บท
ตั้งค่า

๑ เผชิญดาวร้าย / 6

ในตอนนั้นข้ายืนดูเหตุการณ์ภายในห้อง มองร่างพี่สาวตัวเองที่นอนแน่นิ่งบนเตียงไม่ไหวติง

ถึงจะรู้อยู่เต็มอกว่าความตายมิอาจพรากวิญญาณของนางไปได้ แต่ก็กลัวว่านางจะทิ้งข้าไปเหมือนท่านแม่อีก

ข้ามองบุรุษที่คุกเข่าลงกับพื้น ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นถึงองครักษ์เกราะทองที่ผ่าเผย มาบัดนี้นั่งระทมกลั้นเสียงสะอื้นแนบหน้าที่เปื้อนเลือดลงมือของเจี่ยเจีย ปานว่าเขาจะขาดใจตายตามนางไป

ข้าเม้มปากเข้ามิอาจกลั้นน้ำตาได้อีก ไฉนถึงรู้สึกปวดรัดที่อก คล้ายจะเศร้าก็ไม่เศร้า มันกลับแฝงความอิจฉาเจืออยู่ด้วย หนึ่งชาติภพ เราล้วนเกิดดับเพียงผู้เดียว แต่แท้จริงสวรรค์ได้กำหนดไว้ เหตุไฉนความรักของพวกเขาทั้งสองถึงได้ดูกลมเกลียวเหนียวแน่นเยี่ยงนั้น

ข้ามิอาจทนเห็นเขาต้องเสียใจได้อีกต่อไป จึงตัดสินใจเล่าความทั้งหมดในตระกูลไป๋ออกไป

ตระกูลไป๋ของข้าสืบเชื้อสายจากจงขุยเทพกึ่งปีศาจ บุตรคนแรกต้องรักษาซึ่งสายเลือดและพลังเอาไว้ มิว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรีจะต้องแต่งฮูหยินเข้าอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ นี่คือสาเหตุที่บุรุษเช่นคุณชายเยี่ยถูกเรียกขานตามตำแหน่งของตระกูลไป๋นั่นคือ ฮูหยินใหญ่

เป็นเรื่องที่พ่อบ้านหมิง พ่อบ้านเก่าแก่ผู้ดูแลความเรียบร้อยของคฤหาสน์เล่าให้ฟัง ตั้งแต่ข้ายังเล็ก ยามที่บุตรคนแรกตายลงจะมีการทำพันธะระหว่างบุรุษเก็บวิญญาณที่พวกเราเรียกขาน หรืออีกชื่อที่รู้จักคือจงขุย

ความตายดูเป็นเรื่องใกล้ตัวข้ามาตั้งแต่เกิด มองดูท่านพ่อและเจี่ยเจียผลัดกันจบชีวิตลง และฟื้นขึ้นมาใหม่ แต่ไม่ใช่สำหรับคุณชายเยี่ยที่ไม่คุ้นชินกับความตายนี้

ข้าทำได้เพียงยืนดูเหตุการณ์ จัดเตรียมอาภรณ์ และผ้าสะอาดให้หลิง รองหัวหน้าหลิวลี้ ที่เป็นคนอารักขาศพเจี่ยเจียในยามนี้

ตระกูลไป๋ทำการค้าขาย นั่นคือการขายข่าว และโรงเตี๊ยมที่กระจายทั่วแผ่นดินหยวนโปวนี้ ความตื้นลึกหนาบางข้ามิอาจล่วงรู้ได้กระจ่าง รู้เพียงว่าตระกูลไป๋และเจี่ยเจียข้านั่น ต้องทำหน้าที่นี้ทั่วแผ่นดินหยวนโปว

กล่าวมาถึงขนาดนี้ คงจะรับรู้ได้ถึงความหลังของตระกูลไป๋ที่ยิ่งใหญ่ และความลึกลับที่ซ่อนเร้นเอาไว้ มันมีสิ่งมากมายที่หลบซ่อนอยู่ใต้เปลือกหน้าของตระกูลไป๋ข้า

หลายวันต่อมา

ตอนนี้เสี่ยวเมิ่งยืนนิ่งมองดวงหน้างามหมดจดของคุณหนูรองที่นั่งเหม่อมองอากาศอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนเอ่ยจะขึ้นอย่างหดหู่ใจ

“คุณหนูมิต้องคิดมากนะเจ้าคะ ประเดี๋ยวคุณหนูใหญ่ก็ฟื้นแล้ว”

เสี่ยวเมิ่งเป็นตระกูลสาวใช้ของตระกูลไป๋มารุ่นต่อรุ่น เฉกเช่นเดียวกับบ่าวทั้งหมดในคฤหาสน์ เป็นเรื่องปกติที่พวกบ่าวทั้งหมดย่อมรู้เรื่องนี้ และรักษากฎอย่างเคร่งครัดจากอดีตจนจวบปัจจุบัน ดำรงชีวิตเช่นนี้จนเป็นเรื่องปกติสำหรับพวกเขา

“สงสารคุณชายเยี่ยเสียมากกว่า ยากนักจะเห็นบุรุษร้องไห้ให้สตรีเช่นนั้น บุรุษที่มีชีวิตธรรมดากลับต้องมาลงเอยอยู่กับตระกูลไป๋ นับว่าเขามีความอดทนสูง อีกอย่างก็ดูรักเจี่ยเจียจากใจจริง” ข้าเอ่ยปาก หลุบตามองต่ำไปที่ท้องตนเอง

น่าอิจฉาเจี่ยเจียยิ่งนัก ที่มีคนร้องไห้กับนาง ส่วนตัวข้ามีลูกในท้อง ที่ต้องประคับประคองดูแลตนเองไปด้วยกันสองแม่ลูก

“ฮูหยินใหญ่จิตใจดีเจ้าค่ะ อีกมินานก็จะผ่านพ้นไป” เสี่ยวเมิ่งเอ่ย นางอ่านจากสายตาของไป๋มี่อิงยามที่ทอดมองเยี่ยเปา ถ้าเนื้อแท้มิใช่คนดี มีหรือที่คุณหนูใหญ่จะรักเอ็นดูเขามากขนาดนั้น

“นั่นนะสิ…” ข้าเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้ คุณชายเยี่ยช่วยชีวิตผู้อื่นก่อนเสมอ ไม่ว่าจะคราไหนที่เกิดเรื่องขึ้น ความใส่ใจนี้ก็ไม่ต่างกัน ข้าเองก็ได้รับมาด้วยเช่นกัน

“เอ่อ...ข้ามีเรื่องจะกล่าวกับคุณหนูเจ้าค่ะ” เสี่ยวเมิ่งบิดอาภรณ์ในมือไปมา ก้มหน้าต่ำลง

“เรื่อง” ข้าเอ่ยถามนางอย่างสงสัย

“คุณชายจิ้นฝากบ่าวมาบอกว่าให้เก็บของกลับเมืองหลวง” คุณหนูใหญ่ฝากฝังให้ไปส่งคุณหนูรองที่คฤหาสน์ หากรั้งอยู่ที่เกาะต่อจะไม่มีหมอดูอาการท่านได้” เสี่ยวเมิ่งตอบ ช้อนสายตาขึ้นมองประเมินอารมณ์ของไป๋ซิงหนี่ว์

“หมอหลวงก็อยู่ด้วยอีกคนมิใช่รึ มิใช่ว่ากลับทุกคนเสียที่ไหน” ข้ากล่าว จะให้ทิ้งเจี่ยเจียกับคุณชายเยี่ยไปได้อย่างไร เป็นครอบครัวกันในเพลานี้ควรอยู่ด้วยกันจะดีที่สุด

“แต่ท่านหมอมิได้เอาตำรับยาสำหรับคนท้องมานะเจ้าคะ หากเกิดเหตุอันตรายขึ้นมาจะลำบากเอาได้ และเรือที่ท่านกลับมีหมอมากมายเฉพาะทางอีก” เสี่ยวเมิ่งกล่าวอธิบาย

“ทำไมถึงรู้ดี” ข้าปรายตามองนางที่ยืนก้มหน้าอยู่ด้านข้าง

“ข้า…ข้าเป็นห่วงท่าน อีกทั้งก็เป็นคำสั่งคุณหนูใหญ่” เสี่ยวเมิ่งตอบเสียงแผ่ว

“เฮ้อ...” นี่คือเสียงแห่งความหนักใจที่ถูกผ่อนออกมาก่อนจะเอ่ยไปอีกประโยค “ข้าจะกลับ แต่มิใช่กับคุณชายจิ้น”

“คงจะมิได้ คุณชายจิ้นยามนี้กอดอกรอท่านหน้ากระโจมแล้วเจ้าค่ะ อีกสามชั่วยามเรือถึงจะออก ประเดี๋ยวบ่าวรีบเก็บของก่อนนะเจ้าคะ” เสี่ยวเมิ่งรวบรัดมัดมือชก ก้มหน้าก้มตาเก็บของทันที

“ไม่น่ามาเลย…” ข้าบ่นขึ้น หลุบตามองเสี่ยวเมิ่งที่นั่งคุกเข่ายกผ้าเข้าหีบ กำหมัดเข้าแน่นอย่างขัดใจ

“คุณชายจิ้น คุณชายจิ้น…เจ้าคนบัดซบ” ข้าเอ่ยอย่างหัวเสีย เพื่อระบายโทสะในอกออกมา พลันพอนึกถึงเรื่องหลายวันก่อนก็ยิ่งเกลียดขี้หน้าของเขามากขึ้น สมควรตายยิ่งนัก!

เสี่ยวเมิ่งเพียงลอบยิ้มน้อยๆ เงี่ยหูฟังเสียงโมโหของนายหญิง ส่วนตนเองเร่งรีบจัดการเก็บของเข้าหีบให้เรียบร้อย

เมื่อถึงคราใกล้ออกเดินทางหนึ่งชั่วยาม ข้าก็เดินออกมาจากกระโจม มองบุรุษใส่อาภรณ์สีแดงเข้มกอดอกหันหลังอยู่ด้านหน้า จึงเดินเลี้ยวไปด้านข้างเดินตรงไปยังท่าเรือที่ห่างออกไป

ส่วนจิ้นฝานหางตามองเห็นสตรีคุ้นตากับบ่าวหนึ่งคนเดินผ่านเขาไป จึงเดินไปด้านหน้ารับม้าจากทหารมาสองตัว ควบเดินเหยาะๆ ขึ้นไปขนาบข้างไป๋ซิงหนี่ว์

นี่เขายืนรอนางอยู่นานสองนาน พอจะไปนางกลับไปเสียดื้อๆ ไม่บอกไม่กล่าว

“ขึ้นม้า” จิ้นฝานมองต่ำไปที่ไป๋ซิงหนี่ว์ที่เดินจ้ำอ้าว ไม่สนใจเขา

“คุณหนูรอง ท่านหูหนวกรึ” จิ้นฝานกล่าวเสียงต่ำอีกครา มองการกระทำของนางราวกับเด็กน้อย

ข้าเบื่อหน่ายและรังเกียจที่จะสนทนากับเขา จึงตั้งหน้าตั้งตาเดินไปด้านหน้าอย่างเดียว

จิ้นฝานมุ่นคิ้วเข้า และคลายออก ดึงม้าอีกตัวที่นำมาด้วย ตบลงก้นของมัน กระตุ้นให้มันเดินไปด้านหน้าจนเบียดเข้ากับสตรีที่เดินจ้ำๆ ไม่สนใจเขา จนนางผงะตกใจร้องออกมา

“ว้ายยยยย” ข้าถลาไปด้านข้างเล็กน้อย เพราะมีผิวสัมผัสแปลกๆ บางอย่างเฉียดและเบียดเข้ามาใกล้โดยไม่ทันตั้งตัว

“ฮึ” พลันเสียงเค้นจมูกราวกับขบขันของคุณชายจิ้นที่ควบม้าตามหลังได้ดังขึ้น

“ท่านแกล้งข้า” ข้าหันไปเผชิญหน้ากับเขา กัดฟันกล่าวอย่างนึกโมโห โชคดีนักที่ไม่ได้ล้มลงไป

“ขึ้นม้า จะได้รีบไป” จิ้นฝานมิได้สนใจคำกล่าวนาง

“ท่านรีบก็ไปก่อน ข้าจะเดินไปเอง” ข้าตอบเขากลับ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel