บทที่ 4 ความหลังที่แสนเจ็บปวด
"อ๊ะ! อืม จะเจ็บ!" หม่าลู่เหยาดิ้นพล่าน มือกำผ้าปูที่นอนสีแดงไว้แน่น ดวงหน้างามเหยเกบ่งบอกถึงความเจ็บ นางรู้ว่าครั้งแรกของสตรีจะรู้สึกเจ็บแต่ไม่นึกว่าจะเจ็บราวกับว่าร่างกายจะขาดออกเป็นเสี่ยงๆ เช่นนี้
"อ่าา" เผิงจิ้งเสียนก็รู้สึกเจ็บไม่ต่างจากนาง ร่องรักคับแน่นรัดตัวตนของเขาจนแทบขยับไปไหนไม่ได้ แต่ถ้าหากปล่อยไว้นานก็คงไปได้ไม่ถึงฝั่งฝัน เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาจึงตัดสินใจกดสะโพกเข้าไปในช่องทางรักอีกครั้ง จนกระทั่งสัมผัสได้ถึงเยื่อบางๆ ที่ขวางกั้นเอาไว้ เขาก็ไม่รอช้ากดสะโพกลงหนักๆ ไปในครั้งเดียว
"ฮืออออ ไม่เอาแล้ว! เจ็บเหลือเกิน" มือบางพยายามผลักไสคนบนร่างออกให้พ้นกาย แต่ยิ่งออกแรงผลักเขาก็ยิ่งกอดรัดนางแน่นขึ้นกว่าเดิม มือหนาฟอนเฟ้นทรวงอกนุ่มหยุ่น และใช้ลิ้นสร้างความเสียวซ่านให้กับยอดถันงาม
เผิงจิ้งเสียนแช่ตัวตนอยู่ในช่องทางรักสักพักใหญ่ก็เริ่มรู้สึกว่าหม่าลู่เหยาผ่อนคลายลงไปมากแล้ว จึงค่อยๆ ขยับสะโพกเนิบช้าไปมา หม่าลู่เหยาที่นอนน้ำตาไหลพรากร้องไห้กระซิกๆ ด้วยความเจ็บในคราแรกก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมอง ความเจ็บที่มีมลายหายไปจนหมดสิ้นแล้วแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกเสียวซ่านเข้ามาแทนที่
"ท่านแม่ทัพ ขอแรงกว่านี้ได้หรือไม่"
เผิงจิ้นเสียนได้ยินวาจาของนางก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยความฉงน เมื่อครู่ยังร้องไห้ราวกับจะเป็นจะตายแต่ตอนนี้กลับมาบอกให้เขาทำแรงๆ เสียอย่างนั้น
หม่าลู่เหยาส่งเสียงในลำคอด้วยความขัดใจเมื่อเห็นว่าเขายังขยับสะโพกด้วยจังหวะเนิบช้าเช่นเดิม สุดท้ายทนไม่ไหวก็หยัดกายลุกขึ้นเล็กน้อยเอื้อมมือไปบีบสะโพกหนั่นแน่นที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อและจับยึดมันเอาไว้แน่น จากนั้นก็จับมันกระแทกเข้ามาในบุปผางามแรงๆ หนหนึ่ง
"อ่ะ!" เผิงจิ้งเสียนหลับตาร้องครวญครางด้วยความกระสัน จัดการผลักคนตัวเล็กให้นอนลงไปอีกครั้ง และจับขาเรียวเสลามาแนบเอวสอบของตนเอาไว้
ตั่บๆๆๆ
เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังลั่นห้อง เผิงจิ้งเสียนมองไปยังคนใต้ร่างที่นอนหลับตาพริ้มกัดริมฝีปากอย่างยั่วยวนด้วยอารมณ์ปรารถนา พร้อมโถมกายเข้าหานางอย่างบ้าคลั่ง เขาครางออกมาเป็นครั้งสุดท้ายพร้อมกับลมหายใจหอบกระเส่า และกดแช่กายเอาไว้ภายในปลดปล่อยลาวาอุ่นๆ พรั่งพรูในเรือนกายสาวสวนทางกับน้ำหวานสีใสแห่งความสุขสมที่หม่าลู่เหยาได้ปลดปล่อยออกมา
เผิงจิ้งเสียนก้มหน้าลงซุกซบอกอวบของนางจนกระทั่งลมหายใจกลับมาเป็นปกติ เขาก็พลิกกายนอนหันหลังให้กับนาง
"ออกไป"
"หืม?"
"ข้าบอกให้ออกไป!" เสียงแหบห้าวดังขึ้นอีกหนและดูเหมือนว่ามันจะดังมากกว่าครั้งแรก หม่าลู่เหยามองแผ่นหลังกว้างของเขาอย่างโมโหนิดๆ
'หลังจากปรนนิบัติท่านแม่ทัพเสร็จแล้วก็กลับเรือนของตนเสีย อย่าได้ร่วมเตียงกับท่านแม่ทัพเด็ดขาด'
หม่าลู่เหยานึกถึงคำที่ป้าฉีบอกเอาไว้ จากนั้นจึงหยัดกายลุกขึ้นเดินไปเก็บอาภรณ์ของตนที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นขึ้นมาสวมใส่ หลังจากสวมเสื้อคลุมตัวยาวกรอมเท้ากลับคืนแล้วก็ค่อยๆ เดินออกไปจากห้อง
ทุกย่างก้าวล้วนส่งความรู้สึกเจ็บปวดมาให้ นางเจ็บดอกไม้กลางกายจนแทบจะทนไม่ไหว แต่ก็ต้องกัดฟันข่มความรู้สึกเอาไว้และเดินออกไปจากห้อง โดยไม่รู้ว่าตอนนี้มีสายตาคมกริบกำลังมองคนที่เดินกะเผลกๆออกไปจากห้องด้วยความรู้สึกที่คาดเดาไม่ออก
กว่าที่หม่าลู่เหยาจะประคองตัวเองมาถึงเรือนเล็กหลังจวนได้ เวลาก็ผ่านไปจนเกือบย่ำรุ่งแล้ว นางต้องคอยเดินสลับกับหยุดพักเพราะถูกความเจ็บปวดโจมตี หากเพียงแต่เดินมาถึงหน้าประตูเรือนยังไม่ทันจะได้ผลักประตูเปิด ก็มีคนผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาหา
"คุณหนูของหูปิ่ง" คนที่แทนตัวเองด้วยชื่อ 'หูปิ่ง' วิ่งเข้ามาหาหม่าลู่เหยาด้วยน้ำตาคลอเกลื่อนใบหน้า ก่อนจะใช้มือจับแขนเรียวเสลาของนาง ส่งสายตามองสำรวจไปทั่วทั้งตัว
"โธ่ คุณหนูเจ้าขา เจ็บมากหรือไม่เจ้าคะ" หูปิ่งถามเสียงเจือสะอื้น เมื่อเห็นรอยแดงสีกุหลาบตามตัวของเจ้านายก็ทำให้รู้สึกปวดใจอย่างมาก
"เหตุใดท่านแม่ทัพถึงได้รุนแรงกับคุณหนูถึงเพียงนี้เล่าเจ้าคะ" หูปิ่งถามด้วยความไม่พอใจนัก
"ข้าไม่เป็นอะไร" หม่าลู่เหยาตอบเสียงเบา พลางนึกไปถึงเหตุการณ์เร่าร้อนเมื่อหนึ่งชั่วยามก่อน เผิงจิ้งเสียนไม่ได้รุนแรงกับนางเลยแม้แต่น้อย ทว่าเป็นนางเองนั่นแหละที่บอกให้เขาทำกับนางแรงๆ คิดมาถึงตรงนี้สองแก้มขาวก็เปล่งสีแดงระเรื่อขึ้นมาด้วยความขัดเขิน ก่อนจะรีบส่ายศีรษะไปมาปัดความคิดลามกออกจากสมอง
"เจ้าชื่อหูปิ่งงั้นหรือ"
"หืม? เหตุใดคุณหนูถามเช่นนั้นล่ะเจ้าคะ บ่าวคือหูปิ่งสาวใช้ผู้ติดตามคุณหนูอย่างไรล่ะเจ้าคะ" หูปิ่งถามด้วยความสงสัย ก่อนที่น้ำตาจะค่อยๆไหลรินออกมาอีกหนด้วยความสงสารสุดหัวใจ คุณหนูของนางเจอเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจรุนแรงจนเลอะเลือนไปแล้วเป็นแน่
"เจ้าติดตามข้ามาจากบ้านเก่าหรือ"
"เจ้าค่ะ หลังจากที่เราสองคนโดนหม่าฮูหยินขายให้กับพ่อค้าทาส คุณหนูก็ถูกคุณหนูเจียอีซื้อตัวมา คุณหนูได้ขอร้องให้คุณหนูเจียอีซื้อบ่าวมาด้วยเจ้าค่ะ แต่ก่อนหน้าบ่าวโดนท่านแม่ทัพสั่งขังเพราะคิดว่าบ่าวร่วมมือวางแผนช่วยคุณหนูหนีไป เพิ่งโดนปล่อยตัวมาเมื่อครู่นี้เองเจ้าค่ะ"
หม่าลู่เหยาขานรับดังอ้อ ถ้าหากหูปิ่งติดตามนางมาจากบ้านเก่าเช่นนั้นก็ต้องแสดงว่าหูปิ่งต้องรู้สาเหตุว่าเหตุใดหม่าฮูหยินถึงขายนางให้กับพ่อค้าทาส ทว่ายังไม่ทันจะได้เอ่ยปากถาม หูปิ่งก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน
"เข้าเรือนกันเถอะเจ้าค่ะคุณหนู บ่าวจะเตรียมน้ำอุ่นๆให้แช่เผื่ออาการเจ็บจะได้ดีขึ้น"
หม่าลู่เหยาได้ยินเช่นนั้นก็ผงกศีรษะรับ หลังจากแช่น้ำอุ่นเสร็จเรียบร้อยแล้ว หูปิ่งก็ประคองเจ้านายสาวขึ้นเตียง ทว่ายังไม่ทันได้หลับตาป้าฉีก็เดินเข้ามาเสียก่อน ในมือของนางถือยาถ้วยหนึ่งและยื่นมาให้หม่าลู่เหยา
"กินยานี่เสีย"
หม่าลู่เหยามองยาสีน้ำตาลในถ้วยหนหนึ่งก่อนจะรับมากลืนลงคอจนหมดถ้วย เหตุใดนางจะไม่รู้ว่านี่คือยาห้ามครรภ์ แต่นางไม่ได้รู้สึกเกี่ยงงอนอันใดหรอกนะ เพราะนางไม่ได้คิดที่จะอยู่ที่นี่ตลอดไปอยู่แล้ว ดีเสียอีกนางกับเผิงจิ้งเสียนจะได้ไม่มีพันธะใดผูกมัดในยามที่ต้องแยกจากกันไป
"พักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้เจ้าไม่ต้องไปทำงาน คุณหนูเจียอีอนุญาตให้เจ้าพักได้หนึ่งวัน ส่วนเจ้าหูปิ่งต่อไปนี้ก็มานอนกับคุณหนูของเจ้าที่เรือนเล็ก แต่พรุ่งนี้ก็ไปทำงานตามปกติ" ประโยคหลังป้าฉีหันไปเอ่ยกับหูปิ่ง หลังสั่งการเสร็จสรรพเป็นที่เรียบร้อยก็เดินออกไป
ด้วยความอ่อนเพลียเพราะถูกเผิงจิ้งเสียนเคี่ยวกรำอย่างหนัก หลังจากที่หูปิ่งประคองร่างบางให้นอนลง ทันทีที่หัวถึงหมอนหม่าลู่เหยาก็ผล็อยหลับไปในทันที
เช้าตรู่วันต่อมา เผิงจิ้งเสียนเดินเข้ามาในห้องอาหารแลเห็นน้องสาวนั่งรออยู่ก็ส่งยิ้มทักทายนางบางๆ ก่อนจะทรุดกายนั่งลงฝั่งตรงข้าม หลังจากที่แม่ทัพเผิงโหย่วอันกับเผิงฮูหยินมารดาของเขาสิ้นชีพไปเมื่อสิบห้าปีก่อนจากเหตุการณ์เรือล่ม ยามนั้นราวกับโลกทั้งใบของเผิงจิ้งเสียนในวัยเพียงสิบหนาวและเผิงเจียอีในวัยสองหนาวล่มสลายลง ความรู้สึกในตอนนั้นช่างเคว้งคว้างโดดเดี่ยวเสียจนน่าใจหาย เพราะไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน หากยังดีที่ยังมีแม่ทัพฝ่ายซ้ายเฉิงหยวนเซียว สหายสนิทของบิดาช่วยดูแล จวบจนเขาสามารถตั้งตัวและขึ้นสู่ตำแหน่งแม่ทัพฝ่ายขวาแทนบิดาได้
เพราะมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบตั้งแต่เด็ก ทำให้เผิงจิ้งเสียนมีความเป็นผู้ใหญ่เกินตัว และเป็นคนเก็บความรู้สึกมาแต่ไหนแต่ไร
"ท่านพี่ ท่านพี่เจ้าคะ!" เผิงเจียอีขานชื่อคนเป็นพี่ด้วยน้ำเสียงอันดังทำให้คนที่กำลังคิดอะไรเพลินๆถึงกับหลุดจากภวังค์ เผิงจิ้งเสียนเงยหน้าขึ้นเอ่ยถามเจ้าของเสียง
"ว่าอย่างไรหรือ"
"ท่านพี่เป็นอะไรไปเจ้าคะ เหตุใดถึงนั่งเหม่อลอยเช่นนั้น"
"เปล่าหรอก พี่กำลังคิดเรื่องงานไปเรื่อยเท่านั้น"
"ท่านพี่หมายถึงเรื่องขององค์หญิงซ่งหยวนปินหรือเพคะ"
เผิงจิ้งเสียนผงกศีรษะรับ ยามเอ่ยถึงชื่อของบุคคลที่สูญหายทำให้ใบหน้าเฉยชาไร้ความรู้สึกแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
"องค์หญิงหายไปนานเป็นสิบปีแล้ว ข้าคิดว่านางคงไม่ เอ่อ... ไม่น่าจะมีพระชนม์ชีพอยู่แล้วนะเจ้าคะ" ท้ายประโยคเผิงเจียอีเอ่ยเสียงเบา ใครๆต่างก็คิดเช่นเดียวกับนาง หากแต่ซ่งฮ่องเต้กลับไม่คิดเช่นนั้น พระองค์ยังมีความหวังเต็มเปี่ยมว่าพระธิดาของพระองค์ยังมีชีวิตอยู่
"ไม่หรอก องค์หญิงทรงยังมีพระชนม์ชีพอยู่แต่จะอยู่แห่งใดก็เท่านั้นเอง" เผิงจิ้งเสียนเอ่ยพึมพำ ทว่าความมั่นใจกลับเต็มเปี่ยม เขาช่วยซ่งฮ่องเต้ตามสืบเรื่องขององค์หญิงหยวนปินมาหลายปี พบว่ามีความเป็นไปได้เป็นอย่างมากที่นางจะยังมีชีวิตอยู่
"หากวันนั้นท่านพ่อกับท่านแม่ไม่ตามเสด็จเหอกุ้ยเฟย ป่านนี้พวกท่านทั้งสองก็คงยังอยู่กับเรามาจนถึงตอนนี้" เผิงเจียอีน้ำตารื้น เพราะเหตุการณ์เรือล่มในวันนั้นทำให้นางสูญเสียบิดาและมารดาอย่างกะทันหัน ยากที่จะทำใจได้
เผิงจิ้งเสียนเห็นท่าทางโศกเศร้าของน้องสาวก็เอื้อมไปกุมมือของนางเอาไว้
"พวกเราไม่ได้สูญเสียแค่ฝ่ายเดียวหรอก" เขากล่าวพลางนึกไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้น เพราะนอกจากบุพการีของเขาแล้ว สายน้ำยังพรากชีวิตของเหอกุ้ยเฟยไปอีกด้วย และยังพัดพาองค์หญิงหยวนปินในวัยเพียงสองหนาวหายไปกับกระแสน้ำซึ่งเรื่องนี้สร้างความโศกเศร้าให้กับซ่งฮ่องเต้และพสกนิกรแคว้นซ่งเป็นอย่างมาก