๑ เผชิญดาวร้าย / 4
ข้าหยิบอาภรณ์ฟูฟ่องของตนเองที่เลือกมาแบบพิเศษโดยเฉพาะ จะว่าไปสีเขียวอ่อนนี้ก็ละมุนตา ไม่เยอะกำลังดี จึงหันไปถามความเห็นจากหลิงจูดูก่อนว่าเข้ากับทรงผมในตอนนี้หรือไม่
“จูจู เจ้าว่าชุดนี้เข้ากับข้าไหม” ข้าเอ่ยถามนาง
“หลิงจู อาจู จูจู มีแต่เจ้าที่เรียกข้าไม่ซ้ำกันเลยสักครา อืม...จะว่าไปสีนี้ก็ดูเหมาะยิ่งนัก” หลิงจูบ่นเล็กน้อยก่อนจะตอบคำถามไป
“เช่นนั้นข้าเลือกชุดนี้ละกัน” ว่าแล้วก็หอบอาภรณ์ไปแต่งหลังฉากกั้น ก้าวเท้าออกไปเพียงสองก้าวเท่านั้นเสียงหลิงจูก็ดังขึ้น
“ก็เปลี่ยนตรงนี้เลย มิเห็นต้องให้มากความ แต่ก่อนก็แก้ผ้าต่อหน้ากันออกจะปล่อยครั้ง” หลิงจูเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ เมื่อเห็นทีท่าของสหายที่ผิดแปลกไป
“อ่า...” ข้าครางเสียงในคอไม่รู้จะกล่าวอันใดในยามนี้ และเม้มปากเข้าอยู่ครู่เดียว สบดวงตาของหลิงจูที่มองมาอย่างสงสัย
“คุณหนูรองมีระดูเจ้าค่ะ คงจะไม่เหมาะเท่าใดนัก” เสี่ยวเมิ่งเดินเข้ามาประคองนายหญิงตนเอง และเอ่ยแก้สถานการณ์นี้ออกไป
“ที่แท้ก็เป็นระดูนี่เอง...รีบเข้าไปเปลี่ยนเถิด ประเดี๋ยวจะร่วมงานมิทันเอาได้” หลิงจูฉีกยิ้มอย่างเข้าใจ รีบเร่งสหายต่อ
“อืม” ข้ารับคำนาง กอดอาภรณ์เอาไว้ในมือแน่น สูดลมหายใจเข้าจมูกเรียกสติกลับมาให้ครบครัน และเข้าไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์โดยมีเสี่ยวเมิ่งคอยช่วยเหลือ
ยามซวี
ท้องฟ้าดับแสง มีเสียงดนตรีบรรเลงให้ความบันเทิงในงานประเพณีล่าสัตว์ปีนี้ มีท้องทุ่งสีเขียวกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา มายามนี้ถูกตั้งด้วยโต๊ะน้ำชาขนาดย่อมเรียงรายอยู่เต็มไปหมด ผู้คนครึกครื้นร่วมสนทนาดื่มสุรา และเพลิดเพลินกับงานในคืนนี้
ข้าแต่งกายเสร็จก็เดินออกมาจากกระโจมตระกูลหลิง ตรงไปยังงานเลี้ยงที่จัดขึ้นพร้อมกับหลิงจู เพื่อจะพานางไปร่วมนั่งกระโจมขนาดย่อมของตระกูลไป๋ข้างงานเลี้ยงในคืนนี้ มันเป็นกระโจมสำหรับกันลมกันน้ำค้าง มิใช่กระโจมใหญ่ที่ใช้พักพิง จึงมิมีปัญหาอันใด
ข้าสอดส่ายสายตามองสำรวจงานรื่นเริงไปด้วยใจที่เริ่มรู้สึกเบ่งบาน ออกมาข้างนอกเช่นนี้ก็รู้สึกสนุกอยู่ไม่น้อย ได้เจอผู้คน ได้เจอสหาย ค่อยสบายใจขึ้นมามากกว่าก่อนหน้านี้หน่อย
“เจี่ยเจีย ข้าพาคุณหนูหลิงมาร่วมนั่งกระโจมได้ไหมเจ้าคะ” ข้าเดินเข้าไปกล่าวกับเจี่ยเจียที่นั่งตัวเอียงบนตั่งด้านใน
ไป๋มี่อิงเหลือบตาไปมองสตรีรุ่นราวคราวเดียวกับไป๋ซิงหนี่ว์เล็กน้อย ก่อนจะกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร “ตามสบายเถิดคุณหนูหลิง”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” หลิงจูยอบกายคำนับลงเล็กน้อย แล้วช้อนสายตาไปมองคุณชายจิ้น ที่นั่งยกสุราขึ้นดื่มขณะกำลังทอดสายตามองไปยังเวทีขนาดย่อมด้านหน้า
จิ้นฝานนั่งดูสาวงามที่กำลังร่ายรำตามเสียงเพลง พลางยกสุราขึ้นดื่มอยู่ด้านข้างไป๋มี่อิง โดยไม่สนใจแขกที่เดินเข้ามาใหม่สองคนแม้แต่น้อย
“คำนับคุณชายจิ้นเจ้าค่ะ” หลิงจูเบือนหน้าจากไป๋มี่อิงไปทางจิ้นฝาน และยอบกายลงเหมือนเดิม
“เช่นกัน…” เสียงคลุมเครือเบาๆ ดังลอดออกจากริมฝีปากหนาที่กำลังจรดปากลงปลายจอกสุราที่ยกขึ้นดื่ม เขาไม่แม้แต่จะปรายตามามองนางเลยสักนิดเดียว
การแสดงออกเช่นนั้นของเขานับว่าเป็นเรื่องปกติ เป็นอันรู้กันอยู่แล้วในหมู่สังคม ว่าเขาเป็นบุรุษสันโดษ คบหาสหายน้อยคน สงวนท่าทีต่อหน้าผู้อื่นและเงียบขรึม แต่ผิดกันยามอยู่กับสหายจะแสดงออกไปอีกมุมหนึ่งที่ดูนุ่มนวลลงมาหลายส่วน
“เม่ยเหม่ย มาทานมื้อเย็นเถิด เลยเวลาทานยาบำรุงแล้ว” ไป๋มี่อิงหันไปเอ่ยกับน้องสาวต่างมารดาด้วยความรักและความเป็นห่วง
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” ข้าตอบรับเจี่ยเจียไปด้วยรอยยิ้ม และเดินเข้าไปร่วมวงกับพวกเขาทั้งหมด
ยามนี้บนโต๊ะมีไป๋มี่อิง จิ้นฝาน ไป๋จิวเซียน ฮูหยินรองตระกูลไป๋ และไป๋ซิงหนี่ว์กับสหายของนางอีกหนึ่งคน สุดท้ายเป็นซิ่นสือที่ตามเข้ามาทีหลังพร้อมกับพระชายาของเขา เป็นกระโจมที่ค่อนข้างเงียบสงบ ค่อนไปทางเงียบเหงาซะส่วนใหญ่ เพราะมีคนนอกมาร่วมโต๊ะด้วย ดังนั้น สามสหายสุดซี้จึงนั่งสงวนท่าที เบนสายตาไปมองการแสดงหย่อนใจเบื้องหน้าแทน
ส่วนจิ้นฝานที่นั่งทอดสายตามองนางรำเบื้องหน้า มีความรู้สึกอึดอัดใจมากเป็นพิเศษ ด้วยนิสัยที่ไม่ค่อยสุงสิงกับผู้อื่น ได้อยู่กับสหายทั้งสองกลับไม่ได้สนทนาก็ว่าแย่แล้ว แต่เขายังต้องพยายามเบี่ยงหน้าหลบสายตาของหลิงจู สหายของไป๋ซิงหนี่ว์ที่มักลอบมองมาทางเขาอยู่ตลอดนี่น่ะสิ
เขาขบกรามแน่นผ่อนลมหายใจออกทางจมูก และเหลือบไปมองคุณหนูหลิงจูที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขาอย่างนิ่งงัน และกดคิ้วต่ำลงเป็นเชิงตำหนิเล็กน้อย ว่ายามนี้เขากำลังไม่พอใจกับพฤติกรรมของนาง
ส่วนหลิงจูที่สบเข้ากับดวงตาดุดันของจิ้นฝานก็ผงะตกใจตาโตเล็กน้อย หลุบตามองต่ำแสร้งยกสุราต้มอุ่นๆ เทลงจอกยื่นให้กับสหายตนเอง
“ข้าเทให้ ลองจิบดูหน่อย...รสชาติไม่ฉุนขึ้นจมูก” หลิงจูทำเพื่อบ่ายเบี่ยงการกระทำก่อนหน้านี้ของตนเอง คะยั้นคะยอให้ไป๋ซิงหนี่ว์ที่กำลังคีบถั่วคั่วเข้าปากนั้นดื่มสุราเข้าไปอย่างไม่รู้ตัว
“อึก” เสียงกลืนน้ำอึกใหญ่ที่ไหลเข้ามา เพราะข้าที่กำลังงุนงงได้ถูกยัดเยียดให้ดื่มบางสิ่งเข้าไปในปากไม่ทันตั้งตัว อีกทั้งยังเผลอดื่มเข้าไปจนหมด เพราะหลิงจูป้อนเข้ามาอย่างไม่เบามือเลย
“เจ้าเอาอันใดให้ข้าดื่ม…รสชาติมัน” ข้ากล่าวถามนางทันที รสชาติและกลิ่นนี้มันสุราชัดๆ “สุราต้มดอกเหมยกลิ่นหอมละมุน สตรีเช่นพวกเราดื่มได้ไม่บาดคอ” หลิงจูเอ่ยตอบเสียงหวาน
“เจ้า!” ข้ากล่าวออกไปอย่างลืมตัว เสียงน่าจะดังมากพอที่จะทำให้คนบนโต๊ะทั้งหมดหันมามองเป็นสายตาเดียวกัน
“ซิงหนี่ว์ เจ้าจะเสียงดังทำไม” หลิงจูตกใจกล่าวปรามสหายออกไป เพราะยามนี้นางเองก็ถูกจับจ้องด้วยเช่นกัน
“ข้าขอตัวก่อน…” ข้ากล่าวกระซิบกับนางด้วยความกังวลใจที่เริ่มก่อตัวขึ้น จะต้องรีบออกไปล้วงคอ มิเช่นนั้นเจ้าเด็กน้อยในท้องอาจจะ…พอกล่าวจบก็กวักมือเรียกเสี่ยวเมิ่ง แล้วเดินออกไปจากกระโจมทันทีอย่างรีบร้อน
“เจ้าจะไปไหน!” หลิงจูที่ถูกสหายทิ้งเลิ่กลั่กอยู่บนโต๊ะทำตัวไม่ถูกกับสายตาของทุกคนที่มองมา นางก้มหน้าต่ำลง และเอ่ยออกไปเสียงแผ่ว “ข้าขอตัวกลับไปยังกระโจมตระกูลหลิงก่อนนะเจ้าคะ ทูลลาไท่จื่อ และพระชายาเพคะ”
ข้ารีบวิ่งออกมาตรงด้านหลังกระโจม เบี่ยงหลบมาด้านข้างอยู่ห่างพอสมควร และหยุดยืนพักหายใจให้หายเหนื่อยที่รีบร้อนออกมาก่อนหน้านี้
“เกิดอันใดขึ้นหรือเจ้าคะ” เสี่ยวเมิ่งเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“เมื่อครู่ข้าเผลอดื่มสุราเข้าไปหนึ่งจอก...เสี่ยวเมิ่ง เจ้าไปช่วยถามความจากพวกหมอหลวงทีว่ามันจะอันตรายหรือไม่ ถ้าเข้าไปถามมิได้ค่อยไปบอกเจี่ยเจีย รีบไปเสีย” ข้าร่ายยาวออกไปทีเดียว พร้อมกับโบกมือไล่นางออกไปอย่างร้อนใจ
“ได้เจ้าค่ะ เอ่อ คุณหนูรองใจเย็นๆ รอบ่าวตรงนี้นะเจ้าคะ!” เสี่ยวเมิ่งรับคำ วิ่งแจ้นออกไป
