บทย่อ
ตลอดระยะเวลาหกปี โดมินิท เอิร์สคามอน ไม่เคยรู้เลยว่าตนเองมีลูกชายวัยกำลังน่ารักกับปรีชยาพร หญิงเดียวที่เขารักหมดหัวใจ ชายหนุ่มเดินทางมาประเทศไทยเพื่อเทคโอเวอร์กิจการห้างสรรพสินค้า และการมาครั้งนี้ทำให้เขาได้พบกับ น้องบลู เด็กน้อยน่ารักซึ่งมี นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้ม ที่ถอดแบบมาจากเขาไม่มีผิดเพี้ยน เมื่อน้องบลูรู้ว่าโดมินิทเป็นพ่อก็เลยอาสาเป็นกามเทพตัวน้อยคอยแผลงศรช่วยให้พ่อกับแม่ได้คืนดีกัน คาเมล เฟิร์สคาดี้ เลขาผู้ทรงประสิทธิภาพของโดมินิท เขาไม่นึกเลยว่าการเดินทางมาประเทศไทยครั้งแรก จะทำให้เขาได้พบกับสาวน้อยหน้าหวานนามว่า ณิชาดา ซึ่งทำให้เขาตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกพบ ณิชาดา สาวน้อยช่างยั่ว... คาเมล หนุ่มหล่อขี้หึง... และ น้องบลู เด็กน้อยที่เจ้าเล่ห์ไม่แพ้ผู้เป็นพ่อ พวกเขาทั้งสาม จะใช้วิธีไหน ที่จะช่วยให้ ปรีชยาพร กับ โดมินิท กลับมาคืนดีกันอีกครั้ง...
บทที่ 1
“แม่หมูครับ น้องบลูแต่งตัวเสร็จแล้ว แม่หมูแต่งตัวเสร็จหรือยังครับ”
ภูมินิท หรือ น้องบลู เด็กน้อยหน้าตาน่ารักน่าชัง แก้มอมสีชมพู ริมฝีปากสีสด ขนตายาวงอนล้อมรอบดวงตาสีน้ำเงินเข้มเหมือนผู้เป็นพ่อ ได้วิ่งมายังห้องรับแขก ปากก็ตะโกนเรียกแม่ไม่ได้หยุด
“แม่หมูแต่งตัวเสร็จแล้วค่ะ ทำไมวันนี้ใจร้อนจังเลยคะ”
ปรีชยาพร หรือ แม่หมู ของน้องบลู มีใบหน้ารูปไข่ คิ้วโก่งงามดุจคันศรดวงตาสีดำคมสวยภายใต้ขนตายาวงอน จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากบางรูปกระจับแดงระเรื่อ ผิวเป็นสีน้ำผึ้งนวลเนียนไปทั้งตัว เส้นผมยาวสีดำขลับเงางามยาวมาถึงกลางหลัง ซึ่งเจ้าตัวชอบผูกไว้ง่ายๆ ด้วยริบบิ้นสีดำ แทบจะไม่มีใครรู้ว่า ปรีชยาพรเป็นคุณแม่ลูกหนึ่ง ที่มีลูกชายอายุถึงห้าขวบ
เนื่องจากรูปร่างที่ยังบอบบางสมส่วน ใบหน้ายังดูอ่อนเยาว์กว่าอายุจริง เวลาหญิงสาวไปไหนมาไหนกับลูกชาย ใครๆ ก็นึกว่าเป็นน้าหลานกัน มีหนุ่มน้อย หนุ่มใหญ่หลายคนที่เข้ามาขายขนมจีบ
แต่พอรู้ว่าปรีชยาพรมีลูกชายแล้ว บรรดาหนุ่มๆ ทั้งหลายก็พากันถอยร่นไม่เป็นขบวน ทำเอาหญิงสาวได้แต่นึกขำว่าใครจะมาจริงใจกับคนที่มีพันธะอย่างเธอ กระนั้นหญิงสาวก็ยังไม่อยากมีความรักใหม่ เพราะรักครั้งแรก รักครั้งเดียวที่เกิดขึ้นเมื่อหกปีก่อน เป็นความรักอันแสนเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากเธอแค่ฝ่ายเดียว โดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีความรักกลับคืนให้หรือเปล่า
ทว่าหญิงสาวก็นึกดีใจกับความรักในอดีต เพราะความรักในครั้งนั้น ทำให้เธอมีเจ้าตัวเล็กๆ คือน้องบลู ซึ่งเป็นตัวแทนความรักที่เธอมีต่อบุรุษหนุ่มนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้ม...
“น้องบลู อยากไปเที่ยวแล้วครับแม่หมู”
น้องบลูยิ้มแป้นขณะเอ่ยบอกมารดา และเมื่อสังเกตเห็นว่ามารดาไม่ได้ฟังตัวเองเลย ก็ขมวดคิ้วเข้าหากันยุ่ง พร้อมกับเขย่าแขนของมารดาแรงๆ เมื่อเห็นท่านนิ่งเงียบไปนาน
“แม่หมูครับ! แม่หมูครับ! แม่หมูคิดอะไรอยู่หรือครับ น้องบลูเรียกตั้งนาน แม่หมูก็ไม่ได้ยินสักที”
“น้องบลู ถามแม่หมูว่ายังไงนะคะ คุณแม่ไม่ทันได้ฟัง”
ปรีชยาพรกะพริบตาถี่ๆ สลัดเรื่องในอดีตทิ้งไป กลับมาให้ความสนใจลูกชายอีกครั้ง
“น้องบลู ถามว่าน้าปุ้นจะไปเที่ยวกับเราด้วยหรือเปล่าครับ”
เด็กน้อยนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้ม ยังไม่ได้รับคำตอบจากมารดา ก็ได้ยินเสียงกระแอมกระไอดังอยู่ข้างหลังตัวเอง
“อ๊ะแฮ่ม! ใครนินทาน้าปุ้นสุดสวยอยู่เอ๋ย น้าปุ้นได้ยินนะคะ”
ณิชาดา ถามน้องบลูด้วยใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มกว้าง ร่างบอบบางเดินเข้ามาหอมแก้มซ้ายขวาของหลานรักฟอดใหญ่
“น้องบลูไม่ได้นินทาสักหน่อย แค่อยากรู้ว่าน้าปุ้นแต่งตัวเสร็จหรือยัง น้องบลูอยากไปกินไอศรีมแล้ว” น้องบลูรีบแก้ตัวเป็นพัลวัน กลัวว่าน้าสาวจะโกรธตนเอง
ณิชาดายิ้มบางๆ ให้หลานรัก หญิงสาวมีใบหน้าสวยคมสวยไม่เป็นรองจากพี่สาว จะต่างกันบ้างก็ตรงเส้นผม ซึ่งเธอมีเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนหยักศกเงางามประบ่า
ปรีชยาพรส่ายหน้าขำๆ กับความช่างคิดช่างพูดของลูกชาย น้องบลูเป็นเด็กที่พูดเร็ว สามารถพูดได้เป็นคำๆ ตั้งแต่สิบเอ็ดเดือน ถ้าพูดตามคนเฒ่าคนแก่สมัยก่อนเขาจะเรียกว่า เด็กปากเบา ซึ่งเป็นเด็กที่พูดได้เร็วมาก
“น้าปุ้นแต่งตัวเสร็จแล้ว ไปกันหรือยังคะ”
ณิชาดาเดินมาจูงมือหลานไว้ เธอเป็นคนเดียวที่ช่วยเลี้ยงน้องบลูตั้งแต่แบเบาะ จะเรียกว่าเลี้ยงตั้งแต่ยังอยู่ในท้องของพี่สาวเลยก็ได้ เพราะถ้าเธอไม่คอยเป็นกำลังใจ คอยประคบประหงมพี่สาวระหว่างตั้งครรภ์ เธอก็ไม่รู้ว่าจะมีน้องบลูในวันนี้หรือเปล่า เพราะระหว่างตั้งครรภ์ พี่สาวเธอได้รับความกระทบกระเทือนทั้งทางร่างกายและจิตใจ เกือบต้องเสียน้องบลูไปหลายครั้งแล้ว
“เดี๋ยวพี่ขอไปดูในร้านกาแฟก่อนว่ามีอะไรขาดเหลือบ้าง เราจะได้ซื้อมาเลย”
ปรีชยาพรบอกน้องสาว พร้อมกับเดินเข้าไปในร้านกาแฟสด ซึ่งอยู่บริเวณหน้าบ้าน ลูกค้าของเธอส่วนมากจะเป็นลูกค้าประจำ อาศัยจดจำว่าลูกค้าคนไหนชอบกินกาแฟรสชาติแบบใด ทำให้ลูกค้าถูกใจและประทับใจบวกกับราคาย่อมเยาว์ไม่แพงเกินไป เลยมีลูกค้าประจำมาก
“ผึ้ง เดี๋ยวพี่จะไปซื้อของ ผึ้งอยู่ร้านคนเดียวได้ไหมจ๊ะ”
ปรีชยาพรถามเด็กในร้าน ซึ่งเป็นคนในละแวกหมู่บ้านที่เธอรับเข้ามาทำงานด้วย
“ผึ้งอยู่ได้ค่ะ สายๆ แบบนี้ลูกค้ายังไม่เยอะหรอกค่ะพี่หมู“
เด็กสาวตอบนายจ้างสาว ขณะเดียวกันก็สาละวนอยู่กับการเช็ดโต๊ะกาแฟ ที่มีลูกค้ามานั่งกินก่อนหน้านี้
ปรีชยาพรพยักหน้ารับก่อนจะเดินออกจากร้านกาแฟ ตรงไปยังรถยนต์คันเล็ก ซึ่งน้องบลูกำลังกระโดดเหย่งๆ ตะโกนเรียกอยู่
“แม่หมู เดินเร็วๆ หน่อยสิครับ น้องบลูอยากไปเที่ยวแล้วครับ”
“แม่หมูมาแล้วค่ะ วันนี้ใจร้อนผิดปกติเลยนะเรา” ปรีชยาพรแซวลูกชายไม่จริงจังนัก
“น้องบลูขึ้นรถเร็ว แม่หมูมาแล้ว เดี๋ยวเราจะได้ไปเที่ยวกัน” ณิชาดาก้าวขึ้นรถด้านคนขับขณะเอ่ยบอกหลานชาย
“ครับ น้าปุ้น” น้องบลูยิ้มแป้นรีบเปิดประตูรถด้านหลัง แล้วก้าวขึ้นไปนั่งรอผู้เป็นมารดาในทันที
“พร้อมแล้วไปกันเลยค่ะ”
ปรีชยาพรเอ่ยบอกน้องสาว เมื่อก้าวขึ้นมานั่งในรถเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวเอี้ยวตัวหันไปมองลูกชาย รู้สึกว่าวันนี้น้องบลูตื่นเต้นมากเป็นพิเศษ ซึ่งเธอหารู้ไม่ว่า เพราะความใจร้อนของลูกชายในวันนี้ กำลังจะทำให้เธอได้พบกับรักแรก รักเดียวของเธออีกครั้ง...
ณิชาดาขับรถมาถึงห้างสรรพสินค้าชื่อดัง ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองกรุง หญิงสาวพยายามสอดสายตามองหาที่จอดรถ แต่ลานจอดด้านนอกและในตัวอาคารไม่มีที่ว่างเอาซะเลย หญิงสาวขับรถวนอยู่ในลานจอดถึงสามรอบ ก็ยังหาที่จอดรถไม่ได้
“เฮ้อ...วันนี้หาที่จอดรถยากจริงๆ” ณิชาดาถอนหายใจพร้อมกับบ่นออกมาดังๆ
“ก็วันนี้วันอาทิตย์นี่จ้ะ อีกอย่างใกล้จะถึงวันคริสมาสต์แล้วคนก็เยอะเป็นธรรมดา ลองวนดูอีกสักรอบ เดี๋ยวก็มีที่ว่างให้เราจอดเองแหละ” ปรีชยาพรเอ่ยบอกน้องสาว
“เบื่อจริงๆ เลย ทำไมคนไทยต้องเห่อ! กับเทศกาลของฝรั่งด้วยก็ไม่รู้”
ณิชาดาบ่นอุบตามประสาคนพูดมากเป็นต่อยหอย
“เมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธ คนไทยเข้ากับคนต่างชาติและก็สามารถรับ
เอาวัฒนธรรมของต่างชาติได้ง่าย แต่พี่ว่าถึงยังไงคนไทยก็ไม่ลืมประเพณีดั้งเดิมของเราหรอก ปุ้นดูช่วงวันพระที่ผ่านมาสิ พี่พาน้องบลูไปวัด คนไปทำบุญเยอะมาก บนศาลาวัดแทบจะไม่มีทางเดินให้ไปตักบาตร”
ปรีชยาพรนึกถึงตอนพาน้องบลูไปทำบุญที่วัด หากสัปดาห์ไหนวันพระตรงกับวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ หญิงสาวจะพาลูกไปวัดทุกครั้ง เพราะอยากให้ลูกได้รู้จักทำบุญตักบาตร และซึมซับประเพณีอันดีงามของไทยเรา เธอเคยเห็นเด็กวัยรุ่นบางคน ไม่เคยไปวัดไปวา ไม่รู้จักด้วยซ้ำว่าการตักบาตรต้องทำยังไงบ้าง
“สาธุ! พี่สาวผู้ใจบุญของข้าวปุ้น“
ณิชาดาไม่ได้พูดเฉยๆ หญิงสาวยกมือขึ้นไหว้เหนือหัวประกอบคำพูดของตัวเองด้วย ทำเอาผู้เป็นพี่สาวต้องร้องเสียงหลง
“ว้าย! ตายแล้วข้าวปุ้น ปล่อยมือจากพวงมาลัยทำไม”
ปรีชยาพรร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อเห็นน้องสาวปล่อยมือจากพวงมาลัย
“ไม่ต้องตกใจหรอกน่าพี่หมู ปุ้นไม่ได้ขับรถเร็วสักหน่อยถึงปล่อยมือจากพวงมาลัยก็ไม่เกิดอุบัติเหตุหรอกค่ะ”
ณิชาดาแก้ต่างให้กับตัวเองน้ำขุ่นๆ ก่อนจะบ่นออกมาอีกระลอกใหญ่
“ทำไมวันนี้มันหาที่จอดรถยากจังเลยนะ”
“ใจเย็นๆ น้องรัก พี่กำลังช่วยมองหาที่จอดอยู่จ้ะ นั่นไง! ปุ้น มีที่จอดรถ
แล้ว ข้างๆ รถเบนซ์สีดำไงจ้ะ”
ปรีชยาพรชี้ไปข้างหน้า ใกล้ๆ รถเบนซ์สีดำรุ่นใหม่ล่าสุด ซึ่งมีที่ว่างให้จอดพอดี
“เฮ้อ..มีที่ว่างให้จอดสักที” ณิชาดาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“ถอยเข้าดีๆ นะข้าวปุ้น อย่าเอาเจ้ากระป๋องไปสะกิดกับรถเบนซ์เชียวน่ะ”
ปรีชยาพรเอ่ยเตือนน้องสาว รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง ขณะช่วยลุ้นระหว่างน้องสาวค่อยๆ ถอยรถเข้าไปจอด
“เชื่อขนมกินได้เลย ฝีมือขับรถของปุ้นไม่มีใครเกิน” ณิชาดาคุยโวเกินความเป็นจริงพร้อมกับทำหน้าทะเล้นใส่พี่สาวด้วย
“พี่กลัวว่าจะเป็นขนมบูดหรือไม่ก็ค้างคืนนะสิ” ปรีชยาพรมองค้อนน้องสาว
“เกลียดคนรู้ทันจริงๆ” ณิชาดาพึมพำยิ้มๆ
“ไม่ให้รู้ทันได้ยังไงละ เดือนที่แล้วก็ขับเจ้ากระป๋องไปเบียดต้นลีลาวดีจนท้ายรถยุบหมด”
“ใช่ๆ กระถางต้นไม้แตกด้วย น้องบลูนับกระถางที่แตกได้ตั้งสี่กระถาง ไฟข้างหลังรถก็แตกด้วยครับแม่หมู” น้องบลูเริ่มบรรเลงผสมโรงกับผู้เป็นมารดา ต่อว่าน้าสาวด้วยน้ำเสียงฉะฉาน
“เอาเข้าไป แม่ลูกคู่นี้ เผาเราจนเกรียมเลยนะ” ณิชาดาแกล้งต่อว่าพี่สาวกับหลานรักบ้าง
“ก็มันจริงนี่ข้าวปุ้น”
“แหม! พี่หมู ครั้งนั้นมันผิดพลาดทางเทคนิคนิดหน่อยค่ะ ปุ้นให้น้องบลูเป็นคนดูต้นทางให้ พอดีเราสื่อสารกันผิดพลาดเล็กน้อย ก็เลยทำให้ต้องฌาปนกิจต้นลีลาวดีไปหนึ่งต้น พร้อมกับกระถางอีกสี่ใบ”
เรื่องแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ณิชาดาถนัดเป็นที่สุด แถมยังแก้ตัวหน้าตาเฉยเสียด้วย
“เดี๋ยวเถอะ! ยังจะมาโทษหลานอีก เรานี่จริงๆ เลยน่ะ” ปรีชยาพรซัดหนักๆ ลงไปบนต้นแขนขาวเนียนของน้องสาวด้วยความหมั่นไส้เหลือกำลัง
“โอ๊ย! ปุ้นเจ็บนะพี่หมู“ ณิชาดาแกล้งร้องครวญครางเสียงดัง ทั้งๆ ไม่ได้เจ็บสักนิด
“อย่าให้มันผิดพลาดบ่อยนะน้องสาวที่รัก คราวที่แล้วพี่ซ่อมรถกระเป๋าแทบฉีก คราวนี้ถ้าปุ้นไปเบียดรถเบนซ์เข้าล่ะก็ พี่จะหักค่าขนมสามเดือนรวด เอาไว้มาจ่ายค่าซ่อมรถแทน”
“ดีครับแม่หมู น้องบลูก็จะไดมีค่าขนมเพิ่ม เพราะไม่ต้องจ่ายค่าขนมให้กับน้าปุ้น” น้องบลูตบมือชอบใจยกใหญ่ พร้อมกับฉีกยิ้มแป้นให้กับน้าสาวด้วย
“พี่สาวใจร้าย ไม่รักน้องสาวคนสวย หลานชายก็ใจร้าย ไม่รักน้าปุ้น”
ณิชาดาแกล้งร้องต่อว่า พอเห็นพี่สาวกำลังจะเอ่ยเจริญพรเธอต่อ ก็รีบยกมือห้ามทัพแล้วเอ่ยว่า
“เดี๋ยวขอเวลานอกสักครู่ ขอให้ทุกท่านสงบศึกชั่วคราว ปุ้นขอทำสมาธิก่อน เดี๋ยวถอยรถไปชนรถเบนซ์เข้า ปุ้นไม่รับผิดชอบด้วยนะ“
ณิชาดาตีสีหน้าตาจริงจัง ค่อยๆ ถอยรถเข้าไปจอดตามช่องจอดรถด้วยความระมัดระวัง พอจอดได้เรียบร้อยแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก
“เฮ้อ...ค่อยยังชั่วหน่อย กว่าจะจอดได้ ลุ้นแทบตาย นึกว่าจะโดนหักค่าขนมซะแล้ว”
ณิชาดาเปิดประตูด้านคนขับแล้วก้าวลงมาจากรถ นิ้วเรียวยาวเคาะไปที่กระโปรงหน้ารถเบาๆ พร้อมกับเอ่ยชมรถยนต์คันเก่งของตัวเอง
“เจ้ากระป๋อง! แกอยู่ใกล้รถคันโก้แบบนี้ทำเอาราศีรถเขาหมองเลยนะ แต่ถึงยังไงฉันก็รักแกเหมือนเดิม”
ณิชาดาพูดกับรถยนต์ราวกับว่ามันมีชีวิตรับรู้ในสิ่งที่เธอพูดไป หญิงสาวรักรถคันนี้มาก เพราะอุตส่าห์เก็บหอมรอมริบเงินค่าขนม เพื่อซื้อรถคันนี้ ถึงแม้มันจะเกเรบ้างในบ้างครั้งแต่เธอก็รักและภูมิใจในตัวมันมาก
“ไปกันหรือยังจ๊ะข้าวปุ้น” ปรีชยาพรตะโกนเรียก เมื่อน้องสาวไม่ยอมเดินออกมาจากลานจอดรถสักที
“แม่หมูครับ น้องบลูอยากไปดูต้นคริสมาร์ตที่มีไฟเยอะๆ แม่หมูพาน้องบลูไปดูนะครับ“
“ได้ค่ะ เดี๋ยวเราเข้าไปดูต้นคริสมาร์ตกัน” ปรีชยาพรตอบรับคำขอของลูกชาย พลางก้มหน้าไปหอมแก้มลูกอีกฟอดใหญ่
“น้าปุ้นล็อกรถเสร็จแล้วไปกันเถอะค่ะ” ณิชาดาเดินมาสมทบกับพี่สาว มือเรียวยาวเอื้อมไปจับแขนหลานอีกข้างหนึ่ง
“ไปกินไอศรีมกันดีกว่า งานนี้น้าปุ้นเลี้ยงเอง ฉลองที่แม่หมูต้องเสียค่าขนมให้น้าปุ้นเหมือนเดิม” ณิชาดาเอ่ยกลั้วหัวเราะหันไปยักคิ้วใส่พี่สาว
“เดี๋ยวเถอะ! โดนหักค่าขนมเมื่อไร ห้ามมาร้องโวยวายนะ คราวนี้พี่ไม่ใจอ่อนแล้ว” ปรีชยาพรมองค้อนน้องสาว
“รับทราบค่ะ” ณิชาดาทำเสียงขึงขังแล้วจูงมือหลานเดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้าพร้อมๆ กับพี่สาว
ร่างสูงเพรียวบางของสองพี่น้องพาน้องบลูเดินเข้ามาด้านในของห้างสรรพสินค้า ก่อนจะเดินตรงไปยังลานกิจกรรมที่มีการจัดต้นคริสมาสต์ไว้ พร้อมกันนั้น ปรีชยาพรก็เริ่มตั้งคำถามกับลูกชาย
“เดี๋ยวก่อนเจ้าตัวยุ่ง เรามาทบทวนความจำกันก่อน” ปรีชยาพรคุกเข่าลงกับพื้น ใบหน้างามหวานจับจ้องอยู่ที่ตัวลูกชาย
“น้องบลูตอบคำถามแม่หมูก่อน ข้อแรก ถ้าน้องบลูหาแม่หมูกับน้าปุ้นไม่เจอ น้องบลูต้องทำยังไงคะ”
น้องบลูทำท่าคิดนิดหนึ่ง ก่อนจะตอบคำถามแม่ “น้องบลูก็จะเดินไปหาคุณลุงคนโน้น แล้วบอกว่าน้องบลูหาแม่กับน้าปุ้นไม่เจอครับ”
เด็กน้อยนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้ม ชี้นิ้วไปยังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ที่กำลังเดินดูแลความเรียบร้อยอยู่ภายในห้างสรรพสินค้า
“น้องบลูรู้ได้ไงว่าเขาจะตามหาแม่หมูกับน้าปุ้นเจอ” ณิชาดาคุกเข่าลงกับพื้นเหมือนพี่สาว เริ่มตั้งคำถามอีกคน
“ก็...คุณลุงเป็นคุณตำรวจนี่ครับ คุณลุงก็จะช่วยน้องบลูได้”
“ทำไมน้องบลูรู้ว่าเขาเป็นตำรวจจ๊ะ”
ปรีชยาพรขำลูกชายที่เข้าใจผิดคิดว่าเจ้าหน้าที่ รปภ. เป็นตำรวจ อาจจะเป็นเนื่องจากสีเสื้อผ้าที่เจ้าหน้าที่รปภ. สวมใส่อยู่ มีสีใกล้เคียงกับชุดตำรวจก็เลยทำให้น้องบลูเข้าใจผิดไป
“น้องบลูเคยเห็นคุณลุงที่ใส่เสื้อแบบนี้ยืนเป่านกหวีดอยู่หน้าโรงเรียนครับ”
“คุณลุงไม่ใช่คุณตำรวจหรอกจ้ะ คุณลุงเป็นเจ้าหน้าที่รปภ. ของห้างฯ คอยช่วยเหลือคนที่มาซื้อของในห้างฯ ค่ะ” ณิชาดาหัวเราะเบาๆ ด้วยความขบขำ ขณะอธิบายให้น้องบลูเข้าใจ
“อ้าว! ไม่ใช่คุณตำรวจหรือครับ” น้องบลูเกาศีรษะ รู้สึกสับสนกับสิ่งที่ตัวเองรู้มา
“ไม่ใช่หรอกลูก คุณตำรวจต้องใส่ชุดสีกากีเหมือนคุณพ่อพี่อาร์ตค่ะ”
ปรีชยาพรหมายถึง ร.ต.อ.พันธวุธ พ่อของน้องอาร์ต ซึ่งอยู่บ้านใกล้ๆ กันกับบ้านของเธอ คุณพันมักจะพาน้องอาร์ตมาเล่นกับน้องบลูและแวะมากินกาแฟที่ร้านของเธอเป็นประจำ
“น้องบลูเข้าใจแล้ว ถ้าเป็นคุณตำรวจต้องใส่เสื้อสีเหมือนคุณพ่อพี่อาร์ตใช่ไหมครับ”
“ถูกต้องจ้ะ เจ้าหลานชาย” ณิชาดาเอื้อมมือไปขยี้ศีรษะน้องบลูด้วยความเอ็นดู
“แม่หมูครับ น้าปุ้นครับ คุณพ่อน้องบลูเป็นคุณตำรวจเหมือนคุณพ่อพี่อาร์ตหรือเปล่าครับ”
น้องบลูเขย่าแขนสีน้ำผึ้งของผู้เป็นแม่แรงๆ ขณะเอ่ยถาม
และคำถามของน้องบลู ทำเอาใบหน้าเรียวมนของหญิงสาวทั้งสองซีดลงทันที ณิชาดาตกใจจนเผลอปล่อยมือจากศีรษะของหลานชาย หญิงสาวไม่รู้จะตอบคำถามของหลานอย่างไรดี
ส่วนปรีชยาพรหมดแรงทิ้งตัวลงนั่งกับพื้น นันย์ตาคู่สวยฉายแววเจ็บปวดให้เห็นชั่วขณะหนึ่ง ตั้งแต่น้องบลูเริ่มจำความได้ น้องบลูไม่เคยถามถึงพ่อเลย อาจเป็นเพราะว่าน้องบลูอยู่กับเธอและณิชาดาตลอดเวลา เธอเองก็พยายามเป็นทั้งแม่และพ่อให้ลูก เพราะไม่อยากให้ลูกขาดปมด้อย พอจู่ๆ มาเจอคำถามเช่นนี้จากลูกชาย ทำเอาหญิงสาวหาคำตอบไม่เจอ ใบหน้างามเบือนหน้าหนีเพราะไม่อยากให้ลูกน้อยเห็นหยาดน้ำตาที่รื้นคลอเบ้าตาทั้งคู่
“น้าปุ้นว่าเรามาตอบคำถามข้อที่สองดีกว่านะคะ ถ้าตอบถูกต้องน้าปุ้นจะซื้อหุ่นยนต์ให้หนึ่งตัวเป็นรางวัล ตกลงไหมคะ” ณิชาดาเห็นพี่สาวกำลังจะร้องไห้จึงชวนน้องบลูเฉไฉคุยเรื่องอื่นแทน
“ไชโย! น้องบลูอยากได้หุ่นยนต์โรโบคอบเหมือนของพี่อาร์ต” น้องบลูกระโดดเหย่งๆ ด้วยความดีใจ
“ได้จ้ะ แต่ต้องตอบคำถามข้อสองให้ถูกก่อน ถ้าน้องบลูไปหาคุณลุงรปภ.แล้ว คุณลุงถามชื่อคุณแม่กับชื่อน้าปุ้น น้องบลูตอบถูกไหมคะ”
“ถูกครับ น้าปุ้นชื่อณิชาดา แม่หมูชื่อปรีชยาพร” น้องบลูตอบเสียงฉะฉานเพราะท่องจำชื่อคุณแม่กับน้าสาวจนขึ้นใจแล้ว
“เก่งมากค่ะ ขอแม่หอมแก้มหน่อย”
ปรีชยาพรพยายามปรับน้ำเสียงให้ฟังดูสดใส เพื่อกลบเกลื่อนความเจ็บปวดของตัวเอง มือบางโอบกอดไปรอบตัวลูกแล้วดึงเข้ามากอดแนบชิดด้วยความรัก เธอกับน้องสาวมักจะถามน้องบลูทุกครั้งที่ออกจากบ้าน เพราะพวกเธอเคยเจอเด็กที่พลัดหลงกับพ่อแม่ในห้างฯ ใหญ่ๆ มาแล้ว พอถามชื่อพ่อแม่ เด็กก็ตอบไม่ได้ กว่าจะหากันเจอก็เล่นเอาเหงื่อตกไปตามๆ กัน
“น้องบลูเก่งมากเลย ไปกินไอศรีมกันดีกว่า หรือว่าน้องบลูอยากจะไปดูต้นคริสมาสต์ก่อนคะ” ณิชาดาเสนอทางเลือกให้กับหลานชาย
“ไปดูต้นคริสมาสต์ก่อนครับ น้องบลูอยากเห็นไฟบนต้นคริสมาสต์ครับ”
“โอเค ไปกันเลยค่ะ” ณิชาดาลุกขึ้นยืนพร้อมๆ กับพี่สาวแล้วพากันจูงมือน้องบลูไปยังลานกิจกรรม
ตรงลานกิจกรรมของห้างฯ มีการจัดต้นคริสมาสต์ไว้อย่างสวยงาม เพื่อต้อนรับเทศกาลคริสมาสต์ที่กำลังจะมาถึง ต้นคริสมาสต์ที่ทางห้างจัดไว้สูงประมาณห้าเมตร มีการตกแต่งไฟดวงเล็กดวงน้อยหลากสีรอบต้น มีตุ๊กตานางฟ้า ตุ๊กตาซานตาคลอสนั่งบนกวางเรนเดียร์ ตุ๊กตาเด็กหญิงเด็กผู้ชายและกล่องของขวัญกล่องเล็กๆ แขวนอยู่เต็มต้น ด้านล่างของต้นคริสมาสต์มีกล่องของขวัญขนาดเล็กขนาดใหญ่วางเรียงรายอยู่โดยรอบ และยังมีตุ๊กตาหิมะกับตุ๊กตาซานตาคลอสขนาดใหญ่เท่าตัวคนตั้งอยู่ใกล้ต้นคริสมาสต์ด้วย
“ต้นคริสมาสต์สวยจังเลยครับ” น้องบลูร้องบอกด้วยความตื่นเต้นเมื่อเห็นต้นคริสมาสต์ขนาดใหญ่
“น้องบลูชอบไหมลูก” ปรีชยาพรเอ่ยถามยิ้มๆ
“ชอบครับ เราซื้อต้นคริสมาสต์ไปไว้ที่บ้านได้ไหมครับแม่หมู” มือป้อมๆ ชี้ไปยังต้นคริสมาสต์ด้วยความอยากได้
“เราซื้อต้นนี้ไม่ได้หรอกจ้ะ เดี๋ยวน้าปุ้นจะพาไปซื้อต้นเล็กๆ แล้วเราเอาไปตกแต่งในร้านกาแฟนนะคะ” ณิชาดามองตามสายตาอยากได้ของน้องบลูแล้วอดหัวเราะออกมาไม่ได้
“ดีๆ ครับ น้องบลูจะช่วยคุณแม่กับน้าปุ้นแต่งต้นคริสมาสต์ แล้วก็จะชวนพี่อาร์ตให้มาช่วยแต่งด้วย”
น้องบลูตบมือชอบอกชอบใจ ดวงตากลมโตสีน้ำเงินเข้มจับจ้องแน่นิ่งอยู่ที่กล่องของขวัญใบใหญ่
“แม่หมูครับ น้องบลูแกะของขวัญกล่องนั้นได้ไหมครับ” เด็กน้อยชี้ไปยังกล่องของขวัญสีน้ำเงินกล่องใหญ่ที่สุด ซึ่งถูกวางเรียงรายอยู่กับพื้น
“ไม่ได้ลูก เขาเอาไว้แต่งต้นคริสมาสต์ เราเข้าไปแกะของขวัญไม่ได้นะคะ”
ปรีชยาพรรีบดึงแขนน้องบลูไว้ ไม่ให้ก้าวข้ามรั้วเข้าไปใกล้ต้นคริสมาสต์
“น้าปุ้นว่าเราไปกินไอศรีมกันดีไหมคะ” ณิชาดาเห็นสถานการณ์ไม่ค่อยจะดี จึงรีบเบี่ยงเบนความสนใจของหลานบ้าง
“ไปก็ได้ครับ น้าปุ้นห้ามลืมสัญญานะ น้าปุ้นต้องซื้อหุ่นยนต์ให้น้องบลูด้วย” เด็กน้อยยอมทำตามง่ายๆ แต่ก็ไม่วายหันไปมองกล่องของขวัญด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความเสียดาย
“ปุ้นพาน้องบลูไปกินไอศรีมก่อนนะ พี่ขอไปเข้าห้องน้ำก่อน”
“ได้ค่ะพี่หมู เดี๋ยวปุ้นพาไปกินที่ชั้นสี่ ชั้นนั้นมีสวนสนุกด้วย กินไอศรีมเสร็จแล้วปุ้นจะพาน้องบลูไปเล่นในสวนสนุกต่อค่ะ
“จ้ะ เดี๋ยวพี่ตามไปนะ“ ปรีชยาพรพยักหน้ารับรู้ แล้วรีบเดินไปห้องน้ำเพราะน้ำตาที่เอ่อคลออยู่รอบดวงตาคู่สวยทำท่าจะหยดแหมะลงมาทุกที
‘เมื่อไรพี่สาวเราจะสมหวังในความรักนะ’
ณิชาดาพึมพำอยู่ในใจด้วยความสงสาร ขณะมองตามพี่สาวที่รีบเดินเร็วๆ เกือบเป็นวิ่งตรงไปยังห้องน้ำซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
“น้องบลูเราไปกินไอศรีมกันเถอะ เดี๋ยวคุณแม่ตามไปเจอเราที่ชั้นสี่นะคะ”
ณิชาดาเอ่ยกับน้องบลูแล้วพากันขึ้นบันไดเลื่อนไปที่ชั้นสี่ ซึ่งเป็นแผนกเด็กและมีสวนสนุกสำหรับเด็กๆ ด้วย