๑ เผชิญดาวร้าย / 8
“ว้ายยย เสี่ยวเมิ่ง! ไปเอาอาหารมาใหม่ที ข้าไม่ไหวแล้ว” น้ำเสียงนี้บ่งบอกถึงความไม่พอใจ และเอาแต่ใจของไป๋ซิงหนี่ว์ที่เขาสัมผัสได้
บุรุษที่แหงนหน้ามองเพดาน มีหนังสือหนึ่งเล่มเปิดหน้าเอาไว้วางบนอก ริมฝีปากหนาปริออกกล่าวออกมาอย่างไร้เสียง
“เรื่องมากยิ่งนัก”
คำกล่าวนี้ล้วนมาจากความนึกคิดของตนเองจากการคาดการณ์ แต่เขามิอาจรู้ได้ว่าหลังกำแพงไม้นี้ เหตุการณ์จริงๆ เกิดอะไรขึ้นกันแน่
จากนั้นเสียงทั้งหมดก็กลับมาเงียบสงบตามเดิม ไร้เสียงสนทนาโวยวายของนางต่ออีก ถึงแม้ว่าจะเป็นห้องข้างๆ กัน แต่จะได้ยินเสียงชัดก็ต่อเมื่ออีกฝั่งใช้เสียงที่ดังมากพอ ถึงจะได้ยินอย่างชัดเจน เหมือนเมื่อก่อนหน้านี้นั่นเอง
ข้าเดินมานั่งบนตั่งอย่างหมดแรง ก่อนหน้านี้อาเจียนมาตั้งแต่เช้า กินข้าวได้น้อย จึงหมดแรงหน้ามืดไปวูบหนึ่งตอนขึ้นหยิบถ้วยข้าวต้ม โชคดีนักที่เสี่ยวเมิ่งมารับตัวได้ทันการ แต่ทว่าถ้วยข้าวต้มนี้กลับลอยออกจากมือสาดกระเซ็นเข้ากำแพงจนหกเลอะไปหมด
เสี่ยวเมิ่งคลานเข่าเข้าไปหา เพราะเมื่อครู่นางโถมกายเข้าไปรับคุณหนูรองเอาไว้จนเจ็บข้อเท้าไปด้วย และเอ่ยถามเสียงแผ่ว “คุณหนูไหวหรือไม่เจ้าคะ ให้บ่าวไปตามหมอหลวงมาฝังเข็มให้น่าจะดีกว่า”
“ข้าเพียงอ่อนแรงกินอาหารได้น้อยเท่านั้น เจ้าเพียงแค่ออกไปยกเข้ามาใหม่ก็เพียงพอแล้ว” ข้าเอ่ยกับนาง พลางหยิบพัดขึ้นมาโบกคลายร้อนให้ตนเอง ที่เหงื่อเริ่มผุดขึ้นเต็มกรอบหน้า
“เจ้าค่ะ ประเดี๋ยวบ่าวจะรีบยกมาให้” เสี่ยวเมิ่งฉีกยิ้มกว้าง จัดเตรียมจะลุกขึ้น พลันข้อมือของนางก็ถูกคุณหนูรองฉวยมากุมเอาไว้
“เมื่อครู่เจ็บหรือไม่…ถ้าเจ็บก็นั่งพักก่อนเถิด” ข้าฉุกคิดมาได้ จึงรั้งตัวนางเอาไว้ก่อน เมื่อครู่เล่นล้มลงไปทั้งตัวเช่นนั้น
“เล็กน้อยเท่านั้นเจ้าค่ะ” เสี่ยวเมิ่งแก้ตัว แท้จริงแล้วนางนั้นก็เจ็บเท้าอยู่ไม่น้อย
“นั่ง” ข้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงและสายตาที่ดุขึ้นกับนางทันที ก่อนจะเอ่ยขึ้นต่อ
“ข้าจะออกไปสั่งการบ่าวเอง เจ้าก็นั่งคอยในนี้ไปก่อน” เมื่อกล่าวเช่นนั้นก็จัดเตรียมปัดอาภรณ์ตนเองให้เข้าที่ ยกมือตบหน้าตัวเองเบาๆ สองทีเพื่อเรียกสติ ไม่ให้หน้ามืดเหมือนก่อนหน้านี้อีก
เสี่ยวเมิ่งอมยิ้มน้อยๆ มองคุณหนูรองผู้เถรตรง คำกล่าวคำจาอาจจะดูค่อนไปทางร้ายกาจอยู่บ้าง แต่ถึงกระนั้นก็มีน้ำใจหลายส่วน อาจจะน้อยกว่าคุณหนูใหญ่ไปมากก็ตามที
ข้าเดินออกจากห้องตรงไปด้านนอก อมยิ้มตอบรับเหล่าขุนนางที่เดินไปเดินมาบนเรือเป็นการทักทาย จากนั้นก็สบตาเข้ากับหลิงจูที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหา
“ข้ากำลังจะไปหาเจ้าอยู่พอดีเลย” หลิงจูวิ่งเข้ามาคล้องแขนไป๋ซิงหนี่ว์อย่างสนิทสนม
“มาหาข้า เกรงว่าเจ้าจะได้กลิ่นเหม็นเสียมากกว่า” ข้าเอ่ยตอบนางเสียงแผ่ว
“ทำไมเล่า” หลิงจูเอ่ยถามอย่างสงสัย พินิจดูมองดวงหน้าหมดจดของสหาย พลันก็เข้าใจในคำกล่าวเมื่อครู่นี้ ดวงหน้าที่สดใส มาบัดนี้ซีดขาวดูอิดโรยเล็กน้อย จากนั้นนางจึงกล่าวขึ้นอีก
“เจ้าเมาเรือหรือ…”
“ใช่ กินอันใดเข้าไปมีแต่พุ่งออก” ข้ากล่าวติดตลก
“ลองของเปรี้ยวๆ ดูไหม อาจจะช่วยได้” หลิงจูกล่าวเสนอแนะ
“ข้ามิสันทัดอาหารรสเปรี้ยว” ข้าตอบนางไปตรงๆ
“ฮ่าๆ ลืมไปเสียเลยว่าเจ้าไม่ชอบอาหารรสเปรี้ยว เอาเช่นนี้ลองดื่มน้ำมะตูมกับรากบัวร้อนๆ อาจจะช่วยให้สดชื่นขึ้น” หลิงจูแนะนำขึ้นอีก
“น่าสนใจ แต่ว่าเจ้าช่วยพาข้าไปหาหมอหลวงที จะรบกวนให้เขาไปดูบ่าวให้เสียหน่อย” ข้ากล่าว กลัวเสี่ยวเมิ่งอาจจะบอบช้ำด้านในได้ สู้ให้หมอมาดูอาการน่าจะดีกว่า
“เสี่ยวเมิ่งน่ะหรือ ว่าแต่นางเป็นอันใด” ด้วยความสอดรู้ หลิงจูจึงเอ่ยถามออกไป
“ล้มน่ะ” ข้าตอบสั้นๆ
“ได้ เมื่อครู่เจอหมอหลวงที่มาบรรจุใหม่ น่าจะเรียกใช้ได้ง่ายกว่าพวกอาวุโส” หลิงจูกล่าวจ้อขึ้นอีก
“รีบพาข้าไปเถิด” ข้าเร่งนาง
เบื้องหน้าข้านี้เป็นหมออายุไล่เลี่ยกับคุณชายเยี่ย กะทางสายตาน่าจะยี่สิบห้าปีถึงยี่สิบเจ็ดปีได้ ดวงหน้ามนเรียบร้อย แววตาสัตย์ซื่อ ดูมีเมตตา อืม...น่าจะเรียกว่าดูใจดีเป็นมิตรกระมัง เขาอยู่ในเครื่องแบบสีฟ้าอ่อนของหมอหลวง ห้อยป้ายหยกที่เขียนคำว่า ลิ่ว ลิ่วที่แปลว่าหก
“หมอหลวงเจ้าคะ” หลิงจูผู้อัชฌาสัยดีเอ่ยทักออกไป
เจิ้งเหรินอี้เบือนหน้าจากสหายที่ยืนสนทนาด้วยอยู่ก่อนหน้า ไปตามเสียงของสตรีที่เรียกขานเขา “เรียกข้าหรือแม่นาง”
“ใช่เจ้าค่ะ” หลิงจูเอ่ยขึ้นอีก
เจิ้งเหรินอี้ยิ้มรับอย่างเป็นมิตรและเอ่ยขึ้น “แม่นางมีธุระอันใดกับข้าหรือ”
“กล่าวไปสิซิงหนี่ว์” หลิงจูกระทุ้งข้อศอกเบาๆ ไปด้านข้าง
“ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ ข้ามีนามว่าไป๋ซิงหนี่ว์ ส่วนนี่หลิงจู จะรบกวนให้ท่านหมอมาตรวจดูอาการของบ่าวคนสนิทให้เสียหน่อย”
เจิ้งเหรินอี้ที่ยังแย้มยิ้มกว้างอยู่นั้น ก็เอียงหน้าลงด้านข้างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หลุบตามองสตรีงามตรงหน้า พลางใช้หัวครุ่นคิดไปด้วยว่า ‘ไป๋’ ใช่แซ่หนึ่งในสิบตระกูลมหาอำนาจลำดับที่หนึ่งหรือไม่ แต่นับว่าหายากที่เจ้านายจะใส่ใจดูแลบ่าว เขาจึงพยักหน้าตอบรับอย่างสุภาพ พร้อมกับผายมือออกไปด้านหน้า
“เชิญแม่นางไป๋นำทาง”
“ขอบใจมากเจ้าค่ะ ที่ไม่รังเกียจตรวจดูอาการบ่าวของข้า” ข้าขอบใจแทนเสี่ยวเมิ่ง หมอหลวงนั้นเปรียบดั่งขุนนาง พวกเขาตรวจให้เพียงบุคคลชั้นสูง ไม่มีทางที่จะลดตัวลงมาตรวจอาการบ่าวเช่นนี้ได้
“แม่นางไป๋กล่าวเกินไปแล้ว” เจิ้งเหรินอี้กล่าวอย่างเป็นมิตร เดินมาขนาบข้างไป๋ซิงหนี่ว์
“มิทราบว่าหมอหลวงมีนามว่าอันใดหรือเจ้าคะ เมื่อครู่พวกข้าเสียมารยาทมิได้เอ่ยถามชื่อกลับ” หลิงจูชะโงกหน้าจากอีกฝั่งไปถาม
“ข้ามีนามว่าเจิ้งเหรินอี้” เขาตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้มเช่นเดิม
“แซ่นี้มิคุ้นหูข้าเลย ตระกูลท่านมิได้มีรกรากในเมืองหลวงใช่หรือไม่” หลิงจูเอ่ยถามอย่างสอดรู้
“ใช่แล้ว...ตระกูลเจิ้งร่อนเร่ไม่มีที่พักพิงตายตัว เพื่อร่ำเรียนวิชาแพทย์ และเสาะหาความรู้” เจิ้งเหรินอี้กล่าวตอบไปตามตรง
“ดูน่าสนุกอยู่มิน้อย” หลิงจูตอบกลับ ดวงตาเป็นประกายเล็กน้อย เป็นหมอก็ดีเช่นนี้เอง ท่องเที่ยวยุทธภพ จากนั้นก็เหลือบเห็นสีหน้าอันขาวซีดของสหาย คล้ายกับนึกอะไรออกจึงกล่าวออกไปต่ออีก
“เช่นนั้นช่วยฝังเข็ม ลดอาการเมาเรือให้ซิงหนี่ว์ทีเจ้าค่ะ นางนั้นเมาเรือหน้าตาซีดเซียว” กล่าวจบก็มองสหายด้วยความสงสาร
“คุณหนูไป๋เมาเรือหรือ…” เจิ้งเหรินอี้ก้มหน้าลงเล็กน้อย เพื่อมองดูสีหน้าของนางได้ถนัดตา ด้วยความสูงที่เหลื่อมล้ำ เขาจึงต้องก้มหน้าลงมามากเป็นพิเศษ ข้าที่ทอดมองทางด้านหน้าก็ต้องตกใจเมื่อหางตาเห็นดวงตาของหมอเจิ้งในระยะใกล้และในระดับเดียวกัน จนสะดุ้งเบิกตาขึ้นมองเขากลับ
“ฮ่าๆ ดูท่าข้าจะทำให้ท่านตกใจเสียแล้ว ดูจากสีหน้าก็พอจะเดาอาการเมาเรือของแม่นางไป๋ได้อยู่” เจิ้งเหรินอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ทำให้คนฟังรู้สึกอารมณ์ดีตามเขาไปด้วย
