บทที่ 1
สี่ปีต่อมา
“ณัฐแน่ใจนะว่าจะทำได้”
สารวัตรอัสนีเอ่ยถามร้อยตำรวจตรีณัฐกานต์ผู้ใต้บังคับบัญชา ด้วยความเป็นห่วง งานชิ้นนี้เป็นงานใหญ่ ต้องถามความสมัครใจของผู้ร่วมงานก่อนว่ามีความพร้อมมากน้อยแค่ไหน เนื่องจากอาจต้องใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน แต่ไม่ใช่เรื่องนี้เท่านั้นที่อัสนีเป็นห่วง ยังมีเรื่องอื่นอีกที่เขาเป็นห่วงมากกว่าเรื่องนี้หลายร้อยเท่า
“แน่ใจค่ะพี่เพชร ณัฐแยกออก ระหว่างงานกับเรื่องส่วนตัว”
เธอตอบด้วยเสียงแน่วแน่ มีความมั่นใจแฝงอยู่เต็มเปี่ยม ความแข็งแกร่งจากการฝึกฝนอย่างหนัก เพื่อให้ได้มาซึ่งยศร้อยตำรวจตรีหรือผู้หมวด ทำให้เธอเข้มแข็งมีความอดทนสูง สามารถต่อกรกับ ชายอกสามศอกได้อย่างไม่ยาก เก่งทั้งบู๊และบุ๋นจนได้เข้ามาอยู่ร่วมในภารกิจนี้
เก่งในเรื่องงานยังถือว่าเยี่ยม หัวใจของเธอเปรียบเสมือนเพชร หนักแน่นราวกับหินผา ไม่รับรักหรือเหลียวมองชายใดที่เข้ามาติดพัน ไม่ว่ากี่ปีต่อกี่ปีความรักที่มีต่อแอรอนยังคงอัดแน่นอยู่ในใจ เหมือนสนิมที่ฝังแน่นอยู่ในเนื้อเหล็ก ไม่สามารถขจัดออกไปได้ ต่อให้พยายามขัดมากแค่ไหนก็ตาม
“ที่พี่ถาม ณัฐรู้ใช่ไหมว่าพี่เป็นห่วงเราเรื่องอะไร?”
“ณัฐรู้ค่ะพี่เพชร” เธอตอบเสียงค่อนข้างเบา เมื่อนึกถึงคนๆ หนึ่งที่อยู่ไกลเกินมือเอื้อม
“ถ้าณัฐมั่นใจว่าทำได้ พี่ก็จะไม่ห้าม แต่อย่าลืมนะณัฐ เราทุกคนต้องพึ่งณัฐเพียงคนเดียว เพราะณัฐสามารถเข้าใกล้เป้าหมายของเราได้ ถ้าณัฐอ่อนแองานที่เราเตรียมไว้ก็จะพัง”
อัสนีพูดจริงจัง งานนี้มีเพียงณัฐกานต์เท่านั้น ที่จะเข้าถึงตัวเป้าหมายสำคัญที่สุดในแผนการครั้งนี้ งานจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จอยู่ที่เธอเพียงคนเดียว
“ค่ะ...ณัฐสัญญาด้วยเกียรติของตำรวจไทย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นงานของเราต้องสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีค่ะ”
หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงแน่นหนัก คนที่ได้รับฟังพยักหน้ารับคำพูดของลูกน้องสาว ก่อนที่ทั้งสองจะเดินเข้าไปในห้องประชุม เมื่อทุกฝ่ายมาครบองค์ประชุม การวางแผนต่างๆ ก็เริ่มขึ้นซึ่งกินเวลาไปร่วมสองชั่วโมง
“เตรียมตัวให้ดีนะณัฐ ทั้งร่างกายและจิตใจ” อัสนีเอ่ยบอกผู้หมวดสาวเมื่อเดินออกมาจากห้องประชุม
“ค่ะ...ณัฐพร้อมตั้งแต่ก้าวเข้าไปในห้องประชุมแล้วค่ะ พี่เพชรไม่ต้องห่วงณัฐนะคะ ณัฐคนเดิม ผู้อ่อนแอตายไปแล้ว ที่ยืนอยู่ตรงนี้คือผู้หมวดณัฐกานต์ผู้เข้มแข็งค่ะ”
หญิงสาวเตรียมตัวรับมือเผชิญกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ เพราะพรุ่งนี้เธอจะได้พบกับชายหนุ่มที่พยายามหนีมาตลอดเวลาสี่ปี หนีคนที่เธอรัก...หนีหัวใจของตัวเอง
“พี่ได้ยินอย่างนี้พี่ค่อยสบายใจหน่อย กลับบ้านไปพักผ่อนได้แล้ว พรุ่งนี้เรามีงานใหญ่คอยอยู่”
“ค่ะ” สองหนุ่มสาวเดินออกไปจากหน่วยงาน เพื่อเตรียมตัวดำเนินแผนการที่วางไว้ ณัฐกานต์ยอมรับว่า ตนเองวิตกกังวลกับวันพรุ่งนี้ไม่น้อย เธอไม่รู้ว่าจะทำได้อย่างที่ใจคิดมากน้อยแค่ไหน ความมั่นใจที่ให้กับอัสนีจะทำได้หรือไม่ แต่ไม่ว่ารูปการณ์จะเป็นเช่นไร ณัฐกานต์บอกกับตนเองว่า ต้องทำให้ได้เพื่องาน เพื่อชาติ และเพื่อเขา
ณ เครื่องบินเจ็ทส่วนตัวของลูกชายประธานาธิบดีสี่สมัยซ้อน แล้วยังพ่วงตำแหน่งประธานบริษัท ซีดีโอ กรุ๊ป ดำเนินธุรกิจส่งออก นำเข้า และอสังหาริมทรัพย์ภายในประเทศ แล้วกำลังขยายตัวทำธุรกิจโรงแรมในต่างแดน แล่นอยู่บนน่านฟ้าเมืองสยาม และอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า มันจะล่อนลงจอดบนสนามบินสุวรรณภูมิ
สายตาคมกริบของเจ้าของเครื่องบินกำลังทอดมองเมืองศรีวิไลจากบนฟากฟ้าที่ลดระดับต่ำลง แสงสีที่ประดับประดาตามยอดตึกหรือสถานที่ท่องเที่ยว ไม่ได้ทำให้แอรอน ชาล์ลวาเกียเกิดความอภิรมย์มากนัก
ตรงกันข้ามความรู้สึกที่ตกตะกอนคุกรุ่นขึ้นอีกครั้ง ทั้งความรัก ความแค้นและความเข้าใจไหลย้อนกลับเข้าสู่ห้วงความรู้สึก เมื่อก้าวเข้าสู่บ้านเกิดเมืองนอนของหญิงสาวผู้หนึ่ง สตรีที่เขามีใจรักมั่น มอบหัวใจดวงนี้ให้กับเธอทั้งดวง แต่สิ่งที่แอรอนได้รับคือความเจ็บปวด และความแค้นสุมในอก ในวันที่รู้ว่าเธอหนีเขาไป ทิ้งจดหมายที่ทำให้หัวใจคนอ่านแหลกสลายไม่มีชิ้นดี
แอรอนคะ
หากคุณได้อ่านจดหมายฉบับนี้ ณัฐคงจากคุณไปแล้ว ณัฐเพิ่งรู้ว่าในหัวใจของณัฐไม่มีคุณเลย ณัฐยังลืมเขาไม่ได้ และไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคุณได้ ณัฐขอคืนคำบอกรักที่ให้คุณนะคะ หวังว่าคุณคงจะเข้าใจ
ณัฐกานต์
หวังว่าคุณคงจะเข้าใจ มันเป็นประโยคบาดลึกเข้าไปถึงแก่นใจ เจ็บอย่างที่ไม่เคยเจ็บมาก่อน ความรักที่เขามีให้เธอคงน้อยเกินไป ไม่สามารถทำให้ณัฐกานต์ลืมรักครั้งเก่าได้ นึกถึงครั้งใดใจสะท้อนความเจ็บปวดทุกครั้ง จนบางคราเขาไม่อยากจะนึกถึงเธอ แต่ว่าหัวใจกลับทรยศ ยังรักมั่นไม่เสื่อมคลาย
“คุณแอรอนครับ”
“ว่าไง” แอรอนถาม โดยไม่ละสายตาจากภาพที่อยู่เบื้องล่างเลยแม้แต่น้อย
“อีกห้านาทีเครื่องจะลงจอดแล้วนะครับ ผมเข้ามารายงานให้คุณแอรอนทราบว่าหน่วยอารักขาของที่นี่ จะมาร่วมรักษาความปลอดภัยให้คุณแอรอนร่วมกับพวกผมด้วยครับ”
ไรอันรายงานให้เจ้านายของตนได้รับทราบ สีหน้าของอีกฝ่ายยังคงเรียบ ไม่แสดงอาการใดๆ ออกมาทั้งสิ้น
“มาบอกฉันทำไม เรื่องแค่นี้ ใครจะอารักขาหรือไม่อารักขาไม่เห็นต้องเดือดร้อน ไปประเทศไหนเขาก็ส่งคนมาคุ้มครองดูแลเป็นธรรมเนียมอยู่แล้ว เรื่องแค่นี้จะมารายงานให้เปลืองน้ำลายทำไม”
แอรอนไม่ค่อยรื่นหูกับการรายงานที่ไม่เข้าท่าของไรอันมากนัก หรืออาจเป็นเพราะเวลานี้อารมณ์ของผู้พูดไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ตกอยู่ในห้วงของความรักและความแค้นที่คละเคล้ากัน จนบอกไม่ได้ว่า ความรู้สึกไหนมีมากกว่ากัน
ไรอันรู้อยู่แล้วว่าต้องเจอเจ้านายพูดแบบนี้ ตลอดสี่ปีมาแล้วแอรอนเปลี่ยนเป็นคนละคน เขาอารมณ์แปรปรวนอยู่บ่อยครั้ง ใครเข้าหน้าไม่ค่อยติด อารมณ์ที่เคยเย็นควบคุมแรงโทสะของตัวเองได้ดี บัดนี้ไม่ใช่อีก แล้วยามที่แอรอนโกรธหรือโมโห ไม่ได้ดั่งใจ แอรอนจะกลายร่างเป็นปิศาจร้ายทันที แม้แต่พายุทอนาร์โดที่ว่าร้ายแรงยังเทียบเท่าไม่ได้ และอีกอย่างหนึ่งที่เปลี่ยนคือผู้หญิงที่เปลี่ยนไม่ซ้ำหน้า สาวสังคมชั้นสูง ยังไม่รวมกับดารา นักร้องและนางแบบที่เข้ามาติดพันด้วย ทว่าแอรอนไม่เคยมอบหัวใจให้ใครอีกเลย ตั้งแต่วันนั้น วันที่ณัฐกานต์สาวชาวไทยเดินออกไปจากชีวิต
“นี่คือรายชื่อของหน่วยอารักขา ที่จะมาคุ้มกันคุณแอรอนครับ”
แต่ถึงกระนั้นไรอันก็ต้องทำตามหน้าที่ต่อไป เขาวางแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะที่อยู่ตรงหน้าเจ้านายอารมณ์แปรปรวน ในแฟ้มนั้นมีรายชื่อของหน่วยอารักขาทั้งหมดสิบสองคน แอรอนปรายตามองดูแฟ้มเอกสารตรงหน้า ไม่สนใจจะหยิบแฟ้มนั้นขึ้นมาเปิดอ่าน ก่อนจะเบือนสายตาไปมองทิวทัศน์เบื้องล่างต่อไป
“คุณแอรอนจะไม่เปิดดูหน่อยหรือครับ?”
ไรอันถาม เขาอยากให้แอรอนเปิดแฟ้มดูสักนิด เพราะถ้าลงไปจากเครื่องบิน เจอหนึ่งในทีมอารักขา จะได้ไม่หัวใจวายหรือช็อก เมื่อรู้ว่าหนึ่งในทีมอารักขาคือใคร
“ไม่...ออกไปได้แล้ว” เขาตอบและสั่งเสียงเฉียบ ทำให้ไรอันจำต้องล่าถอยออกไปแต่โดยดี ในใจอยากตะโกนบอกออกไปเลยว่าณัฐกานต์เป็นหนึ่งในทีมอารักขานั้น แต่เขาทำไม่ได้ เวลาจะเอ่ยออกไปเหมือนมีหินก้อนใหญ่มาถ่วงในปาก ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้