บทนำ ฝันร้าย / 5
สุดท้ายเขาก็ยอมทำตามคำขอของนาง เพราะไป๋จิวเซียนผู้มีผมสีเงินนั้นร่างกายอ่อนแอ จากที่เขาเห็นก่อนหน้านี้ จิวเซียนผู้นี้เป็นฮูหยินรองเพียงในนามตามสถานะของตระกูลไป๋
ถึงกล่าวบอกว่าถ้ารู้จักตระกูลไป๋นี้ดี จะรู้ว่าเป็นตระกูลที่มีความซับซ้อนเกินกว่าคนทั่วไปจะเข้าใจได้ สถานะใดที่เป็นของสตรี ตระกูลนี้ก็สามารถทำให้บุรุษเป็นได้อย่างทัดเทียมด้วยเช่นกัน
เพราะสาเหตุหลักนี้ ต่อให้เขาบอกรักไป๋มี่อิงไป ก็มิใช่ว่าจะได้นางแต่งเข้ามาเป็นฮูหยิน แต่กลับเป็นเขาต้องแต่งเข้าไปเป็นฮูหยินเสียเอง
เรื่องราวคงจะไม่ง่ายเพียงเท่านั้น เขาเป็นบุตรชายคนโต มีหน้าที่สืบสกุล ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลจิ้นคนต่อไป มิอาจทำตามกฎของตระกูลไป๋ได้ ต่างจากเยี่ยเปาที่เป็นบุตรชายเล็กของแม่ทัพใหญ่แคว้นซิ่น ที่มีบิดามารดาสนับสนุนเห็นดีเห็นงามด้วยกับการแต่งงานนี้
เรื่องราวผ่านไปแล้วมีแต่ต้องทำใจยอมรับ และยินดีกับสหายที่ออกเรือนแต่งงาน ขอให้นางใช้ชีวิตคู่อย่างเป็นสุขก็พอแล้ว...
หน้าโรงเตี๊ยม
ลำคอข้าตีบตันก้าวเดินมาหยุดหน้ารถม้าเพื่อเตรียมจะเดินทางกลับคฤหาสน์ไป๋ ก่อนหน้านี้ข้าอ้อนวอนเจี่ยเจียว่าไม่ต้องให้คุณชายจิ้นไปส่ง แต่ทว่านางกลับไม่ยินยอมเปลี่ยนใจ และกล่าวเพียงว่า
‘น้องรักเชื่อใจพี่นะ’ เป็นประโยคสั้นๆ ที่แฝงบางสิ่งเอาไว้ เหตุใดตัวข้าถึงมั่นใจในคำกล่าวนี้ได้
เมื่อล่ำลาพี่สาวเสร็จแล้วจึงรวบอาภรณ์ขึ้นเล็กน้อยเพื่อจะเดินขึ้นรถม้าไป พลันก็มีเสียงหวานของเจี่ยเจียดังขึ้นมากะทันหัน
“เสี่ยวฝานประคองนางขึ้นรถม้าที” ไป๋มี่อิงเอ่ยเสียงเรียบ แต่กลับแฝงไปด้วยน้ำเสียงสั่งการ
จิ้นฝานที่ยืนตัวใหญ่กอดอกพิงรถม้าอยู่นั้น มุมปากพลันก็กระตุกขึ้นมา เขาใช้หางตามองไป๋ซิงหนี่ว์เล็กน้อย ก่อนจะจำใจเดินเข้าไปยื่นแขนให้นางจับประคองเดินขึ้นรถ แต่ทว่าสาวงามกลับเมินเฉยเขาไปเสียอย่างงั้น
ข้าเผลอเหลือบตาไปมองเขา สบเข้ากับดวงตาดุนั้นเข้าพอดี มันฉายแววความไม่พอใจออกมา พอๆ กับสีหน้าของเขายามนี้ ในหัวข้าขบคิดวนเวียนถึงสาเหตุการแสดงออกของเขา ว่าเหตุใดถึงไม่ชอบหน้ากัน ข้าไม่เคยข้องแวะยุ่งเกี่ยวกับเขา สนทนาจริงๆ จังๆ สักครั้งก็ไม่เคย
เฮ้อ...เอาเถิด จะเกลียดข้าเพราะสาเหตุใดก็ตามแต่ ข้าเองก็เกลียดเขาด้วยเช่นกัน พลันพอคิดเช่นนั้นจึงชักสายตากลับมา ก้าวเดินขึ้นรถม้าเข้าไปด้านในด้วยตนเอง
จิ้นฝานที่เห็นท่าทางเมินเฉยที่แสดงออกของไป๋ซิงหนี่ว์ คิ้วเข้มถึงกับกดต่ำลง เม้มปากเข้าเล็กน้อยมองนางที่เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยทำราวกับว่าเขาเป็นอากาศอย่างหน้าตาเฉย และเดินผ่านเข้าไปในรถ
‘นางตั้งใจเมินข้ารึ’ เขาเกิดคำถามขึ้นในใจ เก็บงำอารมณ์ขุ่นมัวเอาไว้ แล้วเดินไปประคองไป๋จิวเซียนขึ้นรถม้าต่อ
รถม้า
ข้านั่งหัวสั่นในรถม้าที่เคลื่อนอยู่บนถนน วันนี้ชาวเมืองออกมาจับจ่ายซื้อของแน่นถนนสองฝั่ง จึงเป็นเหตุให้การสัญจรติดขัดกว่าขามาอยู่มาก
หายใจเข้า หายใจออก ข้ากำหนดลมหายใจอดทนต่อความรู้สึกกระอักกระอ่วน เพราะก่อนหน้านั้นคีบอาหารเข้าปากเพลินไปหน่อย ตอนนี้ถึงต้องมานั่งอดทนฝืนกลั้นไม่ให้มันปะทุขึ้นมาในคอ ไม่มีกะจิตกะใจสนใจแขกที่นั่งร่วมรถกลับมาด้วย
โครก...ข้าได้ยินเสียงท้องที่ดังออกมาเบาๆ หัวก็สั่นจนเวียนหัวไปหมด ดวงตาเริ่มมองเห็นเป็นภาพซ้อนเบลอเล็กน้อย ข้าเอื้อมมือไปด้านหน้าเคาะผนังไม้
ก๊อก...ก๊อก!
“นี่เจ้าคนรถ! หยุดม้าประเดี๋ยวแล้วลงไปซื้อกระโถนมาให้ข้าก่อนที” ข้ากลั้นใจกล่าวออกไป
“ฮึ” พลันเสียงเค้นจมูกของบุรุษดังขึ้น จิ้นฝานนั่งอยู่ตรงทางออกติดริมประตู ฟังคำกล่าวและน้ำเสียงไป๋ซิงหนี่ว์ด้วยความตลก ปรายตามองนางที่นั่งยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดปากเล็กน้อย
ในหัวของเขายามนี้กำลังดูแคลนนางในใจ คำกล่าวคำจา การแสดงออกของนางล้วนไม่ถูกจริตของเขาแม้แต่น้อย ไป๋ซิงหนี่ว์เป็นคนกล่าวถือตัว น้ำเสียงหวานสูงไม่เข้าหู การแสดงออกราวกับตนเองเป็นนางฟ้านางสวรรค์อยู่สูงกว่าผู้อื่น
ข้าไม่ได้สนใจที่มาของเสียงขึ้นจมูกของเขา ยามนี้ปากสั่นระริก ฟันขบกันในปาก อดทนไม่ให้อาหารที่กินเข้าไปพุ่งออกมา ร่างกายข้าย่ำแย่ลงกว่าแต่ก่อนมานัก
คนรถเลิกผ้าม่านขึ้นหันหน้ามาเอ่ยถามคุณหนูรองที่เคาะผนังเรียกเขาก่อนหน้านี้ เพราะด้านนอกนี้เสียงมันเซ็งแซ่จึงได้ยินไม่ชัดเท่าไรนัก
“เมื่อครู่คุณหนูกล่าวอันใดหรือขอรับ”
“วิ่งไปซื้อกระโถน!! มาเดี๋ยวนี้” ข้ากล่าวสั่งขึ้นทันที
“ขอรับ! บ่าวขอหาที่จอดรถม้าก่อน” คนรถลุกลี้ลุกลนรับคำ ดึงสายบังเหียน ฟาดแส้ลงม้าบังคับเข้าไปจอดหน้าร้านขายผ้า เพื่อจะลงไปซื้อกระโถนในตลาดให้ผู้เป็นนาย
อาการเวียนหัว มวนท้องอาเจียนเกิดจากอาการแพ้ท้องที่มีมากกว่าปกติ รวมกับสภาวะจิตใจที่กดดัน ต้องนั่งอยู่ในรถม้าคันเดียวกับจิ้นฝาน และเจอเรื่องราวกระตุ้นความรู้สึกก่อนหน้านั้นที่โรงเตี๊ยม จึงส่งผลให้ร่างกายของนางแปรปรวนเช่นนี้
ส่วนจิ้นฝานที่นั่งกอดอกมาตลอดทางชำเลืองมองไป๋ซิงหนี่ว์ที่นั่งก้มหน้าเอาผ้าเช็ดปิดปากอย่างรำคาญใจ
ไม่รู้ว่าครานี้น้องสาวของสหายเขาเป็นอะไรไปอีก ครั้งที่แล้วก็ทำให้ไป๋มี่อิงจมน้ำเกือบตาย เหตุไฉนถึงเป็นสตรีที่ชอบเรียกร้องความสนใจไม่หยุดไม่หย่อน
ไป๋จิวเซียนนั่งนิ่งพลันก็เอ่ยขึ้นทำลายบรรยากาศขมุกขมัวของบุคคลทั้งสองภายในรถ
“เป็นอันใดหรือ คุณหนูรอง”
“ข้าเมารถม้าเพียงเล็กน้อย อาหารก่อนหน้าที่เพิ่งกินเข้าไปคล้ายจะออกมา” ข้าตอบเขา
จิ้นฝานที่ได้ยินคำตอบของนางมุ่นคิ้วเข้า ชำเลืองสายตาไปมองเล็กน้อย และก็ละความสนใจจากนางไปมองทางอื่นต่อ
จากนั้นไม่นานคนรถก็กลับมาพร้อมกับกระโถนใบน้อย ก่อนจะยื่นส่งไปให้ไป๋ซิงหนี่ว์ด้านในรถม้า
ข้ารับกระโถนมา กำมันเอาไว้แน่นในมือ กลืนน้ำลายลงคอรอบที่สอง แล้วอาหารก็ตีพุ่งขึ้นมาทางปากทันที
ภาพลักษณ์ใดๆ ที่เคยรักษา ยามนี้ปลดระวางลง โก่งคออ้าปากเอาอาหารที่กินไปก่อนนั้นออกมาจนหมดท้อง
“เอ่อ...แวะโรงหมอก่อนดีไหม” จิวเซียนที่ได้ยินและสูดดมกลิ่นเหม็นเปรี้ยวแปลกๆ จึงเอ่ยทัก
“ข้าดีขึ้นมากแล้ว...ขอบใจที่ท่านเป็นหะ...” ปึง!! ข้ายังกล่าวไม่ทันจบก็มีเสียงเปิดรถม้า ตามมาด้วยเสียงปิดประตูดังขึ้นขัดจังหวะการพูด
ข้าจึงช้อนสายตาขึ้นไปมองที่นั่งอันว่างเปล่า ไร้ร่างบุรุษโฉดผู้นั้น
แค่นี้ทำเป็นทนไม่ได้ ข้าต้องอาเจียนเช่นนี้เป็นเพราะใครกัน! ข้าเอ่ยขึ้นในใจอย่างนึกโมโห
จิ้นฝานย้ายที่ออกมานั่งด้านข้างคนรถ ถ้าจะให้เขานั่งสูดดมกลิ่นเสียของไป๋ซิงหนี่ว์ตลอดทางก็คงจะไม่ไหว
การเดินทางแสนอึดอัดได้จบลง ข้าเดินลงจากรถม้าเรียกให้บ่าวพาไป๋จิวเซียนกลับเรือน ส่วนตนเองก็เดินออกมาโดยไม่คิดจะร่ำลาคุณชายจิ้น หรือหันไปมองเขาแม้แต่หน่อย
จิ้นฝานกอดอกหรี่ตามองไป๋ซิงหนี่ว์เดินเชิดเข้าประตูไป ไม่คิดจะกล่าวขอบคุณเขาแม้แต่น้อย
เขาเลื่อนหน้ากลับมามองไปทางถนนเบื้องหน้า และส่ายหน้าไปมาเบาๆ
หนึ่งเดือนถัดมา
วันนี้เป็นประเพณีล่าสัตว์ที่เกาะเหวินเฉิง ข้าตื่นตั้งแต่ยามเหมา เลือกชุดอยู่นานสองนาน
ถึงแม้ว่าท้องจะไม่ได้ใหญ่มากจนมองออก แต่ก็ควรป้องกันสายตาสาดส่องจับผิดของผู้คนไว้ก่อน
คล้ายเหมือนจะคิดมากไปเองที่ระแวงเกินเหตุ ข้าจะเอ่ยอันใดให้ฟัง
‘บัณฑิตที่ว่าฉลาด แต่กลับถูกตำหนิเรื่องหน้าตาและวิธีการพูด’ ความหมายที่สื่อถึงอยู่ในประโยคนั้นทั้งหมด
“เจ้าหนู ถ้าแม่ใส่ชุดนี้เจ้าจะอึดอัดไหมน้าา…” ข้าก้มไปกล่าวกับลูก
นานวันเข้าก็เริ่มทำใจยอมรับ ขบคิดตามคำกล่าวของเจี่ยเจีย ว่าต้องเรียนรู้จะมองปัญหาให้กระจ่าง
อีกทั้งหากมามัวนั่งทุกข์ใจ เจ้าหนูนี่ในท้องอาจจะเป็นอันตรายเอาได้
ข้าเลือกหยิบเสื้อแขนยาวสีขาวใส่ไว้ด้านใน และเลือกหยิบกระโปรงที่พองมากเป็นพิเศษสวมทับอีกรอบ
กระโปรงสีเขียวอ่อนนี้จะสวมขึ้นเหนือหน้าอกและมีเข็มขัดคาดรัดเอาไว้อีกที จึงไม่มีปัญหาว่าเจ้าหนูจะอึดอัด
ข้าหมุนกายหน้ากระจกทองเหลือง หันข้างมองท้องตนเองที่ถูกอำพรางไปกับชุด นับว่าพอใจยิ่งนัก
“ลูกพร้อมหรือยัง” ข้ายกแขนขึ้นลูบท้อง พร้อมเอ่ยกับเขา และผ่อนลมหายใจออกมา
การแสดงออกเช่นนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นการหลอกตนเองหรือเปล่า แต่ถึงกระนั้นช่วงหนึ่งเดือนมานี้ก็ไม่ได้สะดุ้งตื่นกลางดึกอีกแล้ว
เอาเถิด...ความทุกข์นี้ใช่ว่าจะอยู่กับข้าตลอดไป คิดเสียว่ามันแค่ช่วงเวลาหนึ่ง มินานก็ผ่านพ้นไป
ส่วนเสี่ยวเมิ่งที่เก็บของใส่หีบเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น ก็เดินมาเคาะประตูห้องคุณหนูรอง ก่อนจะกล่าวออกไป
“คุณหนู ข้าเก็บของเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
“เสร็จแล้วรึ…เช่นนั้นมาช่วยทำผมให้ข้าที” ข้าตะโกนตอบนางกลับ
เสี่ยวเมิ่งผลักประตูเข้าไปในห้อง มองหญิงสาวที่แต่งกายสวยงาม ประทินโฉมดวงหน้าออกมาดูอิ่มเอิบราวกับคนมีความสุขดี จึงเอ่ยทักตามประสาคนช่างจ้อ
“วันนี้คุณหนูแต่งกายสวยงามมากนัก”
“ช่างกล่าววาจาประจบยิ่งนัก...รีบมาทำผม” ข้ากล่าวเลียนแบบนาง ก่อนจะเร่งรัดให้รีบเดินเข้ามา
เสี่ยวเมิ่งเริ่มคุ้นชินกับนิสัยของคุณหนูรอง ต่อหน้าไป๋มี่อิง ไป๋ซิงหนี่ว์จะมีนิสัยขี้อ้อนเอาแต่ใจนิดๆ หน่อยๆ แต่พอมาอยู่กับบ่าวก็จะเถรตรง คิดเช่นไรก็กล่าวออกไปเช่นนั้นเลย
นางติดออกไปทางสตรีมากความปากจัดอยู่เล็กน้อย อีกทั้งชอบแสร้งวางท่าต่อหน้าผู้คน เจ้าแผนการแบบเด็กสาว แตกต่างจากไป๋มี่อิง พี่สาวต่างมารดา ที่เจ้าแผนการแบบจอมบงการผู้อื่น แต่ถึงกระนั้นความร้ายกาจของนางใช่ว่าจะเหมือนมดกัดเสียที่ไหน
