บทที่ 3 ราชสีห์หรือแค่หมาป่า
ร่างสูงกำยำที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่กับเครื่องออกกำลังกายต้องหยุดตัวเอง เมื่อเห็นร่างสันทัดคุ้นตาเข้ามายืนอยู่ไม่ห่าง เขายันกายขึ้นยืนแล้วพยักหน้าให้อีกฝ่ายเป็นเชิงบอกว่าพร้อมจะฟังแล้ว
“มีคนเสนอซื้อที่ดินตรงย่านเมืองเก่าครับ”
“แปลงไหนล่ะ”
“ตึกแถวและตลาดสด”
“อืม...ละแวกที่ทำกินของพ่อค้าแม่ค้าที่น่าสงสารที่ส่งจดหมายมาขอความเห็นใจสินะ เร็วขนาดนั้นเชียวหรือนายธันว์”
แม็กซ์เวลปิดท้ายด้วยประโยคคำถามที่ยากต่อการเข้าใจ โดยไม่สนใจว่าคนส่งข่าวจะงุนงงในถ้อยคำสักแค่ไหน
“เร็ว? บอสหมายถึงอะไรครับ”
ธันว์ถามเพราะนึกตามไม่ทันเจ้านายหรืออีกนัยก็คือญาติที่คุ้นเคยกัน…หากว่าคำตอบที่เขาได้รับนั้นกลับเป็นการติงเสียงเข้มไปอีกทาง
“ที่นี่เป็นบ้านฉัน ไม่ใช่ที่ทำงาน นายเลิกเรียกฉันว่าบอสได้แล้ว”
“ไม่ได้หรอกครับ ผมกำลังทำงาน”
“งั้นตามสบาย ตอนนี้สี่โมงเย็น ยังอยู่ในเวลางานของนาย”
แม็กซ์เวลไหวไหล่ แล้วเดินนำออกจากห้องออกกำลังกาย ตรงเข้าไปในพื้นที่ของตัวบ้านที่เชื่อมถึงกัน
ชายหนุ่มหยิบขวดน้ำออกมาจากตู้เย็นที่ตั้งอยู่ใกล้บาร์เครื่องดื่ม แล้วเดินไปยังโถงด้านหน้าบ้าน โดยมีอีกคนเดินตามเพราะเรื่องที่พูดคุยกันนั้นยังไม่จบลง
“แล้วใครล่ะที่นายบอกว่าขอซื้อที่ดินแปลงนั้น”
“เป็นนายทุนจากฮ่องกงครับ”
“งั้นหรือ”
แม็กซ์เวลพยักหน้ารับรู้ หากสีหน้าดูครุ่นคิด เขาทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง มองทิวทัศน์ไกลๆ
จากจุดนี้ซึ่งเป็นบ้านสองชั้นรูปแบบสมัยใหม่ที่ปลูกสร้างบนพื้นที่กว้าง บริเวณเนินดินที่มีระดับสูงพอสมควร จึงทำให้มองเห็นวิวของเมืองเชียงราชค่อนข้างชัดตา
ที่ดินหลายแปลงในเมืองเชียงราชยังหอมหวาน บางแปลงก็มีการเปลี่ยนมือของนายทุนอยู่หลายหนจนเป็นเรื่องปกติ...นั่นก็รวมถึงที่ดินที่อยู่ในการครอบครองของเขาด้วย
“บอสอยากรู้ข้อมูลคนซื้อมากกว่านี้ไหมครับ ผมไม่คิดว่าเป็นทุนนอกร้อยเปอร์เซ็นต์ น่าจะมีคนในหุ้นอยู่ด้วย แล้วไม่แน่ว่าอาจเป็นหุ้นใหญ่”
“นายสงสัยพวกที่เคลื่อนไหวให้ระงับการไล่พวกเขาออกจากที่ดินใช่ไหม” แม็กซ์เวลหันมาจับจ้องญาติผู้น้องที่ถือเป็นคนสนิทที่รู้ทางและรู้ใจกันดี
“ผมสงสัยพวกเคลื่อนไหว แต่ไม่ปักใจเชื่อว่าเป็นกลุ่มพ่อค้าแม่ค้า คนพวกนั้นจะมีกำลังทำอะไรได้ครับ เท่าที่เห็นก็เป็นคนแก่ที่ค้าขายมานาน อายุอานามแต่ละคนก็ไม่น้อยกันแล้ว”
“งั้นหรือ”
คนถามทบทวนความจำ...เขากำลังนึกถึงตอนที่เข้าไปดูที่ดินเมื่อหลายเดือนก่อน
บริเวณย่านเมืองเก่าของเชียงราชนั้นเก่าสมชื่อจริงๆ สิ่งก่อสร้างและอาคารแต่ละหลังก็นับอายุได้หลายสิบปี สิ่งแวดล้อมโดยรอบเท่าที่เก็บข้อมูลผ่านสายตา แม็กซ์เวลถือว่ายังไม่ผ่าน เขาอยากจะให้คะแนนติดลบด้วยซ้ำ เพราะอีกนิดเดียวก็เฉียดคำว่าสลัมอยู่แล้ว หากบริเวณนั้นก็มีความโดดเด่นในเรื่องของทำเล เพราะอยู่ใกล้ถนนสายหลักที่เชื่อมระหว่างเมือง เป็นบริเวณโครงข่ายที่ถนนหลายสายเชื่อมต่อกัน รวมถึงถนนเส้นที่ผ่านเข้าสู่ศูนย์กลางของเมืองเชียงราชด้วย
เมื่อมองด้วยสายตาแหลมคม ที่บริเวณนั้นจะกลายเป็นย่านการค้าและเศรษฐกิจที่สำคัญของเมืองเชียงราชในอนาคตได้แน่นอน
แม้ที่ดินจะถูกปล่อยไปตามยถากรรม เพราะยังไม่มีนักลงทุนรายไหนเข้าถึงมาก่อน หากปัจจุบันก็สร้างประโยชน์ให้กับคนที่จับจองทำมาค้าขายอยู่ไม่น้อย จึงไม่แปลกอะไรเมื่อเขาเข้าไปแสดงตัวว่าเป็นเจ้าของ คนพวกนั้นจึงมีปฏิกิริยาต่อต้านอย่างชัดเจน
“นายเข้าใจผิด ที่ตรงนั้นนอกจากคนแก่ก็ยังมีคนใหม่ๆ เข้าไปทำกิน ถ้าเราไม่จัดการอะไรสักอย่าง พวกเขาคงยึดเป็นหัวหาดค้าขายไปจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน แล้วชาตินี้มันคงไม่มีวันตกถึงมือเรา เราคงได้แต่ถือโฉนดไว้กับตัว แต่เข้าไปใช้ประโยชน์ไม่ได้”
“เราควรยืดเวลาให้เขานานกว่านี้ไหมครับ เพราะตรงนั้นนอกจากจะใช้เป็นที่อยู่อาศัยแล้ว พวกเขายังใช้เป็นที่ค้าขายด้วย การโยกย้ายหาทำเลขายของใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย”
ธันว์ยังอยากใช้วิธีอะลุ้มอล่วยมากกว่าการขีดเส้นตายให้ย้ายออก เขาไม่ชอบเห็นภาวะแบบนี้เลย ถึงรู้ว่าแม็กซ์เวลทำไปโดยชอบธรรม เมื่อกรรมสิทธิ์ในที่ดินเป็นของเขา เขาย่อมมีสิทธิ์ทุกอย่าง หากในแง่ความรู้สึกของธันว์แล้ว เหมือนกำลังรังแกและบีบบังคับคนด้อยโอกาสกว่ากลายๆ มันเป็นสิ่งที่เขาไม่ชอบสักนิด
“ถ้าความจำของนายยังดี เมื่อหกเดือนก่อนเราเข้าไปแสดงตัวเป็นเจ้าของที่ดินแปลงนั้น แจ้งให้ย้ายออกเพราะเราจะไม่ต่อสัญญาเช่า พวกเขารู้ตัวนานแล้ว ถ้าฉันไม่ติดงานโครงการที่ภูเก็ตกะทันหัน ฉันคงไม่เว้นช่วงเวลามาถึงตอนนี้แน่ ฉันรู้ว่าพวกนั้นรู้ตัวอยู่แล้วว่าควรทำยังไง แต่พอเห็นเราเงียบไปก็แสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้าคนมีสำนึกดีๆ ต้องหาทางขยับขยายตั้งแต่วันแรกแล้ว ไม่ทำหน้ามึนอยู่ต่อจนต้องแจ้งให้ย้ายกันอีกรอบแบบนี้หรอก”
แม็กซ์เวลพูดจริงจัง สีหน้าติดจะเคร่งขรึม และคู่สนทนาก็รู้ดีว่าทุกคำนั้นล้วนเป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธเป็นอื่นได้ ก่อนจะมีคำเย้าที่ทำให้เขาได้รู้สึกตัว
“นายใจอ่อนเสมอนะธันว์ อย่าทำให้ฉันรู้สึกว่านายเป็นนักบุญ ส่วนฉันเป็นปีศาจนักเลย”
“ไม่หรอกค่ะ บัวคิดว่าเขาเป็นหมาป่าล่าเนื้อมากกว่า”
สิ้นคำรำพึง บัวบูชาก็ถอนหายใจยาวอย่างต้องการปลดทุกสิ่งที่หนักอึ้งอยู่ในอกให้คลายลง หากลมหายใจก็สะดุดเมื่อได้ยินเสียงเล็กที่ดังตามมาเบาๆ
“ฮู้ว! หมาป่าหรือคะ”
แม่หนูแตงหวานลูกค้าที่น่ารักของเธอยกมือขึ้นปิดปากพลางเบิกตาโต บัวบูชาถึงกับเกิดอาการงุนงง ไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า
“แตงหวานเข้าไปเลือกน้องลูกหมูสิคะว่าเอาตัวไหนบ้าง เสร็จแล้วเราจะพาน้องกลับบ้านกันค่ะ” คนเป็นน้าสาวแก้สถานการณ์อย่างทันท่วงที ด้วยการหากิจกรรมให้แม่หนูแยกไปทำแทนการนั่งฟังผู้ใหญ่พูดคุยด้วยเรื่องที่ยากจะเข้าใจ
“เอาน้องลูกหมูตัวสีชมพูหมดเลยค่ะ”
แตงหวานบอกจบก็วิ่งตื๋อไปยังตะกร้าที่ใส่ตุ๊กตาหมูอยู่จนล้นบนโซฟาตรงมุมห้องที่กันไว้ทางด้านหลังร้าน ซึ่งสามารถรับแขกได้กลายๆ
จนเมื่อได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง น้าสาวของแตงหวานหรืออีกนัยคือแม่บุญธรรมของเจ้าตัวก็ได้บอกกับเธอ
“คุณฉัตรเคยเล่านิทานหมาป่าให้ฟังค่ะ แกเลยติดใจนักหนา พอได้ยินคุณบัวพูดถึงก็เป็นอย่างที่เห็น”
บัวบูชาถึงบางอ้อกับท่าทีของแม่หนูน้อยก็คราวนี้ จะว่าไปเธอก็ไม่คุ้นกับเด็กเล็กนัก เจอกับแตงหวานทีไรก็ต้องมีเรื่องให้แปลกใจกันทุกที หากก็ชอบทุกคราวที่ได้เจอเด็กหญิง
“แล้วคุณบัวจะทำยังไงต่อไปคะ ร้านตรงนี้ก็ต้องคืนเขาแล้ว”
“บัวกำลังหาที่ขายของใหม่อยู่ค่ะ รวมถึงบ้านเช่าด้วย บัวมีของเยอะขนาดนี้คงเช่าหอพักไม่ไหว ตอนนี้ยังคิดไม่ตกเลยว่าจะหาเช่าที่ไหนได้ ระหว่างนี้บัวก็ระบายของในร้านไปด้วย เป็นการลดภาระในการจัดเก็บ ช่วงนี้จึงยังไม่รับของล็อตใหม่เข้าร้าน นอกจากชิ้นเล็กๆ อย่างตุ๊กตาลูกหมูของแตงหวาน”
“ถ้าคุณบัวมีอะไรที่อ่อนพอจะช่วยได้ก็บอกเลยนะคะ อ่อนยินดี”
“ขอบคุณคุณอ่อนค่ะ แค่อุดหนุนของในร้านและแวะถามข่าวคราว บัวก็ดีใจที่สุดแล้วค่ะ”
รอยยิ้มกว้างจนดวงตาคู่งามเรียวยิบหยีบ่งบอกถึงความรู้สึกข้างในของเจ้าของคำพูดได้เป็นอย่างดี ภรรยาคนสวยของพ่อเลี้ยงคนดังแห่งเมืองเชียงราชถึงกับเผลอยิ้มตามอย่างเต็มสีหน้า แม้รู้จักคบหากันได้ไม่นาน หากมิตรภาพงดงามก็เกิดขึ้นในใจของผู้หญิงทั้งสองคน