บทย่อ
ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ โดยที่สายตายังจับอยู่ที่ผลงานตัวเองอย่างพอใจ "เสร็จสักที ตอนถอดไม่เห็นยากอย่างนี้เลย" ------------------------------ "คุณจะทำอะไร" บัวบูชา ถามเสียงตื่น ถ้าเขายังรังแกกันอีก เธอจะสู้จนขาดใจ หากสิ่งที่เขาบอกนั้นทำให้หญิงสาวชะงัก ไม่มั่นใจว่าได้ยินถูกหรือเปล่า "ผมจะใส่กางเกงให้คุณ" "ไม่ต้อง ฉันไม่ให้คุณใส่" "นั่งนิ่งๆ เถอะ" แม็กซ์เวล ดึงข้อเท้าขาวสะอาดทั้งสองข้างเข้าหาตัวเอง จนเธอร้องวี้ด ถลารูดไปบนโซฟา แล้วยันกายขึ้นนั่งอย่างทุลักทุเล ขณะที่คนตัวใหญ่ตั้งหน้าตั้งตาจะสวมกางเกงยีนให้โดยไม่สนใจว่าเธออยู่ในสภาพไหน กระทั่งกางเกงยีนกระชับเรือนร่างถูกดึงผ่านสะโพกผายตึงและก้นงามงอนได้สำเร็จ มือแข็งแรงจึงรูดซิบแล้วติดกระดุมให้เป็นขั้นตอนสุดท้าย... * นิยายชุดสิงห์หนุ่มแห่งเชียงราช * ภาค เลือดขัตติยะ 1. เบี้ยปราถรถนา (รัชตะ+ปิ่นลดา) 2. มายาสีฝุ่น (รัชภาคย์+พราวพิชชา) ภาค ดอกไม้กลางป่าหนาว 1. กล้วยไม้ล้อมตะวัน (ไรวินทร์+ณิชา) 2. ดอกเหมยห่อไฟ (ฉัตรฉาย+ญาณิน) 3. บัวยั่วเพลิง (แม็กซ์เวล+บัวบูชา)
บทนำ
ช่างเป็นเช้าวันจันทร์ที่ชวนง่วงนอนจริงๆ เมื่อเปิดร้านมาเป็นชั่วโมงแล้ว แต่ยังไม่มีลูกค้าแวะเวียนมาสักคน แถมหลานสาวเจ้าของร้านข้างๆ ก็ยังข้ามฝั่งมาเล่าเรื่องไม่น่าเพลินใจ...จนผ่านมาเกือบสิบนาทีแล้ว เจ้าตัวก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงได้
“ถ้าพี่บัวเห็นคุณแม็กซ์เวล พี่บัวก็ต้องร้องว้าวๆ เหมือนกัน คนอะไรโคตรหล่อเลย สูงกว่าหนูเป็นศอก จมูกก็โด๊งโด่ง ดวงตาคมกริบ ขนตาหนาเป็นแพกว่าผู้หญิงบางคนอีก หนากว่าหนู หนากว่าของพี่บัวด้วย แล้วก่อนเขากลับนะ เขายังมองพวกเราด้วย หนูระทวยเลยแหละพี่บัว”
บัวบูชาเหล่มองคนนั่งบิดกายม้วนทำตาเคลิ้มฝัน ได้แต่นึกในใจว่าไม่เห็นจะอยากคล้อยตามสักนิด...แล้วที่สำคัญ มันเรื่องอะไรกันถึงเอาขนตาหนาเป็นแพของนายคนนั้นมาเทียบกับของเธอ
บัวบูชาไม่ได้บอกว่าเธอก็เคยเห็นแม็กซ์เวล นายทุนที่ดินคนนั้นแล้ว และยังจำรูปร่างหน้าตาของเขาได้ รู้ละว่าที่ทับทิมพูดมาทั้งหมดไม่ไกลจากความจริง แต่เธอก็เห็นว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ควรชื่นชม ดังนั้นจึงคิดว่าถึงเวลาที่ต้องปลุกเด็กสาวให้ตื่นจากฝัน
“ทับทิมคงลืมไปว่า คนที่ทับทิมบอกว่าหล่อมากนั่นน่ะ คนคนนั้นกำลังจะไล่ที่เรา แล้วเขามาดูที่ของเขา ไม่ได้มาเพื่อจะมองให้เราระทวย”
“โอ๊ย! พี่บัว แล้วจะขัดทำไมเนี่ย ขัดทำไม หนูรู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นใคร ไม่ลืมด้วย แต่พี่บัวต้องแยกแยะนะ เขาหล่อก็ต้องบอกว่าหล่อ ความหล่อของเขาทำให้หัวใจของหนูกระชุ่มกระชวย ส่วนเรื่องไล่ที่อะไรนั่น มันชวนห่อเหี่ยวหัวใจ อันนี้แกล้งลืมๆ ไปบ้างก็ได้”
“ไม่ได้! ไม่ว่าจะแกล้งลืมหรือลืมจริง เพราะอีกสองเดือนเราก็ต้องย้ายออกจากที่นี่แล้ว นายคนนั้นไม่ยืดเวลาให้เราอีก”
“เฮ้อ! นั่นสินะ เครียดเลย ลุงกับป้าก็ยังหาที่ขายใหม่ไม่ได้...ไม่น่าเลย ไม่น่าเลยจริงๆ”
ถ้อยคำรำพึงของเด็กสาวทำให้บัวบูชาต้องทอดถอนใจตาม และไม่รู้ว่าคำว่า ‘ไม่น่าเลย’ นั้นเจ้าตัวจะหมายถึงอะไร
นายคนนั้นไม่น่ามาไล่ที่พวกเธอ หรือว่าเป็นเธอที่ไม่น่าปลุกเจ้าตัวให้ตื่นจากฝันมาพบกับความเป็นจริงที่ชวนปวดหัวใจ
“แต่พี่บัวก็มีร้านที่ถนนคนเดินอยู่แล้ว ไม่เดือดร้อนเท่าไรใช่ไหมล่ะ”
“ไม่เดือดร้อนที่ไหนได้ล่ะ ตรงนั้นก็แผงที่พี่เช่าต่อมาอีกที ไม่รู้ว่าเจ้าของแผงจะขอคืนวันไหน บางช่วงก็ขายดีอยู่หรอก แต่ถ้าหน้าฝนเมื่อไร อย่าว่าแต่ลูกค้าไม่มาเลย เราเองก็แทบจะเปิดร้านตั้งของขายกันไม่ได้”
“แย่จัง เป็นแม่ค้านี่แย่นะ หนูไม่อยากเป็นแล้วสิ”
“ก็เรียนหนังสือให้จบ จากนั้นก็ค่อยหาช่องทางทำงานอื่น”
“แล้วพี่บัวล่ะ เรียนจบด้วยเหมือนกัน แถมจบจากมหาวิทยาลัยนานาชาติเชียงราชอีกด้วย ทำไมมาขายของล่ะ ไม่สมัครงานที่อื่นดูบ้างเหรอ จะว่าไปหนูก็แปลกใจแล้วก็สงสัยจริงๆ นะเนี่ย เพื่อนของพี่บัวก็มีแต่คนรวยๆ อย่างคุณนิดนั่นไงล่ะ หนูเห็นตั้งแต่ขี่สกูตเตอร์มาหาพี่ จนตอนนี้นั่งรถคันหรูหรา ลุงบอกว่าราคาเป็นสิบๆ ล้านเลย แล้วทำไมพี่ไม่ขอให้เขาช่วยบ้างล่ะ”
ทับทิมถามพลางจ้องหน้าเธอ ด้วยแววตาที่บอกว่าสงสัยจริงจังและอยากได้คำตอบให้หายคาใจ
บัวบูชาเหลือบมองนิดเดียวก็เมินหนี ก่อนจะตอบสาวรุ่นน้องที่เห็นมาตั้งแต่เจ้าตัวเป็นเด็กนักเรียนคอซอง
“เรายังไม่จนมุม จะไปให้คนอื่นช่วยทำไม ถึงเป็นเพื่อนกันก็เถอะ เราก็ต้องเกรงใจเขาบ้าง พยายามยืนด้วยตัวเองให้ได้ก่อน ก่อนจะขอให้คนอื่นช่วย”
เธอยังเชื่อคำที่ว่า ‘ช่วยตัวเองก่อน จากนั้นพระเจ้าจะช่วยเรา’ หรือกระทั่ง ‘ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน’ ถ้อยคำเหล่านี้ยังศักดิ์สิทธิ์สำหรับเธอเสมอ ที่สำคัญ เพื่อนสำหรับเธอมีไว้สำหรับเป็นแรงใจ ให้คำปรึกษากัน แต่ไม่ใช่จะเรียกร้องขอสิ่งใดๆ จากเขา
“เฮ้อ! ฟังแล้วเหนื่อยจัง”
“ทำงานอะไรก็เหนื่อยทั้งนั้นแหละ แต่มันก็มีมุมสนุกอยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นพี่ไม่ทำมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยหรอก”
“ใช่สินะ ลุงยังชมพี่บัวให้หนูฟังบ่อยๆ เลยว่าเป็นเด็กต่างจังหวัดมาเรียนหนังสือในเชียงราช ไม่มีพ่อแม่ แต่ทำมาหากินส่งเสียตัวเองเรียนจนจบ แถมร้านของพี่บัวก็ใหญ่กว่าของลุงอีก นี่ถ้าคุณแม็กซ์เวลไม่ให้พวกเราย้ายออก ไม่แน่ว่าอีกไม่นานร้านของพี่บัวอาจขยายเป็นเจ้าใหญ่ในเชียงราชเลยก็ได้ ลูกค้าประจำของพี่บัวที่อยู่ต่างประเทศก็มีตั้งหลายคน หนูเพิ่งคิดได้แหละว่าเขาไม่น่ามาจริงๆ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้ เพราะพอเขามา พวกเราก็เดือดร้อนกันไปหมด ลุงกับป้าของหนูก็ยังหาที่ขายของแห่งใหม่ไม่ได้ เมื่อกี้หนูเผลอไปนิดหนึ่ง”
บัวบูชากลั้นหัวเราะเมื่อได้ยินถ้อยคำของเด็กสาว แค่ไม่กี่อึดใจก็เปลี่ยนมุมมองต่อคนคนนั้นไปแล้ว จากผู้ชายชวนฝันหน้าตาหล่อเหลาที่เจ้าตัวนั่งเพ้ออยู่หลายนาที กลายมาเป็นนายทุนหน้าเลือดในพริบตา…
เด็กหนอเด็ก
แต่มันก็ช่วยไม่ได้จริงๆ รู้อยู่ว่าที่ตรงนี้เป็นที่ขายของ และร้านค้าก็ไม่ได้บุกรุกที่ดินเข้ามาทำกิน แต่เป็นการเช่าต่ออีกที เป็นความสะเพร่าของพวกเธอที่ไม่รู้ว่าอาคารพาณิชย์ได้ถูกเปลี่ยนมือไปแล้ว ที่พวกเธอเช่ากันอยู่จึงถือว่าเป็นการเช่าช่วงอีกที
ดังนั้นเมื่อเขาแจ้งให้ร้านค้าย้ายออกภายในสามเดือน บัวบูชาจึงคิดว่ากระชั้นชิดเกินไป เพราะร้านค้าย่านเมืองเก่าเป็นแหล่งพบปะของลูกค้าและคนขายของมาเนิ่นนานแล้ว เจ้าของที่ดินรายใหม่ควรรอให้ร้านค้าได้ที่ทำกินใหม่กันเสียก่อน ซึ่งแน่นอนว่าต้องใช้เวลามากกว่าสามเดือน
บัวบูชารู้มาตลอดว่ามีคนเข้าไปขอความเห็นใจจากนายทุนใหม่หลายต่อหลายครั้ง แต่เขาก็ยังยืนยันคำเดิม ไม่ยอมผ่อนปรนให้กับใคร
ถ้าอย่างนั้นก็สมควรแล้วแหละ ถ้าเขาจะถูกมองว่าเป็นนายทุนหน้าเลือดบ้าง