ตอนที่ 2
Chapter 2
ความเจ็บปวดทั่วทั้งร่างกายปลุกชายหนุ่มวัยยี่สิบให้ตื่นขึ้นมา ดวงตาคมค่อยๆ ลืมขึ้นมาช้าๆ ก่อนจะพบกับผู้เป็นพี่สาวที่หลับอยู่ข้างกาย
“โอ๊ย” เพียงขยับร่างกายเล็กน้อย เขาก็รู้สึกราวกับว่ากระดูกจะหักเสียอย่างนั้น
“ตื่นแล้วหรอยอเร” ลัลลามีนรีบกุลีกุจอลุกขึ้นมาดูอาการของน้องชาย
“นี่ผมยังไม่ตายใช่ไหม” การมีชีวิตอยู่ในวันนี้ถือเป็นเรื่องประหลาดพอสมควร เมื่อคืนตอนที่เขากำลังเจอของล้ำค่าอยู่ภายในห้อง ยังไม่ทันจะได้หยิบ เขาก็โดนรุมกระทืบเสียก่อน
“ก็ยังน่ะสิ”
“เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นอ่ะพี่ลามีน ทำไมเราสองคนถึงได้กลับมาบ้านได้”
“ไม่มีอะไรหรอก คุณเซตัลคงสงสารแกกับฉันมั้ง”
“อะไรนะ เมื่อคืนพี่เจอคุณเซตัลด้วยหรอ แล้วเขาทำอะไรพี่รึป่าว” ยอเรจับผู้เป็นพี่หมุนไปมาด้วยความเป็นห่วง
“ห่วงตัวแกก่อนเถอะ ไหนบอกว่ารู้ทางหนีดีไง สภาพดูไม่ได้แล้วเนี่ย”
“ก็ใครจะรู้ว่าพวกมันจะกลับมาเร็วแบบนี้ล่ะ ถ้ารู้นะผมไม่พลาดหรอก”
“พวกนั้นบอกว่าการิมไม่ใช่พวกของบุหลันขาว แต่เป็นพวกของบุหลันดำ” ลัลลามีนเอ่ยบอกถึงสิ่งที่เธอได้ยินมาเมื่อคืน
“จริงหรอพี่”
“พี่ก็ไม่รู้ แต่เห็นพวกนั้นพูดว่าอย่างนั้น”
“พวกบุหลันขาวกับบุหลันดำเนี่ย เป็นศัตรูกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร น่าแปลกใจจังที่การิมมันมีโอกาสไปอยู่กับพวกบุหลันดำ”
“น่าแปลกใจตรงไหน พูดอย่างกับว่าการิมจะต้องตายอย่างนั้นแหละ” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยความสงสัย แค่เปลี่ยนพรรคพวก มันเรื่องใหญ่มากขนาดนั้นเชียวหรือ
“ที่เราสองคนได้กลับมานั่งอยู่ตรงนี้ผมยังแปลกใจเลย”
“อะไรของแก”
“พี่ลามีนรู้ไหม พวกตระกูลบุหลันเนี่ย ไม่มีใครอยากมีเรื่องด้วยหรอก พวกบุหลันขาว พวกเนี้ยเหมือนจะเป็นคนดี แต่ก็โหดร้ายพอๆ กับพวกบุหลันดำนั่นแหละ”
“ขนาดนั้นเลยหรอ”
“ผมถึงแปลกใจไง ว่าพี่กับผมรอดเมื่อคืนมาได้ยังไง” ยอเรว่าพลางทายาไปที่รอยฟกช้ำรอบตัว
“แล้วพวกบุหลันดำล่ะ เป็นยังไง”
“นี่พี่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยรึไง พวกบุหลันดำน่ะ น่ากลัวซะยิ่งกว่าพวกบุหลันขาวอีก พวกนี้ไม่ฟังเหตุผล ชอบใช้กำลัง ฆ่าคนตายเป็นว่าเล่น พี่อย่าไปมีเรื่องกับพวกนี้เชียวนะ”
“งั้นแสดงว่าการิมต้องมีคนคอยหนุนหลังอยู่หรอ”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่มันก็โกงเงินเราไปแล้ว ถ้าตอนนี้มันเป็นพวกของบุหลันดำจริง ผมว่าเราคงไม่มีโอกาสได้เงินคืนแน่ๆ” พอได้ฟังสิ่งที่ยอเรพูด ลัลลามีนก็เริ่มกุมขมับอีกครั้ง เธอจะหาเงินเป็นแสนไปคืนเจ้าหนี้ของเธอได้ยังไงกัน
“พี่ไม่ต้องห่วงนะ ผมจะทำงานหาเงินมาคืนให้เอง” พอเห็นพี่สาวกุมขมับเขาก็อดห่วงไม่ได้ ที่เรื่องเป็นแบบนี้ก็เพราะเขาทั้งนั้น
“เอาเถอะ ตอนนี้คงแก้อะไรไม่ได้แล้ว” เธอว่าพลางหยัดกายลุกขึ้นยืน ถ้ามัวแต่อยู่เฉยๆ เงินก็ไม่เพิ่มขึ้นมาแน่นอน
“พี่จะไปทำงานแล้วหรอ” หญิงสาวพยักหน้ารับก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง ตอนนี้เธอยังเรียนไม่จบ เหลือเวลาอีกเพียงปีเดียวเท่านั้น แต่กว่าจะผ่านปีไปได้ เธอต้องทำทั้งงานพาร์ทไทม์ ทั้งอ่านหนังสือ ถือว่าไม่ง่ายเลยสักนิด ยอเรเองก็เช่นกัน ลำพังหาเงินกินเงินใช้ยังยาก นี่ต้องหาเงินมาจ่ายค่าเทอมอีกต่างหาก
ยอเรมองพี่สาวที่เดินคอตกเข้าห้อง เขามักจะหาเรื่องมาให้พี่สาวลำบากใจอยู่บ่อยครั้ง ถ้าหากเขาเก่งกว่านี้อีกสักหน่อย ก็คงไม่ต้องลำบากกันขนาดนี้ ชายหนุ่มหยิบเสื้อฮู้ดข้างกายขึ้นมาใส่ ก่อนจะเดินออกมาจากบ้านเงียบๆ เงินตั้งหนึ่งแสน จะให้หามาคืนเจ้าหนี้ง่ายๆ ก็คงยาก เขาเองก็ยังคิดไม่ตกว่าจะหาเงินจากทางไหนมาใช้หนี้ ลำพังงานพาร์ทไทม์ที่ทำ เงินเดือนก็เพียงน้อยนิดจนแทบไม่พอกินพอใช้ ไหนจะค่าเทอมอีก แค่คิดเขาก็ปวดหัวรอแล้ว
ยอเรทิ้งตัวนั่งลงยังเก้าอี้ข้างทาง เขามองไปรอบๆ กายอย่างเหม่อลอย แต่แล้วร่างของใครบางคนที่กำลังทำลับๆ ล่อๆ อยู่ข้างตึกฝั่งตรงข้ามก็เรียกสติของเขากลับคืนมา
“การิม” ชายหนุ่มไม่รอช้า คนที่โกงเงินเขาอยู่ห่างไม่ถึงร้อยเมตรแล้ว จะให้เขาปล่อยไปได้ง่ายๆ ได้อย่างไร เท้าหนาออกวิ่งทันที ยังไงเขาก็ต้องจัดการการิมให้ได้ ยอเรวิ่งข้ามถนนมาอย่างรวดเร็ว แต่ดูเหมือนว่าการิมจะเห็นเข้าเสียแล้ว
“ยอเร” การิมเอ่ยเรียกชื่อเขาด้วยความตกใจ ก่อนจะวิ่งหนีชายหนุ่มไป
“หยุดนะการิม!!” มีหรือที่เขาจะยอมแพ้ เขาเป็นนักวิ่งเหรียญทองมาก่อน ให้วิ่งตามจับการิมแค่นี้เป็นเรื่องหมูๆ เท่านั้นแหละ
“อย่าตามมานะโว้ย” การิมตะโกนกลับก่อนจะวิ่งไม่คิดชีวิต ยอเรยังคงวิ่งตามไม่หยุด การิมตัดสินใจวิ่งข้ามถนนไปอีกฟากฝั่ง ยอเรเองก็เช่นกัน แต่โชคกลับไม่เข้าข้างเขาเสียเท่าไหร่ ไฟเขียวที่เป็นสัญญาณให้ข้ามถนนกลับแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง รถที่จอดอยู่เริ่มออกตัวกันอย่างเร่งรีบ
ปริ๊น ๆ ๆ เสียงบีบแตรดังขึ้นจ้าละหวั่น ยอเรที่กำลังวิ่งอย่างเร่งรีบหันไปมองข้างกาย ก่อนจะพบกับรถสปอร์ตสีดำกำลังพุ่งตรงมาทางเขาอย่างรวดเร็ว
ปริ๊นนนนน!!! เสียงแตรดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ร่างของยอเรหยุดนิ่งพลางเบิกตาโพลง รถคันหรูสีดำเบรกดังลั่นท้องถนน เพียงเสี้ยววินาทีรถก็หยุดนิ่ง ซึ่งห่างจากร่างของชายหนุ่มเพียงแค่คืบ ยอเรอ้าปากค้างด้วยความตกใจ ก่อนจะทรุดลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
“ทำบ้าอะไรวะ อยากตายรึไง” ร่างสูงของชายหนุ่มอีกคนเดินลงมาจากรถด้วยความโมโห เขาตรงมาหาร่างของยอเรก่อนกระชากคอเสื้อเขาอย่างแรง ใบหน้าดุๆ ของชายผู้นั้นจ้องมองเขาด้วยความไม่พอใจ
“ผม...” ความตกใจเมื่อครู่ยังคงไม่หายไปไหน น้ำเสียงของชายหนุ่มตรงหน้าเริ่มพร่าเลือน สายตาของยอเรเพิ่มพร่ามัวไปทุกขณะ ก่อนจะดับลงในที่สุด
“เฮ้ย บ้าอะไรวะเนี่ย” ชายอีกคนพึมพำอย่างหัวเสีย เขามองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยคิ้วขมวดปม ใบหน้าของชายไร้สติเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ ยิ่งผิวขาวๆ นั่น ยิ่งทำให้เห็นรอยอย่างชัดเจน
“ไปฟัดกับหมาที่ไหนมาวะ” มือหนาค่อยๆ ช้อนร่างของยอเรไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะพาเขาไปนั่งข้างคนขับ เพียงครู่เดียวเขาก็บึ่งรถออกไปด้วยความรวดเร็ว เขาอยากจะทิ้งไว้ตรงนี้เหมือนกัน แต่แบบนั้นคงจะดูใจร้ายไปหน่อย เอาไว้ฟื้นขึ้นมา คงต้องคุยกันยาว
.................................................
มือบางจับผ้าเช็ดโต๊ะเอาไว้ ก่อนจะถูมันไปยังคราบสกปรกที่อยู่บนโต๊ะ เสียงจอแจภายในร้านดังขึ้นจนไม่สามารถจับใจความได้ เมื่อโต๊ะสะอาดหมดจดเธอก็เข็นรถไปยังโต๊ะอีกตัว ก่อนจะเริ่มเก็บจานชามบนโต๊ะใส่ถังบนรถเข็นที่อยู่ไม่ห่าง
“นี่ลัลลามีนเมื่อวานหายไปไหนมา ทำไมไม่เห็นมาทำงาน” เสียงของพะพายดังขึ้นก่อนที่เธอจะชะโงกหน้ามาตรงหน้าของเธอ
“มีเรื่องนิดหน่อยอ่ะ” หญิงสาวตอบพลางเริ่มเช็ดโต๊ะอีกครั้ง
“เรื่องอะไร แล้วทำไมไม่ส่งข้อความมาบอกฉันบ้าง”
“มันกะทันหันอ่ะ ขอโทษทีนะ” เธอหันไปทำหน้าเศร้ากับผู้เป็นเพื่อน
“อย่าหายไปแบบนี้อีกนะ แกก็รู้ว่าเจ้าของร้านนี้เคี่ยวขนาดไหน ฉันหาข้อแก้ตัวให้แกไม่ทัน” พะพายทำหน้าบึ้งก่อนจะจัดเก้าอี้ให้เข้าที่
“เดี๋ยวฉันเลี้ยงข้าวแกเป็นการตอบแทนละกัน” ใบหน้าบึ้งตึงของพะพายแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มสดใสขึ้นมาเสียทันทีเมื่อได้ฟังสิ่งที่ลัลลามีนพูด
“แกพูดแล้วนะ”
“อือ ไว้เลิกงานละกัน ฉันมีเรื่องจะปรึกษาแกด้วย”
“ปรึกษาเรื่องอะไรอ่ะ” พะพายถามพลางทำหน้าอยากรู้อยากเห็น
“ทำงานก่อนเถอะ ขืนแกกับฉันคุยกันมากกว่านี้ ได้โดนไล่ออกแน่” ทั้งสองคนต่างหันไปมองหญิงอายุราวสี่สิบต้นๆ ที่กำลังมองพวกเธอสองคนราวกับจะกลืนกินด้วยความโกรธ สองสาวยิ้มเจื่อนๆ ออกมาก่อนจะแยกย้ายกันไปคนละทาง เจ้าของร้านอาหารที่เธอทำงานอยู่ดุเสียยิ่งกว่าเสือเสียอีก แต่เพราะที่นี่เงินดีกว่าที่ไหนๆ พวกเธอก็เลยต้องอดทนทำมันต่อไปอย่างเลี่ยงไม่ได้นั่นเอง
ตะวันเริ่มตกดิน อาหารสามสี่อย่างถูกวางบนโต๊ะ ลัลลามีนและพาพายลงมือรับประทานอย่างหิวโหย
“งานก็หนัก เรียนก็หนัก ฉันอยากจะเรียนให้มันจบๆ สักที” พะพายบ่นพลางตักเนื้อหมูเข้าปาก
“เอาน่าอีกแค่ปีเดียว เดี๋ยวทุกอย่างก็คงดีขึ้นเองนั่นแหละ”
“ว่าแต่ แกมีเรื่องอะไรจะปรึกษาฉันหรอ” ลัลลามีนวางช้อนลงก่อนจะกระดกน้ำเข้าไปอึกใหญ่
“แกพอจะรู้เรื่องขอองพวกบุหลันไหม”
“อือ ก็พอรู้นะ แกถามทำไมอ่ะ” พะพายมองหน้าผู้เป็นเพื่อน ร้อยวันพันปีลัลลามีนไม่เคยสนใจเรื่องแบบนี้เลย แต่จู่ๆ กลับมาถามเธอเสียได้
“ฉันก็แค่อยากรู้อ่ะ ไม่มีอะไรหรอก”
“อย่าบอกนะว่าแกไปมีเรื่องกับพวกบุหลันอ่ะ” หญิงสาวอึกอักเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหัวไปมา
“ป่าวซะหน่อย ฉันก็แค่อยากรู้ เห็นยอเรพูดถึงบ่อยๆ”
“พวกบุหลันเนี่ยแกห้ามไปยุ่งเด็ดขาดเลยนะ ไม่ว่าจะเป็นบุหลันขาวหรือบุหลันดำก็ตาม”
“ทำไมอ่ะ”
“พวกบุหลันเนี่ยอันตรายมาก โดยเฉพาะบุหลันขาว พวกนี้นะเหมือนจะเป็นคนดี แต่ก็ไม่ได้ดีอย่างที่คิดหรอก”
“ยังไงอ่ะ เหมือนจะดีแต่ไม่ดี” หญิงสาวตักข้าวเข้าปากพลางเอียงคอสงสัย
“พวกบุหลันขาวเนี่ยฉลาดเป็นกรด เจ้าเล่ห์อีกต่างหาก โดยเฉพาะเซตัล คนนั้นนะโหดร้ายยิ่งกว่าเสือซะอีก เห็นนิ่งๆ ขรึมๆ แต่เจ้าแผนการ แถมยังเย็นชาจนน่ากลัว” ร่างเล็กกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก นี่เธอกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย
“ขนาดนั้นเลยหรอ”
“ยิ่งกว่านั้นซะอีก เขาน่ะเป็นทายาทคนต่อไปของบุหลันขาว ทั้งบุหลันขาวและบุหลันดำจะมีของประจำตระกูลที่ต้องดูแล นอกจากจะต้องดูแลแล้ว ยังต้องคอยปกป้องไม่ให้ใครมาขโมยไปอีก”
“โห แสดงว่าของนั้นมันต้องมีค่ามากแน่ๆ”
“ก็แน่สิ สืบทอดมาตั้งหลายปี”
“แล้วมีแค่บุหลันขาวกับบุหลันดำหรอ”
“ที่ฉันรู้ก็มีแค่นี้นะ หรือมีมากกว่านี้ฉันเองก็ไม่แน่ใจอ่ะ”
“แล้วพี่น้องคนอื่นๆ ในบุหลันขาวล่ะ”
“คนอื่นๆ ฉันก็ไม่ค่อยรู้อ่ะ แต่คงจะน่ากลัวน้อยกว่าเซตัลล่ะมั้ง”
“แล้วพวกบุหลันดำล่ะ” พะพายมองหน้าลัลลามีนพลางวางช้อนลง
“บุหลันดำเนี่ย เป็นพวกชอบใช้กำลัง ไม่เจ้าเล่ห์เท่าไหร่หรอก เพราะเวลาไม่พอใจก็ทำให้รู้เลยว่าไม่พอใจ พวกนี้ฆ่าคนเป็นผักเป็นปลา อย่าไปยุ่งเชียวล่ะ”
“แล้วตำรวจไม่ทำอะไรเลยรึไง”
“แกก็รู้ตำรวจประเทศเรามันเฮงซวยแค่ไหน เผลอๆ โดนฆ่าเองด้วยซ้ำ” ยิ่งฟังหญิงสาวก็ยิ่งเครียด แบบนี้เงินหนึ่งแสนของเธอก็คงหายเข้ากลีบเมฆไปแน่ๆ
“แกไม่ได้ไปมีเรื่องกับพวกบุหลันใช่ไหม”
“ไม่มี” ลัลลามีนปฏิเสธเสียงแข็ง ก่อนจะตักอาหารเข้าไปปากอย่างกล้ำกลืน
“พวกบุหลันขาวกับบุหลันดำไม่ถูกกันหรอก เจอหน้ากันก็แทบจะพ่นไฟใส่กัน”
“ทำไมถึงไม่ถูกกันอ่ะ”
“ฉันก็ไม่รู้อ่ะ ไว้ฉันรู้ฉันจะมาเล่าให้ฟังก็ละกัน” พะพายตอบกลับก่อนจะเคี้ยวอาหารตุ้ยๆ เสียดายเงินที่โกงไปก็เสียดาย แต่เธอก็กลัวตายเหมือนกัน แต่ละคนดูน่ากลัวจนเธอไม่อยากจะเข้าไปยุ่ง
“แกแน่ใจนะว่าไม่ได้ไปทำอะไรไว้” พะพายยังคงเค้นหาคำตอบ ปกติลัลลามีนไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้สักนิด
“แน่ใจสิ ฉันจะไปทำอะไรได้” หญิงสาวรีบตักข้าวเข้าปาก ขืนพูดไปมากกว่านี้พะพายต้องจับพิรุธได้แน่ๆ
เวลาผ่านไปราวยี่สิบนาที อาหารในจานถูกตักเข้าปากจนหมด ลัลลามีนจัดการค่าอาหารก่อนจะเดินกลับมาที่โต๊ะ
“ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ” พะพายเอ่ยบอกพร้อมโบกมือลา
“อือ” ร่างเล็กโบกมือลาตอบก่อนจะเดินแยกมาอีกทาง ลัลลามีนเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกที เธอก็มาอยู่ที่หน้าโรงแรมเซติแกรนด์เสียแล้ว เธอหยุดยืนพลางมองเข้าไปด้านใน ภาพกระบอกปืนที่จ่อมาทางเธอยังติดตาเธออยู่เลย
“พวกคนรวยนี่ชีวิตดีจังเลยแฮะ” ผู้คนมากมายที่อยู่ในโรงแรมต่างดูพูดคุยกันอย่างออกรส เธอมองผู้คนในนั้นด้วยแววตาละห้อย ราคาอาหารในโรงแรมหนึ่งมื้อคงเท่ากับเงินเดือนเธอทั้งเดือนได้กระมัง หญิงสาวถอนหายใจออกมา ก่อนจะออกเดินอีกครั้ง เธอสร้างเรื่องไว้ที่นี่ ให้เข้าไปอีกเจ้าของโรงแรมคงไล่ตะเพิดเธอออกมาแน่
..........................................................
“ผู้หญิงคนนั้นมาทำท่าทางไม่น่าไว้วางใจที่โรงแรมเราอีกแล้วนะครับคุณเซตัล” นิเกิลรายงานผู้เป็นนายก่อนจะยื่นภาพจากกล้องวงจรปิดให้ดู
“ก็แค่ผู้หญิงคนเดียว”
“ทำไมคุณเซตัลถึงยอมปล่อยเธอกับน้องไปง่ายๆ แบบนั้นล่ะครับ”
“ฉันไม่ได้ปล่อยสักหน่อย”
“....”
“หลังจากนี้จับตาดูผู้หญิงคนนี้ไว้ให้ดี” เซตัลบอกเสียงเข้ม ที่เขาปล่อยหญิงสาวไปเมื่อวาน ไม่ใช่เพราะว่าสงสารหรืออะไรทั้งนั้น แต่หญิงสาวคนนั้นกลับมีสิ่งของบางอย่างที่เขากำลังตามหาอยู่
“เกิดอะไรขึ้นหรอครับ”
“ฉันแค่อยากรู้อะไรจากผู้หญิงคนนั้นสักหน่อย” ชายหนุ่มหยิบรูปถ่ายใบเก่าๆ ขึ้นมาดู ภาพของสร้อยจี้พระจันทร์ครึ่งเสี้ยวสีมรกต ที่วางคู่อยู่กับพระจันทร์เต็มดวงสีมรกต มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น ที่รู้ว่าบุหลันมรกตเอง ก็มีแบบครึ่งเสี้ยวเหมือนกัน และตอนนี้หญิงสาวคนนั้น ก็มีของสิ่งนี้อยู่.....