ตอนที่ 3 เราจะได้เห็นดีกัน
ตอนที่ 3 เราจะได้เห็นดีกัน
ปณิดานิ่งอึ้งทำอะไรไม่ถูกที่ถูกรุกรานอย่างหนักเพราะเกิดมาเป็นตัวเป็นตนก็ไม่เคยที่จะโดนผู้ชายทำแบบนี้สักครั้ง ถึงเธอจะเป็นสาวสมัยใหม่แต่ก็ไม่เคยปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้ผู้ชายคนไหน แล้วความรู้สึกวาบหวามที่ก่อตัวขึ้นนั้นก็ทำให้หัวใจดวงน้อยเต้นระรัวราวกับกลองเพลและลมหายใจก็เริ่มติดขัดขึ้นมาเสียดื้อๆ เรียวแรงที่ใช้ต่อต้านเขาก็เริ่มลดน้อยลง ซึ่งนนทกานต์ก็รับรู้ได้และยิ้มกริ่มในใจอย่างกับผู้ชนะแต่เขาก็อดแปลกใจไม่ได้กับอาการที่สั่นสะท้านนั่นเพราะมันบ่งบอกได้ดีว่าผู้หญิงคนนี้ไม่เคยกับเรื่องแบบนี้ แต่ชายหนุ่มก็ไม่คิดจะสนใจเพราะในตอนนี้ร่างกายของเขาก็เริ่มตึงเครียดขึ้นมาเหมือนกัน ทั้งที่ปากบอกว่าไม่อยากแตะต้องหญิงสาวแต่ใจกับอยากสัมผัสร่างบางนี่ยิ่งหนัก มันเป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่สำหรับผู้ชายที่ผ่านผู้หญิงมามากอย่างเขา
และขณะที่ประสาทสัมผัสของปณิดากำลังจะเลือนหายไปนั้นเสียงโทรศัพท์มือของนนทกานต์ก็ดังขึ้น มันเป็นเหมือนกับระฆังที่ตีเพื่อช่วยชีวิตของหญิงสาวเอาไว้ แต่กับอีกคนมันเป็นเหมือนกันมารร้ายที่มาขัดจังหวะความสุขของเขา เขาจึงสบถออกมาอย่างอารมณ์เสีย
“ใครว่ะไม่รู้เวล่ำเวลา” แล้วเมื่อเอื้อมไปหยิบมันขึ้นมาก็ต้องนิ่วหน้าแล้วก้มลงไปมองร่างบางนุ่มนิ่มอย่างเสียดายก่อนจะผละลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปจากห้องนอน ส่วนปณิดาก็รีบลุกขึ้นแล้วก้าวลงจากเตียงไปยืนตัวสั่นอยู่ที่กลางห้องพร้อมกับมองไปยังประตูห้องนอนที่ปิดลงและเม้มริมฝีปากเข้าหากัน เธอยังรู้สึกใจหายใจคว่ำกับเหตุการณ์เมื่อครู่ ไม่รู้ว่าโชคดีของเธอหรือเปล่าที่มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น แต่ถ้าไม่มีสิป่านนี้เธอคงได้เป็นเมียเขาสมบูรณ์แบบแล้วแน่ๆ ว่าแต่เธอจะโชคดีแบบนี้ทุกครั้งเลยเหรอ หญิงสาวเอ่ยถามตัวเองในใจก่อนจะเดินไปหยิบผ้าขนหนูแล้วเดินหายเข้าห้องน้ำไป
พิมพ์นารากระแทกตัวนั่งลงบนเตียงหลังจากออกมาจากงานแต่งของชายที่เธอรักและไปนั่งดื่มที่ผับแห่งหนึ่งแถวๆคอนโดของตนเอง เพื่อหวังจะลบภาพที่เจ้าบ่าวหอมแก้มเจ้าสาวบนเวทีให้ออกไปจากใจ แต่มันกลับฝังลึกมากยิ่งขึ้น
“ฉันไม่ยอมแพ้นังผู้หญิงคนนั้นแน่ รู้จักคนอย่างพิมพ์นาราน้อยไปเสียแล้ว” กรามทั้งสองข้างขบเข้าหากันแน่นพร้อมกับดวงตาคู่สวยหรี่ลงด้วยความอาฆาตแค้น ก่อนจะเชิดหน้าขึ้นแล้วเดินไปหยุดยืนที่หน้ากระจกเงาแล้วมองเงาสะท้อนของตัวเองและยกมุมปากเรียวขึ้นพูดกับตัวเองในกระจกเงา “คนที่เหมาะกับตำแหน่งคุณนายพันล้านคือเธอต่างหากพิมพ์นารา ฮึ ฮึ” แววตาของหญิงสาวในกระจกนั้นวาววับด้วยเพลิงริษยาและแรงอาฆาตมาดร้าย
นนทกานต์เดินกลับเข้ามาในห้องนอนอีกครั้งแล้วก็พบว่าเจ้าสาวของเขากำลังอยู่ในห้องน้ำ ชายหนุ่มจึงถอดเสื้อสูทตัวนอกออกแล้วเดินไปนั่งลงบนเตียงแล้วเอนตัวพิงกับหัวเตียงก่อนจะยกมือขึ้นกอดอกแล้วจ้องมองไปยังประตูห้องน้ำ และครู่ต่อมาประตูบานนั้นก็เปิดออกพร้อมกับร่างบางที่อยู่ในชุดนอนยาวคลุมเท้าสีครีม หญิงสาวหยุดชะงักนิดหนึ่งเมื่อสบเข้ากับสายตาคมที่จ้องมองมาทำให้เธอต้องกระชับเสื้อคลุมชุดนอนอย่างอัตโนมัติ และเดินไปนั่งที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งก่อนจะหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กขึ้นมาเช็ดผมที่เปียกจากการสระด้วยหัวใจที่ยังเต้นโครมครามอยู่ ส่วนนนทกานต์ก็จับจ้องทุกอิริยาบถของภรรยาสาวอย่างไม่วางตาก่อนจะเหยียดมุมปากแล้วลุกขึ้นนั่งแล้วมองสำรวจร่างบางนั้นอย่างละเอียดอีกครั้ง
“ผมอยากรู้จังว่าครอบครัวของคุณทำยังไงถึงทำให้พ่อของผมหลงใหลจนถึงกับไม่เอาเรื่องที่ฝ่ายคุณเปลี่ยนตัวเจ้าสาว” คำพูดของชายหนุ่มทำให้ปณิดาหันมามองตาขวางแล้วสูดลมหายใจเข้ายาวๆเพื่อระงับอารมณ์โมโหแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ
“อันนี้คุณก็ต้องไปถามพ่อของคุณเอาเอง” และคำตอบของหญิงสาวก็ทำให้ร่างสูงลุกพรวดขึ้นแล้วเดินเข้ามาดึงร่างบางเข้าไปหาอีกครั้งก่อนจะพูดเน้นเสียงอยู่ชิดกับริมฝีปากบางนุ่มนิ่มที่เขาเพิ่งได้สัมผัสมาเมื่อครู่
“อย่ามาลิ้นเล่นกับผมไม่งั้นผมจะไม่รับประกันความปลอดภัยของคุณ”
“ปล่อยฉัน แล้วฉันก็ไม่กลัวคำขู่ของคุณด้วยคุณนนทกานต์” เธอสะบัดตัวออกมาแล้วผลักเขาออกห่างจนอีกฝ่ายเซถอยหลังไปก้าวหนึ่งและจ้องมองเธอด้วยแววตาลุกวาว
“คุณกำลังท้าทายคนอย่างผมอยู่นะปณิดา คุณยังไม่รู้จักคนอย่างผมดีพอ”
“ก็แล้วแต่คุณจะคิด” ปณิดาเชิดหน้าขึ้นแล้วหันหลังเดินไปหยิบไดร์เป่าผม แต่มือหนาก็คว้าหมับเข้าที่เอวคอดกิ่วแล้วเหวี่ยงร่างบางไปนอนจุกอยู่บนที่นอนก่อนที่ชายหนุ่มจะรีบถอดเสื้อเชิ้ตสีขาวออกแล้วโถมทับร่างบางนั้นเอาไว้พร้อมกับเน้นเสียงลอดไรฟันอย่างน่ากลัว
“ผมรู้นะว่าครอบครัวของคุณกำลังหิวเงินอย่างมากจนต้องขายลูกสาวกิน แต่น่าเสียดายที่มาขายให้ผิดคนเพราะผมไม่ชอบถนอมของเล่น แต่จะขยี้ให้ไม่เหลือชิ้นดีเลย”
“คุณมัน...” ปณิดาอ้าปากจะต่อว่าเขาแต่เสียงนั้นก็เงียบหายไปพร้อมกับที่ริมฝีปากหนาทาบปิดลงมาบนริมฝีปากบางสีชมพูระเรื่อนั้น มือทั้งสองข้างของเธอถูกมือหนาใหญ่ตรึงเอาไว้เช่นเดียวกับท่อนขาแกร่งที่กดท่อนขาเรียวงามให้นิ่งอยู่กับที่ และรสจุมพิตที่ดุดันของชายหนุ่มก็ทำให้อาการวูบวาบในร่างกายของปณิดาเริ่มปั่นป่วนขึ้นอีกครั้ง หญิงสาวเริ่มหายใจไม่ค่อยออกเพราะอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยริมฝีปากออกเลยแถมยังบดขยี้อย่างรุนแรงจนรู้สึกแสบร้อนไปทั้งปาก ปณิดาคิดว่าตัวเองคงขาดอากาศหายใจตายแน่ๆถ้าอีกฝ่ายไม่ถอนริมฝีปากออก เธอจ้องมองเขาด้วยแววตาที่ชิงชัง
นนทกานต์มองริมฝีปากที่แดงระเห่อและดวงตาที่แดงก่ำพร้อมกับหยดน้ำใสๆนั้นอย่างสะใจก่อนจะเหยียดยิ้มออกอย่างสมเพช
“ได้เวลาที่คุณต้องทำหน้าที่ภรรยาแล้ว ทำให้คุ้มค่ากับเงิน 50 ล้านที่ผมเสียไปหน่อยนะ ฮึ ฮึ” เขาหัวเราะในลำคอแล้วก้มหน้าลงไปหาใบหน้าเนียนอีกครั้งก่อนจะดึงชุดนอนที่เป็นปราการขวางกั้นนั้นออก และคราวนี้ไม่มีทีท่าว่าเหตุการณ์จะยุติลงง่ายๆจนกว่าจะเสร็จสิ้น