บทที่ ๖ ความสุข
สองครอบครัวชื่นมื่นพร้อมหน้าพร้อมตากัน เพียงเท่านี้เพตราก็มีความสุขมากพอแล้ว เจ้าพระยาศรีศักดาและพระนางเรวลัยเห็นลูกสาวมีความสุขก็พลอยยินดีปรีดาไปกับนางด้วย
“วันนี้มีงานชมจันทร์ที่ตลาดท่าเรือ ตอนค่ำเราไปดูกันดีฤๅไม่” คุณหญิงมลิกาเอ่ยชวนพระนางเรวลัย
“ไปสิเจ้าคะ แม่เพตราจะได้ไปเปิดหูเปิดตากับเขาเสียบ้าง”
“เจ้าค่ะ” เพตราตอบรับด้วยสีหน้าพึงพอใจ พระนางเรวลัยคลี่ยิ้มบางที่เห็นลูกสาวเอ่ยน้ำเสียงกระตือรือร้น ซึ่งระหว่างนั้นก็อยู่ในสายตาของอัตถ์ตลอดเวลา เขาลอบมองน้องสาวไม่คลาดสายตา นัยน์ตาดูเศร้าสร้อยไม่น้อยโดยไม่รับรู้เลยว่ายังมีแววตาคู่หนึ่งที่มองตามเขาเช่นเดียวกัน
“ถ้าเยี่ยงนั้นก็ไปเตรียมตัวเถิด นี่ใกล้จักได้เวลาที่ผู้คนจะทยอยไปงานแล้วหนา” พระนางเรวลัยบอกแก่ลูกสาวทั้งสอง
“แล้วพระมารดาไม่ไปกับลูกด้วยรึเจ้าคะ” เรวลัยเมื่อเห็นว่าเพตราถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาจากที่คิดว่าจะพักผ่อน ก็ตกลงรับคำเพื่อจะไปเที่ยวกับลูกสาว
“แม่ย่อมต้องไปกับพวกเจ้าอยู่แล้ว”
“ไปกันหมดเถิดจักได้ครึกครื้นกันหนา” เจ้าพระยาศรีศักดาหัวเราะร่วนพร้อมพยักพเยิดให้ท่านเจ้าพระยานฤเบศก์และคุณหญิงมลิกา
ส่วนอัตถ์ก็คงไม่ปฏิเสธเหมือนเคย ใกล้เวลาที่จะห่างจากบ้านจากเรือนย่อมใช้โอกาสนี้เพื่อเก็บเกี่ยวความทรงจำที่งดงาม
งานชมจันทร์เป็นการจัดงานขึ้นในช่วงใกล้สิ้นปี ครอบครัว หนุ่มสาวมักใช้เวลาร่วมกัน มีตลาดค่ำ ผ้าแพร อาหารของหวานและสิ่งของแลกเปลี่ยนเพื่อให้ชาวเมืองได้จับจ่ายแลกเปลี่ยนการค้า หรือมอบเป็นของขวัญเนื่องในวาระต่างๆ
ภายในงานมีลานกว้างติดริมแม่น้ำไว้สำหรับดูดวงดารา จันทราที่กลมสวยสว่างไสวราวกับเป็นคืนที่ตราตรึงใจ ผ่อนคลายจากความทุกข์ทั้งปวง
ทั้งสองครอบครัวล่องเรือมายังงาน เดินเล่นรอบงาน เพตราและภัทรวดีจูงมือกันเพื่อชะเง้อดูข้าวของเครื่องประดับมากมาย อัตถ์เดินตามหลังต้อยๆ ส่วนผู้ใหญ่ทั้งสี่คนเห็นภาพตรงหน้าอย่างนั้นก็ได้แต่หัวเราะชอบใจ
“เด็กๆ ช่างเข้ากันได้ราวกับพี่น้องจริงๆหนาพี่แก้ว” พระนางเรวลัยทรงกล่าวกับคุณหญิงมลิกา นางได้ยินอย่างนั้นก็พูดต่อ
“มิใช่แค่นั้นหนา ทั้งสามคนน่ะเวลาไปไหนมักจะไปด้วยกัน เหมือนพี่น้องคลานตามกันมาติดๆเลยจ้ะ”
“ได้ยินเยี่ยงนี้น้องค่อยสบายใจหน่อยเจ้าค่ะ”
ฝ่ายสองท่านเจ้าพระยาเดินคุยกันไปด้วยความผ่อนคลาย แต่มิวายยกเรื่องงานมงคลมาคุยกันอีกครั้ง
“สหายรัก เจ้าคิดดีแล้วรึ ที่จะให้แม่เพตราแต่งงานกับพระองค์เล็กและอยู่ที่นี่”
“ข้าเลือกมิได้ ขอให้ลูกปลอดภัยให้ทำเยี่ยงไรก็ยอม”
“แต่ว่าเด็กๆ จะยอมฤๅ”
“เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้...มีเรื่องอันใดที่ข้ามิรู้รึ” เจ้าพระยาศรีศักดาเลิกคิ้วเพื่อถามสหายสนิท
“ช่างเถิด ข้าคงคิดไปเอง ว่าแต่เรื่องสมเด็จพระเจ้าศรีฯเล่า”
“เรื่องนี้ค่อยคุยกันที่เรือนเถิด หน้าต่างมีหูประตูมีช่องเดี๋ยวมิระมัดระวังอาจจะมีคนคาบข่าวไปบอกคนมิดีได้”
“นั่นสินะ มางานชมจันทร์ทั้งทีจะมัวคิดเรื่องน่าปวดหัวเพราะเหตุใดกัน” เจ้าพระยานฤเบศก์ตบไหล่เพื่อนรักพลางเปลี่ยนเรื่องคุยกัน
“ดูนั่นสิเจ้าค่ะ มีดาวตกด้วย อธิษฐานเร็วเจ้าค่ะ” เพตราชี้นิ้วไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืน ทุกคนมองตามมือบาง พลันหัวเราะขบขันกับท่าทางที่ตื่นเต้นราวกับเจอเรื่องภิรมย์
แต่ทุกคนต่างก็ยอมทำตามนาง เพตราหลับตาและอธิษฐานในใจ
‘ขอให้วันข้างหน้าได้กลับไปหาท่านพ่อท่านแม่ ขอให้พี่อัตถ์แคล้วคลาดจากสิ่งมิดี ทุกคนที่ข้ารักมีแต่ความสุข’
“พระจันทร์ช่างงดงามนักแล” ภัทรวดีคลี่ยิ้มให้เพตรา ส่วนอัตถ์เมียงมองน้องสาวทั้งสองสายตาที่มองมามีแต่ความอบอุ่น
ท่านเจ้าพระยาทั้งสองต่างตระกองกอดภรรยาเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก เป็นเวลาที่ช่างมีแต่ความอิ่มเอมหัวใจ
ทว่า...ทุกคนในที่นี้จะล่วงรู้เล่าว่า วันนี้จะเป็นความทรงจำที่มีคุณค่ามากที่สุดในชีวิต
เวลาของความสุขมักผ่านไปรวดเร็วเสมอ อีกสองวันท่านเจ้าพระยาและพระนางเรวลัยจะต้องกลับศิลานคร เพตรารู้สึกเศร้าซึมเล็กน้อยแต่จะทำอย่างไรได้ นางเชื่อว่าสักวัน นางจะได้กลับไปบ้านเกิดเมืองนอนที่จากมาอย่างแน่นอน
เจ้าพระยานฤเบศก์อยู่บนเรือนใหญ่นั่งคุยเรื่องสัพเพเหระกับสหาย อัตถ์ออกไปทำกิจธุระข้างนอกให้บิดา คุณหญิงมลิกาออกไปตลาดท่าเรือเพื่อจับจ่ายซื้อของเตรียมทำอาหารมื้อใหญ่ ส่วนพระนางเรวลัยกำลังนั่งพับผ้าแพรกับลูกสาวทั้งสองคน
“นี่คือผ้าแพรที่แม่ได้เตรียมไว้ให้ในยามที่ลูกทั้งสองพร้อมจะออกเรือน อันนี้ให้เจ้า” เรวลัยยื่นผ้าไหมที่ประณีตและงดงามแปลกตาอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“สิ่งนี้เหตุใดถึงดูแปลกตานักเจ้าคะ” ภัทรวดีคลี่ดู ส่งสายตาระคนสงสัยกับสิ่งของที่อยู่ในมือเล็ก
“มาจากเมืองศรีทวาราวดี มีการแลกเปลี่ยนสินค้าจากเมืองท่า มารดาเจ้าเห็นว่าลายผ้าถุงทั้งสองผืนนี้ดูงดงามเหมือนกับพวกเจ้าจึงได้นำมามอบให้”
“แล้วเหตุใด ท่านแม่ถึงไม่มอบตอนที่พวกเราต้องออกเรือนจริงๆ ไฉนต้องมอบให้ตอนนี้...ราวกับจะไม่มาหาลูกอีก...” เพตราย่นหัวคิ้วเข้าหากัน เริ่มคิดไปต่างๆนานา
พระนางเรวลัยได้ยินก็ทรงหัวเราะร่วนแล้วอ้าแขนเพื่อให้บุตรสาวมากกกอดไว้แนบอก
“มอบให้คราใดก็ถือว่าได้มอบให้แล้ว เหตุไฉนต้องคิดให้มากความ วันหน้าแม่เองต้องมาร่วมงานตบแต่งของพวกเจ้าทั้งสองอยู่แล้ว”
ไออุ่นของพระนางเรวลัยดับความคิดที่ฟุ้งซ่านของเด็กหญิงไปหมดสิ้น นางคงจะคิดมากไปเองกระมัง
“แล้วเจ้าเล่า แม่พิมพ์มีหนุ่มที่หมายตาไว้แล้วฤๅยัง” เมื่อทั้งสองคนผละจากอกพระนางเรวลัยจึงได้ถามลูกสาวคนโต ภัทรวดีส่ายหน้าปฏิเสธแต่แก้มทั้งสองแดงเถือกราวกับลูกตำลึง เพตราเห็นอย่างนั้นก็งุนงง ก่อนจะเอ่ยถาม
“พี่พิมพ์ ไยใบหน้าถึงได้แดงเรื่อ...”
“พี่ร้อนหนา”
“แต่ข้างบนเรือน ลมโกรกดีหนา ร้อนได้เยี่ยงไรกัน”
“เอาเถิด แม่ก็แค่เย้าเจ้าเล่นเท่านั้นเองดอก” พระนางเรวลัยทรงปรามลูกสาวคนเล็กที่ซักไซ้จนพี่สาวของนางเริ่มจะไปไม่เป็นเสียแล้ว
“มีเจ้าค่ะ พระมารดาแต่ว่าลูกยังมิแน่ใจว่าเขาจะชอบลูก” ภัทรวดีเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย สองมือกลับกุมมือแน่นบนตักราวกับกำลังประหม่า
“เยี่ยงนั้นรึ”
“ใครกันพี่พิมพ์ น้องอยากรู้”
“เจ้านี่นะ...เป็นเด็กเป็นเล็กจะอยากรู้เรื่องของคนอื่นไปไย”
“ท่านแม่...” เพตราเมื่อถูกปรามก็หน้ามุ่ยลง ทำให้ภัทรวดีลูบไหล่น้องสาวเพื่อปลอบโยน ราวกับเรื่องที่เพิ่งถามออกไปไม่ได้ทำให้นางรู้สึกกรุ่นโกรธ
“ไว้เจ้าโตกว่านี้ พี่จะบอกเจ้านะ แม่เพตรา”
“โธ่!”
“เอ๊ะ แม่เพตราเสียกิริยาอีกแล้วหนา ท่าทางเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้คงได้เปลี่ยนไปแล้วกระมัง”
“ลูกขอโทษเจ้าค่ะ” เมื่อถูกมารดาเอ็ดเบาๆเพตราจึงก้มกราบบุพการี นางเห็นลูกสาวรู้สึกถึงความผิดของตนจึงได้คลายโทสะลงหลงเหลือเพียงน้ำเสียงที่ปลอบประโลมและลูบศีรษะเบาๆ
“อีกไม่กี่วันแม่จักต้องกลับศิลานคร ลูกทั้งสองเติบโตขึ้นแล้ว วันข้างหน้าต้องรักษาตัวด้วย แม่มิได้อยู่กับพวกเจ้าก็อย่าคิดน้อยใจว่าแม่ไม่รัก ไม่ห่วงใย สักวันหนึ่งเมื่อเจ้าทั้งสองเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่มากกว่านี้ แม่จะเป็นคนบอกลูกเองว่าเหตุใดบิดาและมารดาถึงได้กระทำเยี่ยงนี้ จำเอาไว้ว่า ถ้าวันหน้าแม่ไม่อยู่ลูกก็อย่ากลับไปที่ศิลานครอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
“ท่านแม่!” ภัทรวดีและเพตราเหลือบมองพระนางเรวลัยที่เอ่ยขึ้นเป็นลางไม่ดีเหลือเกิน ทั้งคู่ตาเบิกกว้างและส่ายศีรษะไม่ยินยอม
“สัญญากับแม่สิ” พระนางเรวลัยจับจ้องและบังคับกลายๆ ให้ทั้งสองรับปากตามที่นางเอ่ย
ภัทรวดีและเพตราหันหน้ามามองกันและกัน
“ถ้ามิสัญญา อย่ามาเรียกข้าว่าท่านแม่อีก”
“ลูกสัญญาเจ้าค่ะ” ภัทรวดีพยักหน้าหงึกๆส่วนเพตรากลับไม่ยอมพูด จนพระนางเรวลัยเอ่ยย้ำอีกครั้ง
“ลูกสัญญา” แต่ถ้ามีใครมาทำอะไรท่านแม่ ลูกคนนี้จะไม่ละเว้นแม้แต่คนเดียว เพตราเอ่ยต่อในใจ
ได้ยินคำสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะของลูกสาวทั้งสอง พระนางเรวลัยก็พึงพอใจ เปลี่ยนเรื่องสนทนา วกกลับมารอฟังทั้งสองคุยจ้อเรื่องราวต่างๆ ตลอดสองปี ส่วนนางฟังอย่างจดจ่อไม่ลืมพูดเรื่องราวความเป็นไปของศิลานครให้พวกนางฟังเช่นเดียวกัน
ฝ่ายเจ้าพระยาศรีศักดาก็หารือเรื่องราวศิลานครให้สหายฟังอย่างละเอียด เขาไม่ได้มาเยี่ยมเยือนลูกสาวเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้รับพระราชสาส์นจากสมเด็จพระเจ้าศรีฯเพื่อพระราชทานถึงสมเด็จพระเจ้าศิมันตร์ผู้เป็นพระอนุชาร่วมอุทร
บัดนี้สมเด็จพระเจ้าศรีฯมีพระวรกายที่ไม่ค่อยแข็งแรงเหมือนแต่ก่อน พักหลังมีเรื่องบ้านเมืองให้สะสาง ภายหลังจึงมีพระบรมราชโองการให้พระองค์เจ้าศากวรคอยแบ่งเบาภาระหน้าที่แทน ไม่นานนักกลับพบการยักยอกเงินตราในพระคลังจนทำให้สมเด็จพระเจ้าศรีฯทรงกริ้วหนัก สืบสาวหาความว่าเหล่าขุนนางคอยชักใยอยู่เบื้องหลัง
แต่ใครเล่าจะเชื่อว่าไม่มีเบื้องลึกเบื้องหลัง เหลือเจ้าพระยาศรีศักดาคนเดียว จะกล้าสืบสาวเรื่องราวได้อย่างไรกัน
ตอนนี้ขุนนางก็แบ่งฟักแบ่งฝ่าย หาคนจริงใจแทบไม่มี ก่อนที่จะเดินทางสมเด็จพระเจ้าศรีฯเรียกเขาเข้าเฝ้าด่วน และมอบหมายงานใหญ่คือการนำพระราชสาส์นลับให้ถึงพระหัตถ์โดยเร็ววัน
“เป็นเยี่ยงนี้ แล้วเจ้าจะทำเยี่ยงไร อ้ายศรีศักดา” เจ้าพระยาเอ่ยถามสหาย ที่มีเพียงสีหน้าที่กลัดกลุ้ม
“ข้าจะทำเยี่ยงไรได้ ตอนนี้แม้แต่เข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าเหนือหัวยังยากเลย พระนางเจ้าฯมิยอมให้เข้าเฝ้าเลยหนา”
“แล้วเนื้อความในพระราชสาส์นเล่า”
“ข้าไม่ได้เปิดดูดอก แต่ก็พอจะเดาได้ เรื่องนี้เจ้าก็คงพอรู้...องค์รัชทายาทกับพระนางเจ้าฯจะก่อกบฏ” ศรีศักดายื่นหน้าไปกระซิบเบาๆ เพื่อไม่ให้มีคนได้ยินเรื่องลับของราชวงศ์
“เช่นนั้นฤๅ แล้วเหตุใดเจ้าถึงได้ใจเย็นเยี่ยงนี้เล่า” เมื่อได้ฟังอย่างนั้นเขาพยักหน้ากับเรื่องราวที่รับรู้มาบ้าง
“ก็เพราะว่ารู้อยู่แล้วน่ะซิ พระองค์ถึงได้ทรงเตรียมแผนไว้รองรับแล้ว”
“เยี่ยงไรฤๅ” ท่านเจ้าพระยานฤเบศก์เลิกคิ้วถาม
“แผนซ้อนแผน” ศรีศักดาตอบอย่างฉะฉานพลางสบตาเข้ากับสหายสนิท ก่อนที่ทั้งสองยกยิ้มมุมปากจางให้แก่กัน
วันสุดท้ายของการอยู่กับลูกสาว เจ้าพระยานฤเบศก์เสนอให้สหายสนิทไปใช้เวลาที่เรือนนอกใกล้กับภูเขาธารา มีแมกไม้หลากหลายชนิดทั้งยังมีน้ำตกใสๆ บรรยากาศช่างเย็นและสงบยิ่งนัก
เขาตกปากรับคำ ทั้งยังให้บ่าวรับใช้นำเสื่อมาปูรองไว้ข้างริมน้ำตก มองลูกสาวทั้งสองนั่งลงบนโขดหินหย่อนขาลงไปยังน้ำใสๆ แต่เย็นสดชื่น
ทว่าดูเหมือนโขดหินจะมีตะไคร้น้ำ ทำให้เพตราเกือบไถลลงไปยังข้างล่าง ดีที่อัตถ์ที่เพิ่งตามมาติดๆ เห็นเหตุการณ์ตรงหน้ารีบรุดหน้าไปเอื้อมจับข้อมือบางไว้ได้ทัน
“ระวังหน่อย” อัตถ์เอ่ยเสียงแข็ง ทว่าเพตรายิ้มอ่อนหวาน เอ่ยขอบคุณทันที
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”
“เป็นอะไรฤๅไม่ พี่ตกใจหมด” ภัทรวดีใช้มือทาบอก ก่อนจะถอนหายใจเฮือกราวกับโล่งอก อัตถ์ตวัดสายตาดุนางแทน
“ทีหลังให้ระมัดระวังกว่านี้ ถ้าแม่เพตราตกลงไปในน้ำจะทำเยี่ยงไร”
“น้องผิดเองเจ้าค่ะ” ภัทรวดีห่อไหล่และเซื่องซึมลงเมื่อถูกพี่ชายเอ่ยตักเตือนสั่งสอน ทางผู้ใหญ่ไม่รับรู้เรื่องราวพลางคุยกันออกรสออกชาติ
“คุณพี่เจ้าคะ น้องผิดเอง อย่ากล่าวโทษพี่พิมพ์เลย น้องไม่เล่นน้ำแล้ว ไปตรงโน้นไหมเจ้าคะ น้องเห็นว่ามีปลาตัวใหญ่เท่าแขนเลย”
เพตรากลัวว่าพี่สาวจะน้อยใจ จึงพยายามเบี่ยงเบนความสนใจ และเกาะแขนอัตถ์ และดึงไปอีกทาง
“ช่างเถิด ว่าแต่ตัวเท่าแขนน้องไปฟังที่ไหนมารึ พี่มิเคยได้ยิน”
เด็กหนุ่มเมื่อเห็นภัทรวดีหน้าจืดเจื่อนก็ไม่เอาความ ก่อนจะให้ความสำคัญกับเพตรา และเดินตามแรงลากของเด็กน้อยตัวกระจ้อยร่อย ปล่อยให้ภัทรวดีนั่งอยู่ริมโขดหินคนเดียว
“พี่อัตถ์เจ้าคะ เหตุใดถึงได้ต่อว่าพี่พิมพ์เช่นนั้นด้วยเล่า น้องมิใคร่พอใจเลย”
“ไหนว่าจะพาพี่มาดูปลาเยี่ยงไร เหตุใดถึงวกกลับมายังเรื่องนี้ได้เล่า”
“พี่พิมพ์หน้าซีดเพราะกลัวคุณพี่แล้วหนา” กิริยาภายนอกคือแม่นางที่สุภาพเรียบร้อยตามกุลสตรีโบราณ ทว่าผู้ใดจะรู้เล่าว่านางจะมักคุยจ้อกับเขาเพียงผู้เดียว
“รู้แล้ว” เขาตัดบทเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา อัตถ์เอง ผู้ไม่ยอมใคร ไม่พูด นิ่งเงียบกับผู้อื่นเสมอแต่สำหรับเพตราแล้ว
ไม่ว่าเรื่องใด...เขามักยอมตามใจนางเสมอ
จนได้รับฉายา...พี่ชายดีเด่นเสียแล้ว
เช้าวันต่อมาทุกคนต่างพร้อมหน้าพร้อมตากัน ก่อนจะร่ำลาและเดินไปส่งท่านเจ้าพระยาและพระนางเรวลัยที่หน้าเรือน
“อยู่ที่นี่ก็รักษาตัวด้วยหนาแม่เพตรา แม่พิมพ์เองก็เหมือนกันหนา”
“เจ้าค่ะ” สองสาวรับคำอย่างไม่อิดออด ส่วนเจ้าพระยาศรีศักดาเข้ามาสวมกอดลูกสาวทั้งสองคน ทั้งยังลูบหัวเบาๆ พลางสบตาอัตถ์แล้วพยักหน้าเพื่อจะบอกให้ดูแลลูกสาวของเขาดีๆ อัตถ์พยักหน้าตอบรับสายตาแข็งกล้าราวกับกำลังตกปากรับคำว่า ไม่ต้องเป็นห่วงอันใด
ท่านเจ้าพระยาเมื่อเห็นสายตาซื่อตรงก็คลี่ยิ้มจริงใจส่งไปให้ เขามองสหายสนิทพร้อมภรรยาก่อนจะยิ้มบางๆ
เรวลัยสวมกอดบุตรสาวเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเอ่ยลาด้วยหัวใจที่ร้าวระทม
“แม่ไม่อยู่แล้ว พวกเจ้าต้องเชื่อฟังท่านเจ้าพระยากับคุณหญิงมลิกา พี่อัตถ์ของเจ้าด้วยหนา”
“ลูกจะเป็นเด็กดีเชื่อฟังทุกอย่างเจ้าค่ะ พระมารดาอย่าลืมมารับลูกกลับเมืองหนา...ลูกจะรอ”
“...” พระนางเรวลัยน้ำตาซึมพลางพยักหน้าเมื่อลูกสาวคนเล็กกล่าวจบ
“ไปเถิด น้องหญิง ข้าไปก่อนหนา” เจ้าพระยาศรีศักดาเรียกภรรยาให้เตรียมขึ้นเกวียน
“เดินทางปลอดภัยนะเจ้าคะท่านเจ้าพระยา พระนางฯ”
“...” สองสามีภรรยาพยักหน้าก่อนจะก้าวขาขึ้นและนั่งลงข้างในเกวียน ก่อนจะค่อยๆเคลื่อนจากไป
ทุกคนมองตามจนสุดสายตา จึงพากันเข้าไปเรือน หลงเหลือเพียงเพตรา อัตถ์หันกลับมามองเด็กสาวและยืนรอจนกว่านางจะเดินเข้ามา
“แม่เพตรา ไยต้องเศร้าหมองเช่นนี้ วันหน้าประเดี๋ยวเจ้าก็จักได้กลับเมืองดอก”
“น้องคิดถึงท่านแม่” เพตราเอ่ยเสียงเบาหวิว
“...”
“แล้วพี่อัตถ์ต้องไปเมืองหน้าด่านวันใดเจ้าคะ” เด็กหญิงเงยหน้ามองพี่ชายที่จ้องมองมาด้วยสายตาอ่อนโยน
“วันพรุ่งนี้”
“เหตุใดถึงได้รวดเร็วเช่นนี้กันเล่า”
“ช้าเร็วไม่มีใครกำหนดได้ดอก เมื่อมีพระบรมราชโองการก็ต้องทำตาม”
“ถ้าเยี่ยงนั้นคุณพี่ไปรอน้องที่ศาลาริมสระบัว ประเดี๋ยวน้องมา” ร่างเล็กก้าวเท้าสับๆเพื่อไปยังเรือนกลาง เขามองตามร่างเล็กแต่ก็ยอมทำตามที่นางสั่ง
อัตถ์มารอได้สักพักจึงพบว่าเพตรากำลังถืออะไรบางอย่างติดมือมาด้วย เขาเลิกคิ้วและยกยิ้มมุมปาก
“มาแล้วฤๅ เจ้าไปไหนมา”
“คุณพี่หลับตาก่อน แล้วแบมือออกมาเจ้าค่ะ”
“เล่นเป็นเด็กๆ” เขาส่ายหน้าระอา
“หลับตาเร็วเจ้าค่ะ” เพตราเริ่มผ่อนคลายลงเมื่ออยู่กับอัตถ์ เขายอมทำตามและค่อยๆหลับตาลงช้าๆ ก่อนจะยื่นมือข้างขวาให้แก่เด็กสาวที่ยิ้มเจ้าเล่ห์
“ลองทายดูว่าสิ่งนี้คือกระไรเอ่ย” นางหย่อนปลายถุงเงินและนำมาสัมผัสเบาๆเพื่อให้เด็กหนุ่มทาย อัตถ์คิ้วขมวดมุ่นก่อนจะตอบ
“อืม เหมือนผ้าเลย คงมิใช่ถุงเงินกระมัง”
“ไม่สนุกเลย” เพตราถอนหายใจแรงทั้งยังวางไว้บนมือเด็กหนุ่ม เขาลืมตาทันทีก่อนจะหัวเราะเบาๆ นางถักถุงเงินมาให้เขาดูทุกวัน ไยเขาจะจำมิได้กันเล่า
อัตถ์ส่ายหน้าระคนเอ็นดู
“มอบให้พี่ฤๅ”
“เจ้าค่ะ ภายในยังมีหินสามสีที่น้องเก็บไว้ ว่ากันว่ายามใดที่เกิดอันตรายเพียงอธิษฐานในใจก็จะสมปรารถนา”
“จะดีรึ ไยเจ้ามิเก็บไว้เล่า”
“น้องมิได้ต้องออกไปไหน มอบให้คุณพี่น่ะดีแล้วจะได้คิดถึงคนให้เช่นน้อง เก็บรักษาให้ดีนะเจ้าคะ วันหน้าที่เราเจอกัน ข้าจักขอดูว่าพี่อัตถ์เผลอทำหายที่ใดฤๅไม่”
“เช่นนั้นฤๅ ขอบน้ำใจหนา ของที่เจ้ามอบให้ พี่จักเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี” เขารับไว้แล้วเก็บติดตัวเป็นอย่างดี
“จริงสิ น้องต้องได้เข้าพระราชวังเพื่อเล่าเรียน”
“ขอให้เจ้าอยู่ดีมีสุข”
“ท่านก็เช่นกันหนา”
“...” ต่างฝ่ายต่างยิ้มกว้างให้กัน ทว่าเพตรากลับเอ่ยคำลาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“น้องจักต้องเข้าพระราชวังวันพรุ่งนี้ ย่อมมิได้ไปส่งคุณพี่และน้องก็มิอยากไปส่งเช่นกัน”
“เยี่ยงนั้นฤๅ” เขาพยักหน้าเข้าใจในตัวน้องสาวตัวน้อย
“มิใช่ว่าน้องโกรธหรือน้อยใจแต่อย่างใดทว่าน้องกลัวทำใจมิได้”
“พี่เข้าใจแล้ว เข้ามาสิ...” เด็กหนุ่มอ้าแขนกว้างเพื่อให้นางเข้ามาสวมกอด
“...” นางมิพูดพร่ำทำเพลงเข้ามากอดอย่างช้าๆ นางระบายลมหายใจออกมาเบาๆ ข่มกลั้นความรู้สึกอยากร้องไห้เอาไว้ กอดลาครั้งนี้ช่างเป็นความรู้สึกที่โหวงเหวงกลางอก
“อีกห้าปีก็จักได้เจอกันแล้ว รอพี่หนา...”
“น้องจักรอคุณพี่...”
วันลาจากก็มาถึง ต่างฝ่ายต่างมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ การจากลาชั่วคราวไยต้องหม่นหมอง สายสัมพันธ์ที่ยืนยงคือความรักที่เริ่มถักทอจากเส้นบางๆ จนกระทั่งผ่านไปเรื่อยๆ อีกคนคิดว่านั่นคือความรู้สึกที่เกินกว่าคำว่าพี่น้อง แต่อีกคนกลับรอเพียงพี่ชายคนเดียว
‘รอพี่หนาแม่เพตรา’
‘เมื่อไรจะห้าปีหนา แล้วตอนนี้ท่านกำลังทำกระไรอยู่หนอ’ เวลามักผันผ่านราวกับใบไม้ที่ร่วงโรย พริบตาเดียววันเวลาก็ผ่านเลยไปอย่างรวดเร็ว