บทนำ ฝันร้าย / 4
“เสี่่ยวจิ้น เจ้าต่างหากที่กล่าววาจาพล่อยๆ ไหนลองกล่าวมาว่าสตรีผู้นั้นคือสตรีในฝันของเจ้าจริงๆ หรือแค่จะกล่าวเย้าข้าเล่นแค่นั้น” ไป๋มี่อิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“หืม” จิ้นฝานครางเสียงขึ้นอย่างแปลกใจ ก่อนจะกล่าวออกไปอีก “เจ้าอยากรู้ไปทำไมว่าสตรีในฝันข้ามีอยู่จริงหรือไม่...” เขากล่าวพลางเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความสงสัย
“ข้าอยากรู้ผิดด้วยหรือ ตกลงเจ้าฝันจริงแน่นะ” ไป๋มี่อิงบีบคั้นอีก
พอสิ้นคำกล่าวของเจี่ยเจียข้าก็รอฟังเขาอย่างใจจดใจจ่อเช่นกัน มันมิอาจห้ามตนเองไม่ให้ได้ยินเสียงสนทนาทั้งหมดนี้บนโต๊ะอาหารได้
“…” จิ้นฝานนิ่งงันขมวดคิ้วเข้าแน่นกว่าเดิม และกระแอมคอขึ้น “แอม!” และเบือนหน้าไปทางหน้าต่างทอดมองหลังคาบ้านเรือนด้านนอก พลางกล่าวขึ้นเนิบช้า
“ก่อนหน้านั้นข้าเคยฝันว่าได้เสียกับสตรีงามผู้หนึ่ง”
น้ำเสียงราบเรียบเฉกเช่นเดียวกับสีหน้ายามนี้ของเขา นิสัยตรงไปตรงมาต่อหน้าสหาย เขาจึงไม่ได้สงวนท่าที หรือรักษาหน้าตาเท่าที่ควร
เคร้ง! คำกล่าวของเขาส่งผลให้ข้ามืออ่อนขึ้นมาอย่างฉับพลัน ทิ้งตะเกียบหล่นตกลงบนโต๊ะ คืนนั้นมิใช่ว่าเขาหลงลืมไปหมดเสียเลยทีเดียว
อย่าได้กล่าวออกมา...ข้าอับอายเกินกว่าจะรับไหว เจี่ยเจียหยุดซักถามเขาต่อเลยเจ้าค่ะ หากท่านรู้ ท่านจะรู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้น และโทษตนเองเป็นต้นเหตุ
ริมฝีปากข้าสั่นไม่กล้ากล่าวห้ามนางออกไป หลุบตามองต่ำ หวังว่าคุณชายจิ้นจะไม่กล่าวถึงสาเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้นบนโต๊ะในยามนี้
และไม่ใช่เพียงไป๋ซิงหนี่ว์ที่ตกใจในคำกล่าวของจิ้นฝาน เยี่ยเปาและไป๋จิวเซียนก็ตระหนกในคำกล่าวตรงไปตรงมาของเขาด้วยเช่นกัน เรื่องเช่นนี้จิ้นฝานเอามากล่าวต่อหน้าผู้อื่นไม่อายปากแม้แต่น้อย
ไป๋ซิงหนี่ว์ก้มหน้าลงตาแดงระเรื่อ ภาวนาในใจไม่ให้เขากล่าวอะไรเกินเลยไปมากกว่านี้ พลันเสียงบุรุษผู้หนึ่งก็เอ่ยขึ้นมาช่วยชีวิตนางเอาไว้ได้ทันการณ์
“มี่เอ๋อร์ เสี่ยวจิ้น! ประเดี๋ยวจะโดนข้าเคาะหัว ลืมไปแล้วหรือว่าในห้องไม่ได้มีแค่พวกเราสามคน” ซิ่นสือที่รู้สึกไม่ชอบใจกับคำกล่าวของสหายจึงกล่าวห้ามปรามออกไปเสียงดุ
“เสี่ยวสือ คนกันเองทั้งนั้น นี่ก็น้องสาวข้า นั่นก็ฮูหยินใหญ่ ฮูหยินรอง ล้วนแต่เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน” ไป๋มี่อิงกล่าวแก้ต่างให้ตนเองกับจิ้นฝาน มุมปากทั้งสองโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มกว้าง และเบือนหน้าไปสนทนาจิ้นฝานต่อ ไม่ได้สนใจเสียงดุของซิ่นสือแม้แต่น้อย
“หากสตรีในฝันของเจ้าตั้งท้องขึ้นมา เจ้าจะทำอย่างไร”
ข้าที่นั่งบีบมือตัวเองบนตักหันหน้าขวับไปมองเจี่ยเจียทันที พี่สาวต้องการจะทำอันใดกันแน่! ถึงกระนั้นอีกใจหนึ่งก็ตั้งใจรอฟังคำตอบจากคุณชายจิ้นด้วยเช่นกัน ไม่กล้าเหลือบตาขึ้นไปมองสีหน้าท่าทางของเขาตอนที่กล่าวออกมาก็ตามที
“ฮึ่ม!” จิ้นฝานเค้นเสียงในคอขึ้น จากที่หันหน้ามองออกไปด้านนอกเบือนกลับมามองดวงหน้างามของสหายอย่างตกใจ เขาพินิจมองนางด้วยความสงสัยเคลือบแคลงอยู่ครู่หนึ่ง หรี่ตาดุลงเล็กน้อยราวกับว่ากำลังใช้ความคิด
และก็เกิดคำกล่าวขึ้นหนึ่งประโยคในใจ ‘นางกล่าวเช่นนี้...หรือเหตุการณ์ในคืนวันแต่งงานจะมีอะไรที่มากกว่านั้น”
เขานิ่งงันไปพักเดียว ถึงจะกล่าวออกมาต่อ “ก็น่าจะมีโอกาสตั้งท้องอยู่...ในฝันเหมือนข้าร่วมรักกับนางเกือบทั้งคืน หากนางตั้งท้อง ข้าคงจะรับเข้ามาเป็นอนุภรรยากระมัง” เขากล่าวออกไปกึ่งสนใจ และกึ่งไม่สนใจในประโยคหลังของตนเอง
ความจริงเรื่องคืนนั้นก็ติดใจเขาอยู่เช่นกัน...ถ้ามิใช่ไป๋มี่อิงที่เขาหลงคิดไปเอง ก็ต้องเป็นบ่าวใช้ของนางในคฤหาสน์ แต่ถึงกระนั้นเหตุใดต้องหลบหนีเขาไปด้วย ถ้านางอยู่เขาอาจจะรับผิดชอบ ถ้าจะให้เขามาป่าวประกาศถามความคนทั้งหมดก็คงไม่น่าดู
เขาจึงนึกคิดไปว่าการที่สตรีผู้นั้นหนีไปคงจะไม่ต้องการให้เขารับผิดชอบกระมัง
เคร้ง เคร้ง เคร้ง พอสิ้นคำกล่าวของเขาครู่เดียว ตะเกียบทั้งสามคู่ก็ร่วงหล่นลงบนโต๊ะอย่างพร้อมเพรียง เยี่ยเปามองตาค้าง จ้องมองดวงหน้าเข้มของจิ้นฝาน และเลื่อนไปมองดวงหน้าเห่อแดง ดวงตาคลอไปด้วยน้ำใสรื้นที่แดงไปไม่แพ้จมูกของไป๋ซิงหนี่ว์ในยามนี้
ข้าเม้มปากเข้า...บุรุษน่าชัง เขาจะรับผิดชอบด้วยการแต่งข้าเป็นอนุภรรยาน่ะหรือ มันไม่ต่างจากบ่าวใช้แม้แต่น้อย จะไปมีสิทธิ์มีเสียงในเรือนได้อย่างไรกัน
ข้ากำหมัดเข้าแน่นด้วยความโกรธ เขาเล่นดูถูกตระกูลไป๋เกินไปหรือเปล่า ตระกูลชั้นนำของเมืองหลวง แต่จะให้แต่งไปเป็นอนุภรรยา เป็นบุรุษที่ต่ำช้าเสมอต้นเสมอปลายเสียจริง!
ถ้าตามธรรมเนียมจริงๆ ก็เป็นไปตามที่จิ้นฝานกล่าว สตรีที่เสียพรหมจรรย์ก่อนแต่งงานเป็นเรื่องผิดต่อบรรพชน หากพวกนางไม่ถูกขับไล่ออกจากตระกูล ก็ต้องถูกแต่งเข้าไปในฐานะอนุภรรยาเท่านั้น มิอาจแต่งเป็นฮูหยินใหญ่ออกหน้าออกตาได้อีก
แต่ถึงกระนั้น ถ้ารู้จักตระกูลไป๋เป็นอย่างดี ย่อมรู้ว่ากฎระเบียบเหล่านี้เป็นเพียงคำกล่าวเลื่อนลอยทะลุหูพวกเขาไปเท่านั้น
ซิ่นสือที่กำลังคีบอาหารเข้าปากวางตะเกียบลงอย่างบนถ้วยอย่างหมดความอดทนในความทะลึ่งทะเล้นของสหายทั้งสองคน เขาหลับตาลงช้า ๆ สูดลมเข้าจมูกอ้าปากขึ้นตวาดเสียงดังลั่น
“พวกเจ้าทั้งสอง!!! มียางอายกันบ้างหรือไม่!!!” กล่าวจบก็ลุกขึ้น เอื้อมมือไปด้านหน้าดึงติ่งหูสหายทั้งสอง
“โอ๊ย! โอ๊ยยยยยย!!!” เสียงโอดครวญของคนทั้งสองดังประสานขึ้นเสียงหลง ลากยาวตามแรงดึงมือของซิ่นสือในยามนี้
“เบามือหน่อยเถิดไท่จื่อ หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ!” แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่ได้เจ็บมากพอที่จะทำให้ไป๋มี่อิงจอมทะเล้นหยุดกล่าววาจาหยอกเย้าเขา
“ไท่จื่อหรือ...มี่เอ๋อร์ เจ้าสมควรโดนเยอะกว่าเสี่ยวจิ้น” ซิ่นสือกล่าวพร้อมกับออกแรงดึงมากขึ้น และกล่าวออกไปต่ออีก
“ครานี้พวกเจ้าควรจะรู้จักสงวนคำกล่าวลามกพวกนั้นเสียที!”
เมื่อมีคนคอยห้ามปราม บนโต๊ะจึงกลับมาสนทนาเรื่องปกติกันตามเดิม แต่เรื่องที่สนทนานั้นยังคงวกวนอยู่แต่กับสตรีในฝันของจิ้นฝาน
ไป๋มี่อิง จิ้นฝาน และซิ่นสือ เป็นสหายต่างสถานะกันที่คบหากันมานานอย่างสนิทใจ แต่ในความสัมพันธ์นั้นกลับมีหนึ่งในสามที่ไม่สนิทใจกับสหายตนเองนั่นคือ จิ้นฝาน เขาเพิ่งจะรู้ใจตนเองก็ในวันที่มันสายไปแล้ว ไป๋มี่อิงที่เขาหลงรักแต่งงานกับเยี่ยเปา
พอถึงเวลานี้เขาก็ไม่อาจเอ่ยคำในใจออกไปให้นางรับรู้ได้อีก...
ส่วนไป๋มี่อิงเองนั้นจับความรู้สึกของน้องสาวต่างมารดาได้ ยามนี้นางหลุบตามองมือเล็กที่กำเข้ากับอาภรณ์จนยับยู่ เลือดวิ่งมาหล่อเลี้ยงจนกำปั้นเล็กๆ นั้นแดงซ่าน เส้นเลือดเส้นเอ็นปูดออกมาจากหลังมือ
จากนั้นก็เลื่อนสายตาไปมองสหายของนางที่นั่งไม่รู้สึกรู้สากับเรื่องที่ตัวเองทำเอาไว้ นางเอ่ยขึ้นในใจอย่างเนิบช้า
‘เสี่ยวฝานเอ่ย หากเจ้ามิโง่เขลาเหมือนหมู...จนมองไม่ออกว่าตนเองนั้นได้เดินออกจากเรือนซิงหนี่ว์ และทำการขืนใจนางเช่นนั้น เจ้าจะต้องเสียใจในภายหลังเป็นแน่’ นี่คือคำกล่าวราวกับประกาศิตประหักประหารจิ้นฝานของไป๋มี่อิง ว่าในอนาคตจะต้องเกิดเรื่องที่มิอาจคาดเดาขึ้นได้จากการวางแผนของนาง
“เม่ยเหม่ย…เจ้าต้องกินเยอะๆ ข้ากำชับให้คนครัวตั้งใจทำมาให้เจ้าโดยเฉพาะ” ไป๋มี่อิงเอ่ยกับนาง
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” ข้ากล่าวเสียงแหบแห้ง ภายในอกอึดอัดราวกับว่ามีลมอัดแน่นอยู่ด้านใน รู้สึกว่าหายใจค่อนข้างลำบากกว่าในเวลาปกติ คล้ายกับว่าลมนั้นอัดตัวแน่นจนเป็นก้อนแข็งๆ มากระจุกรวมอยู่ในคอ
ข้าก้มหน้าลงคีบอาหารเข้าปาก เคี้ยวและกลืนมันลงคออย่างไร้รสชาติ ลิ้นชาปากชาเพราะคำกล่าวดูถูกของคุณชายจิ้นเหมือนกับฝ่ามือตบลงบนใบหน้าข้าจนชาวาบไปหมด
เขาทำสตรีตั้งท้องโดยผิดขนบธรรมเนียม สิ่งแรกที่ควรจะทำนั่นคือกล่าวขอโทษนางจากใจจริง เป็นบุรุษมากไปด้วยแรง แต่ไม่รู้จักการรับผิดชอบทางใจและสำนึกผิดจริงๆ รู้จักแต่จะใช้วิธีการรับผิดชอบแบบมักง่ายไปเท่านั้น
เวลาผ่านไปสองเค่อ ทุกคนต่างก้มหน้าก้มตากินอาหารบนโต๊ะ และสนทนากันเรื่องประเพณีล่าสัตว์ที่จะจัดขึ้นที่เกาะเหวินเฉิง ปีนี้ไป๋มี่อิงตั้งใจว่าจะพาครอบครัวตนเองเข้าร่วมด้วย
เมื่อถึงเวลาอันสมควรจะต้องแยกย้ายกัน นางจึงกล่าวขึ้น “ข้าเพิ่งนึกออกว่าจะมีการค้านอกเมืองหลวง…อีกทั้งยังต้องพาฮูหยินใหญ่ไปด้วย เสี่ยวฝานไปส่งซิงหนี่ว์กับจิวเซียนที่คฤหาสน์ได้หรือไม่”
นางมักกล่าวเรียกสหายอย่างเอ็นดูอยู่เสมอ ไม่เสี่ยวจิ้นก็เสี่ยวฝาน พวกเขาทั้งสามเรียกกันอย่างสนิทสนมไม่อายผู้คน เพราะสายสัมพันธ์นี้หนาแน่นกันมานานเกือบสิบปี และผู้คนต่างรู้กันดีในความสนิทชิดเชื้อนี้
“ฮ้า…?” จิ้นฝานที่กอดอกทอดมองออกไปด้านนอกอยู่นั้น พลันขานรับเสียงสูงอย่างแปลกใจ เขาเบือนหน้ากลับมามองไป๋มี่อิง ขยุ้มคิ้วและตวัดตาไปมองไป๋ซิงหนี่ว์ที่นั่งก้มหน้าอยู่เล็กน้อยอย่างสงสัย
“รบกวนด้วย” ไป๋มี่อิงผู้หน้ามึนกล่าวออกไปต่อทันที กล่าวจบก็หันหน้าไปกล่าวกับสามีของนางที่นั่งหัวโต๊ะริมสุด
“สามี...วันนี้ข้าจะพาท่านไปรู้จักหน้าที่ของตระกูลไป๋” นางฉีกยิ้มกว้างถึงนัยน์ตาคู่สวย
จิ้นฝานที่เห็นท่าทางของไป๋มี่อิงจึงขบฟันแน่น ทำได้เพียงกล่าวบ่นออกมาอย่างหัวเสีย “มี่เอ๋อร์...เจ้านี่” แล้วเลื่อนสายตาไปมองทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่างต่อ
