บท
ตั้งค่า

๑ เผชิญดาวร้าย / 9

“ท่านพอจะมียาดมแก้วิงเวียนหรือไม่เจ้าคะ” ข้าเอ่ยถามออกไปแก้เก้อ เมื่อครู่คงจะทำสีหน้าตกใจอยู่ไม่น้อย เขาถึงได้หัวเราะออกมาเช่นนั้น ถ้าจะให้ตรวจดูร่างกายก็กระไรอยู่ เพราะมิอยากให้ใครล่วงรู้ว่าตนเองตั้งท้อง

“เอาไว้ตรวจดูอาการบ่าวท่านเสร็จ ข้าจะตรวจดูอาการท่านอีกครา เพราะมิอาจจ่ายยาให้ได้ ถ้าหากยังไม่ได้ตรวจดูก่อน” เจิ้งเหรินอี้ตอบ

“เช่นนั้นข้าพออดทนได้อยู่เจ้าค่ะ ตรวจบ่าวข้าคนเดียวก็เพียงพอแล้ว ข้านั้นรู้สึกเกรงใจมากนัก” ข้าบ่ายเบี่ยง

“ซิงหนี่ว์ ท่านหมอเจิ้งมาแล้ว ก็ตรวจดูอาการเจ้าไปเลย กว่าจะถึงเมืองหลวงก็อีกห้าวันได้” หลิงจูกล่าวขัดขึ้น

“นั่นสิคุณหนูไป๋ รักษาผู้คนเป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว” เจิ้งเหรินอี้กล่าวสมทบ

“แต่...” ข้าอึกอักในคอ มิรู้ว่าจะกล่าวบอกปัดไปเช่นไร สถานการณ์ดูคล้ายจะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกระมัง

เสี่ยวเมิ่งนั่งคอยคุณหนูรองอยู่นานสองนานก็ไม่มีทีท่าจะกลับมาเสียที นางเริ่มกังวลใจ และขยับกายช้าๆ เดินออกไปเปิดประตูดูด้วยความร้อนใจ พลันไป๋ซิงหนี่ว์ก็เดินเข้ามาพอดิบพอดี

“เจ็บอยู่มิใช่รึ เจ้าจะไปไหนอีก” ข้าเอ่ยดุนางเล็กน้อย ขณะพาคนทั้งสองเข้ามาในห้อง

“ข้าเป็นห่วงคุณหนูรอง เห็นว่าหายไปนานแล้วเจ้าค่ะ” เสี่ยวเมิ่งกล่าวเสียงอ่อน กวาดตามองคนทั้งสองที่เดินตามเข้ามาด้านใน

“นี่ท่านหมอเจิ้ง จะมาตรวจดูอาการของเจ้า เจ็บป่วยขึ้นมาตอนหลังจะลำบากเอา” ข้าเอ่ยยาว แล้วเดินเข้าไปเทชาให้หลิงจูและหมอเจิ้ง

“บ่าวรบกวนด้วยเจ้าค่ะ” เสี่ยวเมิ่งก้มหัวต่ำลงอย่างนอบน้อม

“เล็กน้อยเท่านั้น ไหนกล่าวบอกข้ามาสิว่าเจ้าเจ็บปวดตรงไหน” เจิ้งเหรินอี้เดินไปตรงหน้าสาวใช้ และนั่งลงบนตั่งตรงข้าม ก่อนเอ่ยถามอาการนาง

“ตรงข้อเท้าเจ้าคะ” เสี่ยวเมิ่งตอบ

“รบกวนเจ้าถอดรองเท้าและดึงอาภรณ์ขึ้นเล็กน้อย ข้าจะได้ตรวจถนัดมากขึ้น” เจิ้งเหรินอี้กล่าวด้วยรอยยิ้มตามเดิม

“เจ้าค่ะ” เสี่ยวเมิ่งรับคำ และทำตามที่หมอเจิ้งสั่ง

ข้าถือชาไปวางบนโต๊ะ นั่งมองดูหมอเจิ้งที่ลงไปนั่งคุกเข่าเบื้องล่างเสี่ยวเมิ่ง ยกเท้านางขึ้นมาวางบนตัก โดยไม่มีท่าทางถือตัวแม้แต่น้อย อายุยังน้อย นิสัยดูเป็นมิตร ไม่ถือลำดับขั้น นับว่าหายากยิ่งที่จะพบเจอคนประเภทนี้

เขากดเท้าของเสี่ยวเมิ่งและจับบิดไปบิดมาอยู่สองรอบ จากนั้นก็หยัดกายลุกขึ้นยืน ปัดอาภรณ์จัดให้เข้าที่ และล้วงหยิบของบางสิ่งออกจากถุงหอมยื่นไปให้เสี่ยวเมิ่งที่นั่งอยู่

“โป๊ยกั๊กนี่นำไปต้มดื่มทุกวันกับน้ำชา ไม่เกินสามวันจะเป็นปกติตามเดิม เจ้าเพียงแค่ข้อเท้าเคล็ดเท่านั้น ข้านำติดกายมาด้วยเพียงเล็กน้อย ถ้าหมดก็ไปขอเอาได้จากในครัว” เจิ้งเหรินอี้กล่าว

“จริงหรือเจ้าคะ!” เสี่ยวเมิ่งกล่าวขึ้นเสียงดังอย่างดีใจ นางเพียงข้อเท้าเคล็ดเท่านั้น นึกว่าจะหักเสียแล้ว บ่าวน้อยกล่าวขึ้นในใจ

“ฮ่าๆ จริงสิ ข้าจะโป้ปดเจ้าให้ได้อันใด” เจิ้งเหรินอี้หัวเราะก่อนจะเอ่ยตามอย่างขบขัน

เสี่ยวเมิ่งฉีกยิ้มกว้างก้มหัวขอบใจอีกสามรอบ ส่วนเจิ้งเหรินอี้ก็ยืนประกบมือไว้ด้านหน้าขา และเลื่อนสายตาไปมองคุณหนูตระกูลไป๋ ก่อนจะกล่าวออกไปอีก

“ตาท่านแล้ว แต่ข้าต้องขอออกไปล้างมือก่อนสักครู่” เขาหลุบตามองเท้าเสี่ยวเมิ่ง เป็นนัยแฝงไปด้วย

ข้าเบิกตาขึ้นเล็กน้อย กำมือใต้แขนเสื้อ หายใจติดขัด ก่อนจะพยักหน้ารับเขาอย่างเข้าใจ แต่ที่ไม่เข้าใจในยามนี้จะให้หลิงจูสหายคนสนิทนี้ออกไปด้านนอกนั้น ควรจะใช้วิธีอันใดถึงจะดูแนบเนียนมากที่สุด พอหมอเจิ้งหมุนกายเดินออกจากห้องไป ก็ผุดความคิดหาข้ออ้างได้ออก

“หลิงจู ข้าหิวข้าวยิ่งนัก” ข้าแสร้งกล่าวเสียงอ่อน เดินกุมท้องไปนั่งด้านข้างของนาง

“ซิงหนี่ว์ เจ้ายังมิได้กินข้าวตั้งแต่เช้าเลยรึ” หลิงจูเอ่ยถามอย่างตกใจ เอื้อมมือไปกุมมืออีกข้างของสหายเอาไว้แน่น

“กินแล้วแต่ก็อาเจียนออกมาหมด สหายที่น่ารักของข้า เจ้าช่วยไปสั่งคนครัวทำอาหารที่ย่อยง่าย กินแล้วสดชื่น สบายท้องมาให้ข้าที่ห้องสักสองสามอย่าง จะให้ดีข้าอยากลองดื่มน้ำมะตูมต้มรากบัวของเจ้าดูสักครา อาจจะดีขึ้น” ข้าร่ายยาวออกมา เอียงหัวซบลงหัวไหล่ของนาง

“ได้ๆ เห็นเจ้าเป็นเช่นนี้ข้าเองก็ไม่สบายตามเจ้า” หลิงจูตบหลังมือกล่าวเสียงคิดหนัก จากนั้นก็ผละกายลุกขึ้น รีบออกไปจัดการตามที่สหายขอเอาไว้

เสี่ยวเมิ่งลอบยิ้มจนแก้มตุ่ย กลั้นเสียงหัวเราะ เมื่อเห็นท่าทางเสแสร้งของคุณหนูรอง จะเห็นการแสดงออกเช่นนี้ได้ก็ตอนแกล้งคน หรือไม่ก็กลบเกลื่อนบางสิ่งเท่านั้น เมื่อคราที่คุณหนูรองหลอกแกล้งคุณหนูใหญ่ให้แต่งกายแปลกๆ เสี่ยวเมิ่งจะเห็นเช่นนี้อยู่เป็นประจำที่เรือนหลิ่ง

เจิ้งเหรินอี้กลับมาจากล้างมือก็เคาะประตูห้องสองที และเอ่ยออกไป ก๊อก...ก๊อก...

“ข้าเอง คุณหนูรอง”

“เข้ามาเลยเจ้าค่ะ” ข้าเอ่ยรับออกไป มองท่าทางการเดินและบุคลิกที่แสนสบายตาของหมอเจิ้งที่เดินเข้ามานั่งลงบนตั่ง และฉีกยิ้มมาให้

“แม่นางหลิงมิอยู่หรือ” เจิ้งเหรินอี้เอ่ยถาม เมื่อพบว่าจำนวนคนในห้องน้อยลง

“นางไปทำธุระให้ข้าเจ้าค่ะ” ข้าเอ่ยตอบเขา

“เช่นนี้เอง ข้าเริ่มตรวจอาการเมาเรือของแม่นางไป๋เลยละกัน” เจิ้งเหรินอี้กล่าว

“ท่านหมอเจิ้ง ข้ามีอันใดจะเอ่ยกับท่าน” ข้ากล่าวเสียงแผ่วลงมาหลายส่วน จนกลายเป็นเสียงกระซิบ

“ฮืม…เสียงเบาเช่นนี้คงจะเป็นความลับ” เจิ้งเหรินอี้กล่าวยิ้มๆ โน้มหน้าเข้าไปใกล้เล็กน้อย เพื่อให้ได้ยินถนัดมากขึ้น

“ตอนที่ท่านตรวจร่างกายข้า ล่วงรู้อันใดมิต้องกล่าวออกมา และมิต้องบอกผู้อื่นได้ไหมเจ้าคะ หากท่านแพร่งพรายออกไป ข้าจำเป็นต้องกล่าวบอกพี่สาว” ข้าเอ่ยกึ่งข่มขู่เล็กน้อย

“แม่นางไป๋…” เจิ้งเหรินอี้เรียกขานนางเสียงเบา มุ่นคิ้วเข้าอย่างแปลกใจ นางกลัวเขาจะไปบอกกับใคร ถึงขั้นจะเอาไปฟ้องพี่สาวตนเอง พลันคิดได้เช่นนั้นก็ฉุกคิดเรื่องหนึ่งมาได้ แต่มิได้กล่าวออกไปในที่นี้ เขากล่าวอีกประโยคหนึ่งแทน

“ท่านกำลังขู่ข้า”

“มิใช่ขู่เจ้าค่ะ ถ้าจะเรียกฟังให้รื่นหูสบายใจขึ้น คือการตักเตือนกันแต่เนืองๆ” ข้ากล่าวแก้ต่าง

“ต่างกันตรงไหน ฮ่าๆ” เจิ้งเหรินอี้ขบขันในคำกล่าวของนาง และหยัดกายขึ้นนั่งหลังตรง และเอ่ยออกไปอีก

“เอาเถิดๆ ข้าเข้าใจดี ยื่นแขนมาเสีย จะได้ดูอาหารและจัดยาให้ถูก”

“รับปากแล้วนะเจ้าคะ” ข้าเอ่ยย้ำอีกครา เพื่อให้แน่ใจ

“ความลับของผู้ป่วย ข้าผู้เป็นหมอมิกล่าวออกไปหรอก” เจิ้งเหรินอี้รับคำนางด้วยรอยยิ้มจริงใจ

“ขอบคุณเจ้าค่ะ” ข้ายิ้มตอบรับเขากลับเช่นกัน

เจิ้งเหรินอี้เอาผ้าสีขาวผืนบางวางลงข้อมือของคุณหนูไป๋ตรงหน้า นิ้วชี้กับนิ้วกลางเหยียดตรงชิดกัน วางลงไปบริเวณใต้ข้อมือตรงนิ้วโป้งของนาง เขาคลำและกดแน่นลง เลื่อนต่ำลงมาตามเส้นเลือด สีหน้าที่อบอุ่นไปด้วยรอยยิ้ม เริ่มเปลี่ยนมาเป็นสีหน้าแปลกใจ คิ้วบางเฉียงขึ้นได้ขยุ้มเข้าเล็กน้อย และช้อนสายตาขึ้นมองดวงหน้างามหมดจดของไป๋ซิงหนี่ว์ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้กล่าวอาการที่ตรวจพบออกมาตามที่ให้สัญญากับนางไว้

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel