บทนำ ฝันร้าย / 3
เมื่อกินข้าวเช้าเสร็จข้าจึงขอตัวกลับไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่ อืม...ว่าแต่แต่งกายเช่นไรดี ข้าเลือกหยิบอาภรณ์ที่ออกแบบเรียบง่ายสามชุด จากนั้นมินานก็มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นพร้อมกับเสียงสาวใช้ของเจี่ยเจีย
“เสี่ยวเมิ่งเองเจ้าค่ะคุณหนูรอง คุณหนูใหญ่ส่งข้ามาเป็นบ่าวประจำตัวดูแลท่าน” เสี่ยวเมิ่งเอ่ย
“เข้ามาเลย ข้ามิได้ขัดไม้” ข้าตอบนาง
“ว่าแต่คุณหนูทำอันใดอยู่หรือเจ้าคะ” เสี่ยวเมิ่งเอ่ยถามคุณหนู
“กำลังเลือกชุดอยู่ เจ้าว่าข้าควรจะใส่สีไหนดี ระหว่างสีเหลืองกับสีฟ้า” ข้าเอ่ยถาม
“สีไหนก็เหมาะกับคุณหนูทั้งนั้นเลยเจ้าค่ะ” เสี่ยวเมิ่งปากหวานกล่าวเอาใจ
“ตอบมา ข้าต้องการให้เจ้าเลือก มิใช่มากล่าวเอาใจเช่นนี้” ข้าเอ่ยไปตามตรง
เสี่ยวเมิ่งยิ้มแห้งๆ นางลืมนึกไปเลยว่าคุณหนูใหญ่กับคุณหนูรองนั้นต่างกัน คุณหนูใหญ่อะลุ่มอล่วยอะไรก็ได้ อีกทั้งยังใจดี แต่คุณหนูรองนั่นค่อนข้างเนี้ยบเป็นพิเศษ ถ้าจะกล่าววาจาหยอกล้อเล่นด้วยจะถูกตอกกลับตรงไปตรงมาเช่นนี้
“แฮ่ม...สีเหลืองก็ดีนะเจ้าคะ ดูสดใสดี” เสี่ยวเมิ่งกระแอมคอก่อนจะกล่าวออกไป
“เอาสีเหลืองตามเจ้ากล่าว...ประเดี๋ยวมาช่วยทำผมให้ข้าด้วย” ข้ากล่าวจบก็เดินไปหลังฉากไม้กั้นฉลุลายเถาวัลย์องุ่น ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ให้เรียบร้อย และเดินกลับมานั่งโต๊ะเครื่องแป้ง
“ว่าแต่คุณหนูจะให้ข้าทำทรงไหนดีเจ้าคะ” เสี่ยวเมิ่งหยิบหวีไว้ในมือกล่าวถาม
“ม้วนขึ้นเป็นมวยสองอันติดปิ่นดอกไม้เรียบง่ายก็พอแล้วกระมัง” ข้าตอบ พินิจมองดวงตาดำคล้ำของตนเอง
ความงามที่เฝ้าถนอม บำรุงดูแลมาอย่างดี บัดนี้ราวกับคนป่วยอดหลับอดนอน จนเป็นริ้วๆ ใต้ดวงตาเช่นนี้ เฮ้อ…ถึงคราต้องลุกขึ้นมารับมือกับเรื่องเหล่านี้สักที ถ้ายังจมปลักอยู่ ข้ากับเด็กน้อยนี้คงจะมิพ้นหนึ่งปีต้องตายจากกันไปข้างหนึ่ง เมื่อครุ่นคิดเสร็จก็จัดการผลัดแป้ง เขียนคิ้ว แต่งหน้าแต่งตาไม่ให้ทรุดโทรมไปมากกว่านี้
เอี๊ยด...เอี๊ยดด เสียงรถม้าที่สั่นโคลงไปมา ล้อของมันเคลื่อนผ่านเมืองหลวงที่ขวักไขว่ไปด้วยผู้คนแน่นขนัด เป็นเมืองแห่งการค้า จึงมิต้องเอ่ยเลยว่าร้านข้างทางธรรมดายังมีลูกค้ายืนเรียงรายรอคิวอยู่สามสี่คน ข้าเลิกผ้าม่านขึ้นมามองทิวทัศน์ด้านนอก มองผู้คนวุ่นวายทำธุระของตนเอง
ตัดสินใจถูกแล้วที่ติดตามเจี่ยเจียออกมาด้านนอก ยามนี้จิตใจปลอดโปร่งมากขึ้น สูดกลิ่นหอมจากร้านอาหาร กลิ่นเครื่องหอมของร้านที่เพิ่งเคลื่อนผ่านไป
“ผ่อนคลายลงแล้วสินะ” ไป๋มี่อิงที่ลอบมองสีหน้าของน้องสาวกล่าวทักขึ้น ดวงหน้างามที่บึ้งตึงยามนี้มีรอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นมาแทน
“ผ่อนคลายลงมากเลยเจ้าค่ะ” ข้าเอ่ยตอบ หันกลับไปฉีกยิ้มให้เจี่ยเจีย
“ดีแล้ว” ไป๋มี่อิงเอ่ย ดวงตาประกายเจ้าเล่ห์เล็กน้อย เลื่อนมองออกไปทางหน้าต่าง
โรงเตี๊ยม
ข้าเดินลงจากรถม้าโดยมีเจี่ยเจียคอยประคองแขน กวาดตามองผู้คนที่เดินเข้าออกโรงเตี๊ยมไม่ขาดสาย คนหนึ่งออก คนหนึ่งเข้า ดูท่าโรงเตี๊ยมของตระกูลไป๋ข้าจะค้าขายร่ำรวยอยู่ไม่น้อย
จากนั้นมินานมากก็มีบุรุษร่างเล็กที่มีนามว่าจิวฉิง ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมสาขาเมืองหลวงวิ่งออกมาต้อนรับ เขาประกบมือทำความเคารพข้าและพี่สาว
“คารวะนายหญิงขอรับ” จิวฉิงกล่าวอย่างนอบน้อม ลอบมองบุรุษงามทั้งสองด้วยความตกตะลึง คนหนึ่งดวงหน้าหล่อเหลาคมคาย อีกคนผมสีเงินดวงหน้างามรับเครื่องหน้าทั้งหมดที่ยืนอยู่หลังไป๋มี่อิง
“คุณชายจิ้นและไท่จื่อมาถึงหรือยัง” ไป๋มี่อิงที่ยืนเอามือไพล่หลังกล่าวขึ้นเสียงเรียบ หลังมื้อเช้านางเรียกหูทิพย์ตาทิพย์สวรรค์ออกมาสั่งการให้เชิญสหายทั้งสองมาพบปะกันที่โรงเตี๊ยม
ไท่จื่อแคว้นซิ่น มีนามว่าซิ่นสือ ส่วนสหายอีกคนคือ จิ้นฝาน บุตรชายคนโตของเสนาบดีกรมพระคลัง ทั้งสองเป็นสหายสนิทของไป๋มี่อิง
“มาแล้วขอรับ ยามนี้อยู่ชั้นสองในห้องรับรอง” จิวฉิงกล่าวตอบอย่างนอบน้อม
ข้ายืนฟังจิวฉิงสนทนากับเจี่ยเจีย ก็ได้ยินชื่อของบุรุษผู้นั้น พลันขนทั่วกายได้ลุกชูชันขึ้นอย่างนึกขยาด ไม่รู้ว่าเจี่ยเจียคิดอันใดอยู่กันแน่ ถึงไม่บอกว่าเขาจะมาด้วย
ข้าจึงสาวเท้าเดินเข้าไปขนาบข้างถามความออกไปให้กระจ่าง
“เจี่ยเจีย ท่านชวนคุณชายจิ้นมาด้วยหรือเจ้าคะ”
“หืม...พี่ชวนมาด้วยรึ” ไป๋มี่อิงครางเสียงขึ้นสูงอย่างแปลกใจ ตีมึนตอบกลับ แล้วก้าวเดินนำเข้าไปในโรงเตี๊ยม
“เจี่ยเจีย!” ข้าหลุดเรียกนางออกไปเสียงดัง ท่าทางตีมึนเช่นนั้นคืออันใด ดูก็รู้ว่านางจงใจให้เป็นเช่นนี้
ข้าเดินเข้ามาด้านในห้องรับรอง หลุบตามองปลายรองเท้าตนเอง กลืนน้ำลายลงคอไปหลายอึก ด้านในนี้มีปีศาจที่ข่มเหงเคี่ยวกรำข้าในคืนนั้น เขาผู้ที่เป็นฝันร้ายหลังหลับตานอน
ข้ายืนนิ่งฟังเสียงเจี่ยเจียแนะนำไป๋จิวเซียนและคุณชายเยี่ยให้กับไท่จื่อ และบุรุษเลวนั่นรู้จักกัน จากนั้นถึงจะได้ยินเสียงนางเรียกข้าให้เข้าไปนั่งลงด้านข้าง
บรรยากาศดูสนุกสนาน ผู้คนในโต๊ะล้วนแต่นั่งสนทนากัน เหตุใดข้าถึงรู้สึกอึดอัดเยี่ยงนี้ได้...
หัวข้อสนทนานี้ย้อนกลับไปเมื่อสิบสี่ปีก่อน ในตอนที่ข้ายังเล็ก ได้ออกไปคฤหาสน์ตากอากาศนอกเมืองหลวงกับครอบครัว
ในวันนั้นได้มีโจรบุกเข้ามาเข่นฆ่าคนในคฤหาสน์ จึงเป็นสาเหตุให้ท่านแม่ของข้าสิ้นชีพลง และผู้ที่บุกเข้ามาช่วยเหลือพวกเราสองพี่น้องนั่นคือคุณชายเยี่ย หรือพี่เขยของข้าในยามนี้
ข้ารู้สึกแปลกใจในการสนทนาระลึกความหลังนี้ มองดวงหน้าเจี่ยเจียกับคุณชายเยี่ยสลับไปมา และหลุบตาลงมองมือที่ประสานบนตักของตนเองต่อ
ฟังเสียงรอบกายที่ผ่านเข้ามาในหูแลดูวุ่นวาย แต่ถึงกระนั้นข้าก็ยังจับจ้องมองมือตัวเองไม่ไหวติง
ตระกูลไป๋ของข้าเป็นตระกูลที่แปลกมาก บุตรคนแรกที่เกิดมาไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายจะต้องแต่งฮูหยินเข้าตระกูลเท่านั้น อีกทั้งยังต้องรับฮูหยินรองจากตระกูลไป๋สายรองเข้ามาอีกด้วย ดังนั้น เจี่ยเจียในฐานะบุตรคนแรกของตระกูล จึงค่อนข้างวุ่นวายทำงานหนักมากเป็นพิเศษ ไป๋จิวเซียนถูกรับเข้ามาในฐานะฮูหยินรอง ร่างกายไม่สมประกอบดี เขาเป็นบุรุษอ่อนแอและตาบอด
เมื่อครู่นี้จากที่ข้าฟังเขามีอาการกำเริบปวดหัวขึ้นมาเสียดื้อๆ เจี่ยเจียจึงรีบรุดเข้าไปดูอาการและถามไถ่
จากนั้นไม่นานมากความสงบในโต๊ะก็กลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม พร้อมกับอาหารมากมายถูกเรียงรายนำมาวางไว้เต็มโต๊ะ กลิ่นอาหารหลายอย่างผสมรวมกันชวนเวียนหัวขึ้นมา
กลิ่นของมันพะอืดพะอมอยู่ในคอ ไม่ถึงกับมวนท้องอาเจียนออกมา กลิ่นนี้ข้ายังพอรับไหวอยู่
ข้าผ่อนลมออกทางจมูก กำหนดจิตไม่ให้ว่อกแว่กเหลือบมองไปทางหน้าต่างเป็นอันขาด จะทำเสมือนว่าเขาไม่มีตัวตนอยู่ร่วมห้อง
พลันก็มีเสียงหนึ่งกล่าวขึ้นจากการหยุดเงียบสนทนาไปเมื่อครู่นั้น
“อาหารเหล่านี้คล้ายกับอาหารบำรุงครรภ์ก็มิปาน” เยี่ยเปากล่าว
บุรุษร่างกายใหญ่โตสวมอาภรณ์สีเขียวเข้ม มีผิวสองสี คิ้วเข้มดุจกระบี่ ดวงตาดุดัน ริมฝีปากหนา ปลายจมูกโด่งงุ้มเข้าเล็กน้อย วางสุราในมือลงบนโต๊ะ ปริปากกล่าวออกมาเสียงทุ้มติดไปทางแหบ
“หืม...? จะว่าไปก็คล้ายอยู่” จิ้นฝานกล่าวเสริม หลุบตามองอาหารหลากหลายที่วางอยู่บนโต๊ะ
เขาเป็นบุตรคนโตสุด มีพี่น้องมากมาย ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าเหตุใดถึงรู้จักอาหารเหล่านี้ได้ ยามมารดาตั้งครรภ์เขาเองก็อยู่ร่วมสำรับกับนางด้วยตลอด
“เสี่ยวจิ้นไปทำสตรีที่ไหนตั้งท้องมารึ เจ้าถึงรู้ได้” ไป๋มี่อิงเอ่ย ยกมุมปากขึ้นยิ้ม
“มี่เอ๋อร์…กล่าววาจาพล่อยๆ คนอย่างข้ารึจะทำสตรีที่ไหนตั้งท้องได้” จิ้นฝานยกแขนขึ้นกอดอกกล่าวเสียงเรียบนิ่ง ดวงตาดุตวัดมองสตรีด้านข้างไป๋มี่อิงเล็กน้อย กดหัวคิ้วลงต่ำ
ข้ากำมือแน่นฟังคำกล่าวอย่างไม่รู้สึกรู้สาของเขาอย่างเจ็บแค้น เขาลืมเรื่องคืนนั้นอย่างง่ายดายเพียงข้ามคืน กลับทิ้งรอยมลทินให้ข้าชั่วชีวิต
“เสี่ยวจิ้นหนอ…บางคราเจ้าอาจจะหลงลืมไป ถ้าหากเจ้าไปทำสตรีท้องขึ้นมาจะทำอย่างไร” ไป๋มี่อิงมิวายกล่าวไล่ต้อนเขาออกไปต่อ
จิ้นฝานกัดปากแน่น หัวคิ้วเข้มขมวดเข้าครุ่นคิดในคำกล่าวแปลกพิลึกพิลั่นของไป๋มี่อิง ดวงตาดุดันสบตาสหายครู่หนึ่ง ถึงจะเอ่ยออกไป
“ถ้าสตรีที่ข้าล่วงเกินนอกจากนางโลมแล้วนั้น ก็คงจะเป็นสตรีที่อยู่ในความฝันกระมังที่จะตั้งท้องกับข้าได้”
เป็นสตรีที่คลับคล้ายคลับคลาเหมือนสหายของเขาในความฝัน คืนนั้นเขามีสัมพันธ์ชู้สาวกับนาง พลันพอรู้ตัวตื่นขึ้นมาที่ศาลาในสวน กลับเหลือเพียงความว่างเปล่า กับเขาที่เปลือยเปล่าอยู่เท่านั้น
