกันเล่า” หลวงพ่อยกยิ้มและกล่าวอย่างใจเย็น
“ชะตากรรมมันกำหนดมาแล้ว ถ้าอยากฝืนชะตาก็ทำตามที่อาตมาชี้แนะเถิด ทางเลือกมีไม่มากดอก แต่เป็นสิ่งที่อาตมาคิดว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว”
เจ้าพระยาศรีศักดาเดินตามหาพระนางเรวลัยจึงเห็นว่านางนั่งรอบนศาลาเทียบท่าและสวมกอดบุตรสาวไว้แนบอก หัวใจของพ่อแม่ร้าวรานแทบจะขาดใจ ลูกสาวที่เพิ่งเลี้ยงได้ไม่ถึงสิบปีจะต้องห่างจากอกไปเสียแล้ว
“แม่เพตรา แม่รักเจ้าหนา” เจ้าพระยาศรีศักดาเห็นภรรยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือก็ใจสลาย ได้แต่เก็บกลืนอารมณ์เศร้าหมองแล้วโน้มตัวเข้าสวมกอดแม่ลูกอย่างคนทุกข์ระทม เหลือเพียงภัทรวดีที่ยืนนิ่งและฉงนกับท่าทางที่เปลี่ยนไปของบุพการี
“ลูกต้องไปอยู่ที่เมืองศิลามณีเพื่อเล่าเรียนรึเจ้าคะ ท่านแม่”
เพตราทวนสิ่งที่ได้ยินได้ฟังจากมารดาบังเกิดเกล้า ทำไมล่ะ อยู่ที่นี่กับบิดามารดาไม่ได้หรือ
“แม่เพตรามิต้องคิดมากดอกหนา ไปแค่สามสี่ปีก็กลับมาแล้ว ศึกษาเล่าเรียนให้เก่งแล้วแม่จักไปรับกลับเรือน”
“ทำไมล่ะ ลูกขออยู่ที่นี่กับพระมารดามิได้ฤๅ…” เพตราเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่คนฟังกลับสะท้านในอก
‘แม่ขอโทษนะลูก ที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อเจ้าทั้งนั้น วันหน้าขอให้ลูกอยู่สุขสบายแคล้วคลาดปลอดภัย แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว’
พระนางเรวลัยได้แต่กล่าวในใจ สูดหายใจเข้าลึกและข่มความอาลัยอาวรณ์เพื่อให้เพตราตัดใจ
“ถ้าแม่เพตราไม่ไป ก็อย่ามาเรียกข้าว่าท่านแม่อีก!”
“ท่านแม่...” เพตราเอ่ยเสียงเบา
“ที่นั่นคือที่ของเจ้า อย่ากลับมาที่นี่อีก”
“ฮึ่ก...ท่านแม่เจ้าคะ เพราะเหตุใด” พระนางเรวลัยได้แต่เบือนหน้าหนีไปทางอื่นไม่กล้ามองลูกสาวตัวน้อยที่กอดเอวนางแน่นสนิท หยาดน้ำตาไหลรินลงช้าๆ เพื่อจะบ่งบอกว่าการจากลาเป็นความรู้สึกสุดแสนทรมาน
เพตราในวัยเยาว์ มีแต่ความไม่เข้าใจเพราะเหตุใด...นางถึงต้องจากบ้านจากเมืองมาอยู่ในที่ไม่คุ้นชิน ท่านพ่อท่านแม่ไม่รักนางแล้วหรือ...
และแล้วก็ถึงวันต้องออกเดินทาง เพตรากล้ำกลืนฝืนทน แต่ไม่วายเหลือบไปเมียงมองมารดา โผเข้ากอดเป็นครั้งสุดท้าย
“อยู่ที่นั่น อย่าดื้ออย่าซนเป็นเด็กดีของพี่สาวเจ้านะ”
“สักวันแม่จะไปหาเจ้า เพตรา” เจ้าพระยาศรีศักดาและพระนางเรวลัยยืนส่งลูกสาวตัวน้อยทั้งสองพร้อมกล่าวอำลา ฝากฝังให้ภัทรวดีดูแลน้องให้ดี ก่อนที่จะขึ้นเกวียนเดินทางสู่จุดหมายปลายทางที่ไกลแสนไกลในความรู้สึกของทั้งสอง
‘สักวันลูกจะกลับมาหาพวกท่าน ท่านพ่อท่านแม่’ เพตราให้คำมั่นสัญญาต่อบุพการี
“เพตรา มีพี่อยู่มิต้องกังวลอะไรแล้วหนา”
“เจ้าค่ะ แต่ว่าทางโน้นจะดีกับพวกเราไหม พี่พิมพ์”
“พี่เองก็มิใคร่รู้ดอกหนา แต่เราต้องจำคำบิดาและพระมารดาไว้”
“เจ้าค่ะ น้องจักจดจำไว้”
“มา มาให้พี่กอดสักครา” ภัทรวดีอ้าแขนรอรับอ้อมกอดแน่น ถ่ายทอดอุ่นไอรักที่มีเพียงสองพี่น้องเท่านั้น ภัทรวดีเหม่อลอยไปนอกหน้าต่างระหว่างที่เกวียนวิ่งด้วยความเร็วคงที่ นึกถึงเมื่อคืนวานที่ได้รับการไหว้วานเรื่องสำคัญแก่เด็กหญิง
‘แม่พิมพ์ พระมารดาอยากขอร้องเจ้า ให้รักและทะนุถนอมน้องเจ้าตลอดไป น้องมีเพียงเจ้า รับปากแม่สิ’
‘ข้ารับปากเจ้าค่ะ’
‘รักษาตัวให้ดีนะ พ่อจะไปเยี่ยมบ่อยๆ’
‘เจ้าค่ะ ท่านพ่อ’
‘แล้วก็...เรื่องสุดท้าย เจ้าต้องไปแต่งงานกับพ่ออัตถ์ลูกชายของเจ้าพระยานฤเบศก์ เมื่อถึงวัยที่เหมาะสม’
‘…’ ภัทรวดีก้มหน้างุดยอมรับชะตากรรม จะทำอย่างไรได้ มันเป็นคำสั่งของท่านพ่อท่านแม่ผู้มีพระคุณที่เลี้ยงดูนางมาตั้งแต่วัยละอ่อน ภัทรวดีได้แต่ยอมรับความจริง การจากบ้านเกิดมาครั้งนี้ นางคิดว่าพอจะรับรู้แล้ว
‘ได้ยินไหมแม่พิมพ์...’
‘เจ้าค่ะ ข้ารับรู้แล้ว’ เจ้าพระยาศรีศักดาศรีเห็นลูกสาวนิ่งเงียบก็ลุกขึ้นจับบ่าแล้วพาลูกสาวคนโตมานั่งตรงกลางระหว่างตนกับพระนางเรวลัย สวมกอดด้วยความรัก
‘แม่รักเจ้านะ ลูกเข้าใจใช่ไหม’ พระนางเรวลัยลูบศีรษะลูกสาวพลางน้ำตาซึม
‘พระมารดาอย่าร้องไห้ไปเลย ลูกเข้าใจแล้ว ลูกจักมิทำให้พวกท่านต้องผิดหวัง’
‘โอ๋ๆ อย่าร้องเลยเรวลัย พี่จักพาเจ้าไปเยี่ยมเยือนลูกสาวเราบ่อยๆ ดีฤๅไม่’ ท่านเจ้าพระยาหัวเราะและเย้าแหย่ภรรยาเพื่อไม่ให้นางกังวลไปมากกว่านี้
‘เจ้าค่ะท่านพี่ แล้วเจ้าพระยานฤเบศก์นี้’
‘เป็นสหายที่รู้ใจพี่ที่สุด อย่าเป็นกังวลเลยหนา พี่ส่งสาส์นไปให้มันแล้ว มันจะดูแลลูกสาวเราเป็นอย่างดี’
‘ไปพักผ่อนเถิดแม่พิมพ์ วันพรุ่งนี้ต้องเดินทางแต่รุ่งเช้า’
‘เจ้าค่ะ’
การเดินทางไปยังเมืองศิลามณี ใช้เวลาเกือบหนึ่งเดือน เพตราเหนื่อยล้าและอ่อนแรงทั้งสภาพจิตใจยังอ่อนแอ จากที่เป็นเด็กเรียบร้อยอยู่แล้วยิ่งเป็นคนนิ่งเงียบไม่ยอมพูดจา หนักเข้าจนภัทรวดีรู้สึกสงสารน้องสาวจับใจ
“อีกมินานก็จะถึงแล้ว พี่จักพาเจ้าไปเที่ยวเล่นข้างนอกเรือนดีไหม”
“จริงรึเจ้าคะ”
“จริงสิ มิต้องกังวลแล้ว บิดามารดาฝากกำชับว่าให้เจ้าเป็นเด็กดีเชื่อฟังพี่”
“บิดามารดาเอ่ยอะไรอีกฤๅไม่”
“เอ่อ…”
“กล่าวอันใดรึเจ้าคะ...พี่พิมพ์”
“จักให้พี่แต่งงาน”
“แต่งงานฤๅ ได้เยี่ยงไรกัน พี่พิมพ์เพิ่งสิบสองปีเอง เหตุใดถึงได้รวดเร็วเยี่ยงนี้ด้วยเล่า”
“ใจเย็นก่อนหนา ยังมิใช่เวลานี้ดอก เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม”
“ค่อยโล่งอกไปที แต่พี่พิมพ์จักยอมแต่งรึเจ้าคะ แล้วเขาจะดีกับพี่ไหม”
“พี่ก็ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับเขานักดอก รู้แค่ว่าเขาเป็นลูกชายเจ้าพระยานฤเบศก์ สหายสนิทของท่านพ่อ”
“…” เพตราได้ยินภัทรวดีพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่เด็กหญิงรับรู้ได้ว่าพี่สาวเพียงปลอบใจตนเองเพียงเท่านั้น
“เขาจะดีต่อพี่พิมพ์แน่นอนเจ้าค่ะ น้องเชื่อในความดีของท่าน พี่จะต้องพบกับคนศีลเสมอกัน”
“ขอบน้ำใจเจ้า”
คำพูดของสองพี่น้องดูจะเป็นเป็นการคิดที่ผิดมหันต์ เพราะคู่หมั้นคู่หมายของภัทรวดีไม่ได้เต็มใจกับการจับคลุมถุงชนอย่างที่ผู้ใหญ่หมายมั่นไว้
“เอ้า มากันแล้วรึ”
ผู้ที่มายืนต้อนรับหน้าเรือนเป็นชายที่ดูองอาจชาติชายน่ายำเกรง ส่วนข้างกายคือ ภรรยาที่ยืนเคียงข้างกันช่างดูอ่อนหวานเหมือนพระมารดาของเพตราไม่มีผิด
ทั้งเพตราและภัทรวดีทำความเคารพแก่ผู้เป็นที่พึ่งพิงและผู้มีพระคุณ เจ้าพระยานฤเบศก์เชิญทั้งคู่รีบเข้าไปพักผ่อนบนเรือน
เรือนของเจ้าพระยานฤเบศก์มีพื้นที่กว้างขวาง แบ่งเป็นเรือนเล็ก กลาง ใหญ่ และเรือนฝั่งบ่าวไพร่ มีสวนและสัดส่วนที่ร่มรื่น ทั้งสองได้ย้ายเข้ามายังเรือนกลาง ด้านหลังมีการขุดลอกเพื่อปลูกดอกบัวสวยงาม ศาลาไว้นั่งพักผ่อน ส่วนด้านหน้าเรือนไม้ติดริมแม่น้ำขนาดใหญ่ของเมืองศิลามณี เปรียบดั่งอู่ข้าวอู่น้ำของเมืองก็คงไม่ผิดนัก
“พักผ่อนกันนะแม่เพตรา แม่พิมพ์ ส่วนอาหารการกินแม่จะให้เด็กยกสำรับมาให้”
“ท่านแม่หรือเจ้าคะ” เพตราทวนคำเรียกขานที่นางเพิ่งเอ่ยออกมา
“เจ้าก็เหมือนลูกคนหนึ่ง จะให้เรียกขานเช่นไรกันเล่า” นางยกยิ้มอ่อนโยนแล้วรุนหลังภัทรวดีและเพตราเข้าไปข้างในเรือนพักผ่อนที่อาศัยแห่งใหม่เพื่อให้เกิดการคุ้นชิน
“น่าเวทนาเสียจริง อายุเท่านี้ก็ได้พรากจากมารดาเสียแล้ว” คุณหญิงมลิการู้สึกสงสารเด็กหญิงทั้งสองคน แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ฝืนอะไรก็ฝืนได้ แต่ฝืนชะตากรรมจะได้นานสักแค่ไหนกันเชียว ภาวนาให้หน่อเนื้อพระองค์เจ้าคนนี้จะผ่านเรื่องราวไปได้
“คุณหญิงเจ้าคะ!”
“มีเรื่องอันใด ทำไมวิ่งมิรักษากิริยาเช่นนี้ นังเอิบ” บ่าวรับใช้วิ่งทะมึนตึงเข้ามานั่งพับเพียบตรงหน้าผู้เป็นนาย แล้วเอ่ยน้ำเสียงละล่ำละลัก จนนางส่ายหน้าระอากับบ่าวคนนี้นัก
“ใจเย็นหนา”
“พ่ออัตถ์เจ้าค่ะ พ่ออัตถ์!”
“ลูกข้าเป็นกระไรรึ!” นางเริ่มใจเสีย คิดไปก่อนว่าจะมีเรื่องไม่ดีไม่งามเกิดขึ้นกับลูกชายหัวแก้วหัวแหวน
“พ่ออัตถ์ได้เข้าไปฝึกทหารเพื่อเป็นองครักษ์ให้แก่พระโอรสของสมเด็จพระเจ้าศิมันตร์เจ้าค่ะ”
“ว่าเยี่ยงไรหนา!” นางใช้มือทาบหน้าอกและสาวเท้าเดินฉับๆ เพื่อไปยังเรือนใหญ่ ก็ไหนว่าสามีนางบอกว่าแค่ไปเข้าเล่าเรียนเป็นสหายสนิทองค์รัชทายาทเพียงเท่านั้น แล้วเหตุไฉนเรื่องถึงเป็นมาเช่นนี้กันเล่า
ไม่นานคุณหญิงของเรือนรีบเดินไปหาสามี จึงเห็นลูกชายสุดที่รักกำลังนั่งบนตั่งไม้สักเหยียดตรงฟังบิดาสั่งสอนด้วยสีหน้านิ่งสงบบนชานเรือน
“เจ้าคุณพี่ เหตุใด…” คุณหญิงมลิกานั่งเคียงข้างท่านเจ้าพระยาผู้เป็นสามี ก่อนจะจ้องเขม็งไปที่บุตรชาย
“เป็นความประสงค์ของลูกเองขอรับ เจ้าคุณแม่” นางยังพูดไม่จบพ่ออัตถ์ที่เห็นว่านางฮึดฮัดไม่พอใจบิดาก็รีบพูดแทรกเข้ามาทันควัน
“เหตุใดกัน...พ่ออัตถ์”
“ลูกผู้ชายถ้ามิรับใช้บ้านเมืองจะเป็นชายชาติทหารอย่างองอาจได้เยี่ยงไรกัน ลูกเข้าใจว่าทรงเป็นห่วงลูกมาก แต่ลูกขอเลือกวิถีของตนเองนะขอรับ” นางไม่อาจโต้แย้งอะไรได้อีก ดูความมุ่งมั่นของเขาก็กล้ำกลืนยอมรับในสิ่งที่ลูกเลือกเดิน
“ต้องอย่างนี้สิลูก” เจ้าพระยานฤเบศก์หัวเราะพออกพอใจกับเหตุผลของบุตรชาย เมื่อไม่มีเรื่องอะไรแล้วจึงเอ่ยต่อ
“จริงสิ พ่อลืมเรื่องเรื่องหนึ่ง คู่หมั้นคู่หมายของเจ้ามาแล้วหนา”
“เจ้าคุณพ่อขอรับ ลูกมิยอมหมั้นหมายกับคนที่ลูกไม่ได้พึงใจ” อัตถ์ตอบอย่างฉะฉานจนทำให้สองสามีภรรยาลอบมองหน้ากัน สุดท้ายท่านเจ้าพระยาก็พยักหน้าเข้าใจ
“พ่อเคารพการตัดสินใจของพ่ออัตถ์”
“ขอบพระคุณขอรับ” สองพ่อลูกเออออห่อหมก ไม่ได้สนใจนางที่เอ่ยอย่างขัดใจ
“แล้วทางเจ้าพระยาศรีศักดาจะเป็นไรฤๅไม่เจ้าคะ”
“มิเป็นไรดอก มันเป็นเรื่องที่หยิบยกขึ้นมาเล่นๆ สมัยที่พี่กับอ้ายศรีศักดาร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันมา แค่ส่งสาส์นไปบอกมันก็ไม่มีเรื่องอันใดแล้ว น้องอย่าคิดมากเลยหนา”
“น้องเข้าใจแล้ว พ่ออัตถ์...ถ้าวันไหนว่างก็อย่าลืมแวะไปหาน้องทั้งสองคนด้วยหนา น้องจากบ้านจากเมืองมาไกลคงเหงามิน้อย”
“ขอรับ เจ้าคุณแม่” เขารับคำแล้วขอตัวไปอ่านตำราต่อ ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องใดเป็นพิเศษก่อนจะลืมเลือนไปตามเวลา