บทที่ 5
ทางด้านณิชาดา เมื่อแยกจากพี่สาวแล้วก็เริ่มเดินหาหลานชายทั่วบริเวณชั้นสี่เริ่มตั้งแผนกเสื้อผ้าเด็ก ตามร้านอาหาร ในสวนสนุกหรือแม้แต่ในห้องน้ำชาย โดยหญิงสาวให้คนที่กำลังจะเข้าห้องน้ำช่วยดูให้ว่าในห้องน้ำมีเด็กน้อยอยู่หรือเปล่า แต่ก็ไม่มีใครพบน้องบลูเลย
ร่างบางระหงเดินลากเท้ามาถึงร้านไอศรีมร้านเดิมอีกครั้ง หญิงสาวนั่งหมดแรงอยู่บนเก้าอี้หน้าร้าน น้ำตาเริ่มเอ่อคลอเบ้าเมื่อนึกถึงหลานชาย
“ถ้าน้องบลูเป็นอะไรไป เราจะไม่ให้อภัยตัวเองเลย”
ณิชาดาโทษตัวเองที่เลินเล่อดูแลหลานไม่ดี ดวงตาคู่สวยมีน้ำตาเอ่ คลอเบ้า อีกไม่กี่นาทีต่อมา หยาดน้ำตาใสๆ ก็หยดแหมะลงมาทีละข้าง หญิงสาวนั่งร้องไห้เงียบๆ อยู่หน้าร้านไอศรีม ตอนนี้เธอไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรทั้งนั้น ในใจนึกกลัวไปสารพัด กลัวน้องบลูจะได้รับอันตราย กลัวโดนคนแปลกหน้าหรือแก๊งลักเด็กหลอกไปขาย เธอรู้ว่าน้องบลูเป็นเด็กฉลาด แต่ต่อให้น้องบลูเป็นเด็กที่ฉลาดเพียงใด เด็กก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ ยังไงก็ฉลาดไม่เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของพวกแก๊งมิจฉาชีพ
คาเมลเดินตามเจ้านายหนุ่มมาจนถึงหน้าร้านไอศรีม เขาได้ยินเสียงสะอื้นร้องไห้เบาๆ จึงหันมามองด้วยความสงสัย ตอนแรกเขานึกว่าเป็นเสียงเด็กชายที่พวกเขากำลังช่วยตามหา แต่ภาพที่เห็นกลับเป็นหญิงสาวร่างบาง ผิวขาวเนียน ใบหน้าเนียนแดงก่ำ ริมฝีปากบางได้รูปแดงก่ำเช่นเดียวกันคงเป็นเพราะเจ้าตัวกัดริมฝีปากไม่ให้เสียงสะอื้นหลุดออกมาจึงทำให้ริมฝีปากแดงช้ำถึงเพียงนี้ ผมหยักศกประบ่าดูยุ่งเหยิง ผมด้านหน้าตกมาบังใบหน้านวลเกือบหมด ทำให้คาเมลมองเห็นหน้าหญิงสาวไม่ชัดนัก
ทว่าเสียงสะอื้นเบาๆ ที่เจ้าตัวพยายามกลั้นไว้หลุดรอดออกมา ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดเหมือนมีอะไรมาบีบหัวใจ เขาอยากเข้าไปเช็ดน้ำตาของหญิงสาวให้เหือดแห้งด้วยริมฝีปากสีเข้มของเขาเอง อยากจูบซับเสียงสะอื้นให้จางหายไป อยากจูบปลอบขวัญให้หายตกใจ และอยากรับรู้แบ่งเบาในสิ่งที่เธอกำลังเสียใจอยู่ ริมฝีปากสีแดงสดตามธรรมชาติคงมีรสชาติหวานล้ำปานน้ำผึ้งเดือนห้าเป็นแน่
คาเมลตกใจกับความคิดของตัวเอง ทำไมเขาถึงอยากเข้าไปจูบยัยเด็กกะโปโลนี้ด้วยนะ แค่คิดว่ารสจูบจากหญิงสาวจะหวานล้ำปานใด ร่างกายของเขาก็ตอบสนองความรู้สึกตนเอง จนเขารับรู้ได้ถึงความปวดร้าวที่เต้นตุบๆ อยู่ตรงกลางแก่นกาย
‘หรือว่าเราจะห่างหายจากการนอนกับผู้หญิงมานาน จนทำให้เห็นแค่หญิงสาวนั่งร้องไห้อยู่ จึงอยากเขาไปจูบ อยากไปแตะต้องจนทำให้ร่างกายตัวเองปวดร้าวไปหมด’
“หนูร้องไห้ทำไมครับ”
คาเมลเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วเอ่ยทักหญิงสาวด้วยความเป็นห่วง แต่อีกฝ่ายหาได้สนใจใครไม่ ร่างบางยังก้มหน้าก้มตาสะอื้นร้องไห้ เดือดร้อนคาเมลต้องยื่นมือใหญ่ไปสะกิดเบาๆ
ณิชาดามัวแต่ก้มหน้าร้องไห้ จึงไม่ได้สนใจว่ามีใครมาทักตัวเอง จวบจนกระทั่งมือใหญ่มาสะกิดบนบ่าเล็ก เจ้าตัวจึงรู้สึกตัว หญิงสาวเงยหน้าขึ้นและปัดเส้นผมหยักศกที่ตกมาปรกหน้าไปทัดตรงใบหู เปิดดวงหน้าสวยงามหวานจับตาให้คาเมลได้เห็นเต็มตา ทำเอาเลขาหนุ่มตกตะลึงผงะถอยหลังไปก้าวหนึ่งเหมือนมีใครเอาค้อนมาทุบหัว เมื่อได้เห็นใบหน้าเนียนหวานซึ้งงามลออ ชายหนุ่มตกตะลึงจนลืมคำพูดที่กำลังจะถามหญิงสาว ตอนนี้รู้แค่เพียงอย่างเดียวว่าอยากเข้าไปจูบที่ริมฝีปากแดงสดเต็มกำลัง
คาเมลผ่อนลมหายใจออกทางปากพยายามระงับความต้องการของตัวเอง แล้วเอ่ยถามหญิงสาวอีกครั้ง
“หนูร้องไห้ทำไมครับ”
ณิชาดาหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำตาตรงหางตา และตามพวงแก้ม ก่อนจะสั่งน้ำมูกเสียงดัง แล้วเงยหน้าขึ้นมองคนที่บังอาจมาเรียกเธอว่า หนู!
สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เพื่อนๆ รู้ดีว่าเธอไม่ชอบให้ใครมาเรียกเธอว่า 'หนู' เพราะปกติเธอก็ตัวเล็กที่สุดในกลุ่มอยู่แล้ว เพื่อนของเธอส่วนมากจะเป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่เกือบทุกคน และเพื่อนผู้หญิงก็เป็นประเภทสูงตั้งแต่ร้อยเจ็ดสิบขึ้นไป แต่ละคนหุ่นล่ำๆ จนเธอยังนึกกลัวว่าเพื่อนผู้หญิงของเธอจะหาคนมาแต่งงานด้วยไม่ได้ มีแต่เธอเพียงคนเดียวที่ร่างเล็กบอบบางกว่าคนอื่น ถึงแม้เธอจะสูงเกินมาตรฐานหญิงไทย แต่เธอก็ยังดูบอบบางอรชรอ้อนแอ้นอยู่ดี
เพื่อนๆ ทุกคนในกลุ่มพร้อมใจกันเรียกเธอว่า 'น้องหนู' แรกๆ ก็ยังพอทนฟังได้ หลังๆ มาเพื่อนในกลุ่มชักจะล้อกันหนักขึ้น ทำให้รู้กันทั่วคณะว่าฉายาของเธอคือน้องหนู เธอเคยขอร้องให้เรียกชื่อเล่นเธอว่าข้าวปุ้น เหมือนที่พี่สาวเรียก แต่ก็ไม่มีใครสนใจ หนักเข้าเธอเลยแกล้งทำเป็นโกรธไม่คุยด้วยเป็นอาทิตย์ เพื่อนๆ ต้องขอโทษขอโพยเธอเป็นการใหญ่ แถมยังต้องเสียเงินเลี้ยงข้าวมื้อใหญ่อีกหนึ่งอาทิตย์กว่าเธอจะหายโกรธได้
ณิชาดาเงยหน้ามองชายหนุ่มร่างสูงใหญ่หน้าตาคมเข้มใส่สูทสากลสีดำราคาแพงที่ยืนจังก้าอยู่ตรงหน้า หญิงสาวหันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาคนที่ชายแปลกหน้าเข้ามาทัก แต่เธอก็ไม่เห็นมีใครที่นั่งอยู่หน้าร้านไอศรีมนอกจากเธอคนเดียว
“อีตายักษ์วัดแจ้ง เข้ามาทักใครกัน” หญิงสาวพึมพำพูดออกมาเบาๆ
“ไม่ต้องมองหาใครหรอก พี่ทักหนูนั้นแหละ หาผู้ปกครองไม่เจอหรือยังไง อยากกินไอศรีมหรือเปล่า เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง”
คาเมลเอ่ยกลั้วหัวเราะ เปิดยิ้มกว้างทั้งริมฝีปากและดวงตา เห็นท่าทางของหญิงสาวแล้วถูกใจเขาจริงๆ
“ใครชื่อหนู แล้วใครเป็นน้องของคุณคะ ฉันไม่มีพี่ชาย มีพี่สาวคนเดียว คุณทักคนผิดหรือเปล่า”
ณิชาดาสวนกลับ นัยน์ตากลมโตฉายแววไม่พอใจอย่างมาก ที่ชายร่างใหญ่บังอาจมาสะกิดฉายาเก่าอันไม่พึงปรารถนาของเธอ
“ทักไม่ผิดคนหรอก พี่คุยกับเรานั้นแหละ นั่งร้องไห้อยู่คนเดียวแท้ๆ จะให้ไปพูดกับใคร”
“จะไปรู้ได้ไง นึกว่าเป็นคนบ้าพูดคนเดียวก็ได้”
“คนบ้าที่ไหนจะแต่งตัวได้หล่อขนาดนี้” คาเมลยอตัวเอง ขำอีกฝ่ายและเริ่มสนุกที่ได้ต่อล้อต่อเถียงกับสาวน้อยแสนสวย
“ท่าจะบ้าจริงๆ คนอะไร ยอตัวเองก็เป็น” ณิชาดาเหน็บแนมคนตรงหน้าด้วยความหมั่นไส้
คาเมลถึงกับปล่อยหัวเราะก๊ากออกมา ขบขำกับการประชดประชันของหญิงสาว
“หนูยังไม่ตอบพี่เลยว่าร้องไห้ทำไม”
“แล้วมายุ่งอะไรด้วย นั่งร้องไห้หน้าร้านไอศรีมแล้วเป็นยังไง ผิดกฎหมายมาตราไหนไม่ทราบ แล้วไม่ต้องมาเรียกว่า หนู ด้วยไม่ชอบ” หญิงสาวตวาดแว้ดตีหน้าบึ้ง ถลึงตาใส่คาเมล
“อ้าว! แล้วจะให้เรียกว่าอะไร”
“อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่คำว่า หนู!”
“ถ้างั้นเรียกว่า ที่รัก!” ใบหน้าคมเข้มคล้ำแดดก้มลงมาพูดใกล้ๆ จมูกโด่งแทบจะชนกับใบหน้าขาวเนียน
“ไม่ได้!”
“มายเดียร์!”
“ไม่ได้!” ณิชาดาปฎิเสธเสียงสูง
“ฮันนี่! สรุปง่ายๆ เรียกว่า ฮันนี่ แล้วกัน” คาเมลยิ้มแกล้งแหย่ต่อเมื่อเห็นหญิงสาวแก้มแดงก่ำด้วยความโกรธ
“ไม่ได้ จะเรียกชื่อไหนก็ไม่ได้ทั้งนั้น ฉันไม่อนุญาต นี่คุณมายุ่งกับฉันทำไม ว่างมากนักหรือไง“
ณิชาดาชักฉุนเมื่อเถียงชายหนุ่มไม่ชนะสักที อีกทั้งยังหงุดหงิดที่ชายหนุ่มทำให้เธอต้องเสียเวลาในการตามหาหลานชายด้วย
“ชอบและก็สงสาร เห็นเด็กขี้แยมานั่งร้องไห้คนเดียวไม่มีใครมาสนใจก็เลยอยากมาปลอบ” คาเมลยิ้มกริ่มทั้งใบหน้าและดวงตา
“ไม่ต้องมาสงสาร ไม่ต้องมาปลอบและไม่ต้องมายุ่งด้วย ฉันไม่ชอบ! หลีกไปฉันกำลังรีบ” ร่างบางระหงลุกขึ้นยืน ขณะออกปากไล่ชายหนุ่ม
คาเมลหาได้หลบข้าวปุ้นไม่ เขายังปักหลักยืนเด่นมองใบหน้านวลลออสวยจับจิตด้วยความถูกใจ ปากอุ่นเปิดยิ้มกว้างให้หญิงสาว
“เอ๊ะ! บอกให้หลบไป หูตึงไม่ได้ยินหรือยังไง” ณิชาดากระทืบเท้าด้วยความขัดใจที่อีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะหลบทางให้
“หูไม่ได้ตึง ยังหนุ่มยังแน่นอยู่ จะรีบไปไหน ฮันนี่! บอกก่อนแล้วจะหลีกทางให้”
“จะไปไหนก็ได้ เรื่องของฉันบอกแล้วว่าไม่ต้องมายุ่ง”
“ไม่บอกก็ไม่ต้องไป ยืนเถียงกันอยู่ตรงนี้แหละ สนุกดี “ ชายหนุ่มเอ่ยขำๆ
“ฉันจะไปห้องน้ำ ปวดท้อง พอใจหรือยัง “
ชายหนุ่มมองดวงตาคู่สวยแล้วกล่าวยิ้มๆ “โกหกไม่เก่งเลยนะ ฮันนี่”
“บอกแล้วว่าไม่ต้องมาเรียก ฮันนี่ ไม่ชอบ ฉันไม่ใช่ที่รักของคุณ”
“ตอนนี้อาจจะไม่ใช่ แต่ในอนาคตอันใกล้ก็ไม่แน่ เพราะฉะนั้นซ้อมเรียกไว้ก่อน ถึงเวลาจริงๆ จะได้ไม่เขินนะ ฮันนี่นะ“ คาเมลตอบหน้าตาย อยากจะเข้าไปกดจูบปากแดงก่ำช่างจำนรรจานัก
“เชิญคุณไปซ้อมเรียกกับคนอื่นเถอะ คงมีคนเข้าแถวยาวเหยียดรอให้เรียกจนแจกบัตรคิวไม่ทัน” ใบหน้างามค้อนประหลับประเหลือก
“อ๊ะๆ เริ่มหึงแล้ว แสดงว่ายอมรับว่าเป็นฮันนี่ของผมแล้วใช่ไหมครับ”
ควาวนี้ณิชาดาหน้าแดงซ่านตั้งแต่ใบหน้าสวยจนมาถึงลำคอระหงเพราะความเขินอาย
“หึงบ้า หึงบออะไรกัน ใครเขาเป็นที่รักของคุณ หลีกไปฉันจะไปแล้ว”
ณิชาดายื่นแขนเรียวยาวไปผลักร่างสูงใหญ่ ใบหน้างามยังไม่หายแดงจากความเขินอายที่จู่ๆ ก็มีคนมาบอกรักกลายๆ
คาเมลไม่สะทกสะท้านกับแรงผลักของหญิงสาว ร่างสูงใหญ่แทบจะไม่ขยับเขยื้อนจากท่าที่ยืนอยู่ เขาฉวยโอกาสก้มหน้ากดจูบหนักๆ บนริมฝีปากสีแดงสด พร้อมกับหอมแก้มเนียนอีกฟอดหนึ่ง
ณิชาดาไม่ทันระวังตัว นึกไม่ถึงว่าจะถูกขโมยจูบกลางห้างฯ จึงได้แต่ตะลึงงันตกใจกับการกระทำของอีกฝ่าย แต่พอได้สติก็กระโดดเข้าใส่ชายหนุ่มและทุบตามตัวเขาเป็นพัลวัน
“ไอ้บ้า! ไอ้คนลามก! ไอ้โรคจิต! มีสิทธิ์อะไรมาทำกับเขาแบบนี้”
ณิชดามัวแต่ทุบชายหนุ่ม จนไม่รู้ตัวว่าตัวเองถูกอีกฝ่ายกอดอยู่เต็มอ้อมแขนแล้ว
“จุ๊ๆ ฮันนี่ดูสิ พวกเขามองเราใหญ่แล้ว”
ชายหนุ่มจุ๊ปาก ชี้ให้มองรอบๆ ตัว ณิชาดามองตามชายหนุ่ม พอเห็นคนในร้านและที่เดินผ่านไปผ่านมาพากันมองที่พวกเธอ แล้วก็พากันอมยิ้มขำ ก็รู้สึกเขินอายเหลือกำลัง
“แฟนผมขี้งอน ผมกำลังง้ออยู่ครับ” คาเมลยิ้มละไมหันไปบอกคนในร้านและที่เดินผ่านไปมา
“ง้อให้สำเร็จนะน้อง พี่เอาใจช่วย” ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาเชียร์ให้กำลังใจคาเมล
“ขอบคุณครับพี่ ผมจะพยายามง้อให้สำเร็จครับ” คาเมลขอบคุณชายหนุ่มที่เข้ามาทักและหันมายิ้มหน้าบานให้หญิงสาว
“ใครเป็นแฟนนาย อย่ามาขี้ตู่นะ ปล่อยได้แล้ว นายมากอดฉันทำไม”
ณิชาดากัดฟันดังกรอดๆ โกรธชายหนุ่มที่บอกคนอื่นไปทั่วว่าเธอเป็นคนรักของเขา
“ก็บอกแล้วว่าชอบ อยากกอดก็กอด ไม่เห็นต้องมีเหตุผลอื่นเลย”
คาเมลตอบแบบกวนๆ กวนโทสะเป็นที่สุด
“แต่ฉันไม่ชอบ บอกให้ปล่อย ได้ยินมั้ย”
“ปล่อยก็ได้ แต่ขอชื่นใจก่อน”
ว่าแล้ว ริมฝีปากสีเข้มก็กดจูบไปบนเรียวปากบางแดงก่ำและหอมแก้มเนียนอีกฟอดใหญ่ แต่ก็ไม่ยอมปล่อยมือสักที
“ไม่ยอมปล่อยใช่ไหม ถ้างั้นต้องเจอแบบนี้”
ณิชาดาเขย่งเท้าขึ้นยื่นใบหน้าไปใกล้และกัดลงไปบนติ่งหูของชายหนุ่มสุดแรง จนอีกฝ่ายร้องลั่นเพราะความเจ็บปวด ควาวนี้มือใหญ่ถึงกับยอมปล่อยร่างบางอรชรแต่โดยดี
“สมน้ำหน้า ขอให้หูขาดไปเลย” ณิชาดาไม่อยู่รอดูผลงานของตัวเอง พอชายหนุ่มปล่อยมือ เธอก็วิ่งหนีไปทันที
“ยัยเด็กบ้า!” มือใหญ่จับที่ติ่งหูซ้ายรู้สึกเหมือนมีเลือดออกซิบๆ “ตัวเล็กแค่นี้แต่แสบจริงๆ ฉันจะต้องรู้ให้ได้ว่าเธออยู่ที่ไหน แล้วฉันจะเอาคืนให้อ่วมไปเลย”
คาเมลบ่นงึมงำกับตัวเอง หมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องตามหาหญิงสาวที่แสนน่ารัก น่าจูบคนนี้ให้พบจนได้
ส่วนณิชาดา วิ่งหนีมายืนหอบอยู่ข้างๆ แผนกเสื้อผ้าเด็ก นิ้วเรียวยาวเผลอลูบไปบนพวงแก้มกับริมฝีปากที่ถูกจูบเมื่อสักครู่
“อีตาบ้า! นี่มันเฟิร์สคิสของฉันเลยนะยะ อุตส่าห์ถนอมมาตั้งนานถูกคนบ้าที่ไหนก็ไม่รู้มาจูบ เจ็บใจจริงๆ รอให้หาน้องบลูเจอก่อนเถอะ ฉันจะไปแจ้งตำรวจให้จับนายเข้าคุกขังลืมไปเลย”
ณิชาดาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเพราะความโมโห จากนั้นก็เริ่มเดินตามหาหลานชายต่อ พอก้าวเดินได้สองสามก้าวก็นึกอะไรขึ้นมาได้
“นึกออกแล้ว น้องบลูต้องแอบไปดูต้นคริสมาสต์แน่เลย”
รอยยิ้มสว่างสดใสปรากฎขึ้นบนใบหน้าเนียน หญิงสาวลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ แล้วรีบวิ่งไปที่ลานกิจกรรมของชั้นสี่ ซึ่งมีต้นคริสมาสต์ถูกจัดไว้อีกต้นหนึ่ง