๑ เพื่อนข้างบ้านที่คุ้นเคย (๒)
คุยกันสองสามประโยคค่อยวางสาย ก่อนได้ยินเสียงรถคันใหญ่มาจอดข้างบ้าน ชะเง้อคอมองผ่านหน้าต่างที่ยังไม่ปิดม่านเห็นว่าเริ่มขนของเข้าอยู่หลังจากบ้านร้างไปนาน
ข้างบ้านของหล่อนเคยมีคุณป้ากับหลานสาวอาศัยตามลำพัง แต่คนเป็นหลานได้ทุนไปเรียนต่างประเทศ ปล่อยให้ป้าอยู่คนเดียวจนท่านเหงาจึงชอบมาคุยเล่นกับหล่อนบ่อยครั้ง แต่เมื่อไม่กี่เดือนก่อนคนเป็นหลานก็กลับมาพร้อมข่าวดีคือการแต่งงานกับชายต่างชาติ จึงอยากพาป้าไปอยู่ด้วยกัน
ท่านประกาศขายบ้านนานหลายเดือนก็ยังไม่มีคนติดต่อมาสักที สงสัยคงขายได้แล้ว...
เธอกำลังจะมีเพื่อนบ้านอย่างนั้นเหรอ
“ขอให้คุณเพื่อนบ้านเป็นคนดี ไม่ทำเสียงดัง ไม่ขี้โวยวายด้วยเถอะ” ยกมือขึ้นขอความเมตตาจากใครหล่อนก็ไม่ได้เอ่ยนาม อาจเป็นพระภูมิเจ้าที่ก็ได้
เลศยาใช้เวลาว่างด้วยการดูภาพยนตร์หลายเรื่องจนจบในระยะเวลาเพียงแค่คืนเดียว ขอบตาคล้ำจากการไม่ได้นอน จนหล่อนต้องลากสังขารตัวเองขึ้นไปนอนชั้นบน พร้อมปิดม่านสนิทให้เหมือนช่วงเวลากลางคืน
หลับลึกจนไม่ได้ยินเสียงคนเรียกหน้าบ้าน
“คุณครับ! คุณ! ผมเอากับข้าวมาฝาก คุณครับ!” ชายหนุ่มที่เพิ่งย้ายบ้านได้คุยกับเจ้าของบ้านคนเดิม ท่านบอกว่าข้างบ้านฝั่งซ้ายของเขามีหญิงสาวคนหนึ่งอาศัยอยู่ ควรผูกมิตรเอาไว้เพราะอย่างน้อยอาจจะช่วยดูแลลูกสาววัยหกขวบของตนได้
เขาจึงไม่รอช้าที่จะมาผูกมิตร แต่การทำอาหารไม่ใช่ทางของตนสักเท่าไหร่ จึงไปตลาดและซื้อกับข้าวเพื่อมาทำความรู้จัก รถยนต์ของเธอยังอยู่ รองเท้าก็วางเรียง แถมประตูบ้านก็ไม่มีกุญแจล็อค เธอน่าจะอยู่ในบ้านแล้วทำไมถึงไม่ออกมา
ไม่อยากรู้จักกันหรือเปล่า...
“พ่อ หนูจะไปโรงเรียนสายแล้วนะ” หันไปมองลูกสาวที่ยืนหน้างอเป็นจวัก ก่อนหันกลับมามองบ้านที่เงียบสนิท
ช่วยไม่ได้ล่ะนะ เอาไว้ตอนเย็นค่อยมาผูกมิตรก็แล้วกัน
แต่เขาจะเลิกกี่โมง...นี่สิที่น่าห่วง
“ไปแล้วลูก” จำต้องหอบหิ้วกับข้าวที่คิดจะนำมาฝากหล่อนขึ้นมาบนรถด้วย เอาไว้กินเป็นข้าวเที่ยงก็แล้วกัน
ลูกสาวตัวน้อยดูท่าจะงอแงแล้ว เพิ่งย้ายมาวันแรกไม่อยากให้ลูกไปสาย จึงต้องรีบบึ่งไปที่โรงเรียนเอกชนชื่อดังที่ค่าเทอมแพงหูฉี่ แต่ต้องยอมแลกเพื่ออนาคตที่ดีของเด็กหญิง ถึงลูกเขาจะแก่นแก้วและดูท่าจะรู้ความมากกว่าเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันก็ตาม
ย้ายมาทำงานที่บริษัทสาขาใหญ่ ภาระก็เพิ่มมากขึ้นจนนึกกังวลเรื่องบุตรสาว คิดจะฝากฝังให้คนข้างบ้านช่วยดูแล แต่เธอก็ไม่โผล่มาทักทายด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ช่างเถอะ ตอนนี้ต้องรีบฝ่าจราจรติดขัดเพื่อไปเข้างานให้ตรงเวลาก็พอ!
ตื่นอีกทีก็เป็นช่วงเย็นของวันแล้ว เธอลุกนั่งบนเตียงพลางบิดขี้เกียจไล่ความเมื่อยล้าเมื่อนอนนานเกินไป ทุกครั้งที่ปิดต้นฉบับหล่อนจะเป็นแบบนี้เสมอ ทำทุกสิ่งที่อยากทำจนตารางชีวิตรวนไปหนึ่งถึงสองวันแล้วค่อยกลับมาเป็นปกติ
ขาเรียววาดลงจากเตียงแล้วค่อยหยัดกายลุกยืน เดินไปห้องน้ำเพื่อชำระร่างกาย สวมเสื้อผ้าใส่สบายอยู่บ้าน มัดผมให้เรียบร้อยก่อนเดินลงไปข้างล่างเพื่อทำอาหารกิน
รวบมื้อเช้าและเที่ยงมากินตอนเย็นทีเดียว ถือเป็นการประหยัดไปในตัว
ถ้ายายรู้คงเอ็ดเธอเป็นแน่ว่ากินไม่ตรงเวลาจะทำให้เป็นโรคกระเพาะ แต่ใครสนกันล่ะตอนนี้ท่านไม่อยู่บ่นเธอสักหน่อย
“มีคนอยู่ไหมคะ อยู่หรือเปล่า!” เสียงเรียกหน้าบ้านทำให้หล่อนต้องปิดเตาแก๊สแล้วเปิดม่านจากห้องครัวเพื่อดูว่าใครมา เด็กที่ไหนร้องเรียกเธอเวลานี้
อาจเพราะไม่ได้ใส่แว่นจึงมองเห็นหน้าอีกฝ่ายไม่ชัด ร่างบางเดินมาที่ห้องรับแขกแล้วสวมแว่นก่อนเดินออกไปต้อนรับแขกตัวน้อย แต่ยิ่งใกล้ถึงรั้วบ้านมากเท่าไหร่ หัวใจก็เต้นพองโตมากขึ้นเท่านั้น พอเปิดรั้วเพื่อออกมาประชันหน้ากับเด็กหญิงก็ตกตะลึงมากกว่าเดิม
หลานของเธอที่เป็นลูกเพื่อนสนิทนั่นเอง!
“น้องญาดา ทำไมหนูมาอยู่ที่นี่คะ”
“หือ น้ารู้จักหนูด้วยเหรอ”
ย่อกายนั่งลงตรงหน้าคนตัวเล็กกว่าเพื่อให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกัน เธอยิ้มกว้างดีใจที่ได้เจอหลานเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี เห็นผ่านภาพที่เพื่อนส่งให้ดูหลายปีก่อน จำแววตาใส่ซื่อได้ชัดเจน โตขึ้นมาหน่อยหน้าตาก็ยังไม่เปลี่ยน
สวยเหมือนแม่ไม่มีผิด