บทที่ 1 ราชสีห์หรือแค่หมาป่า
แม็กซ์เวล บราวน์ ไม่เคยคิดว่าชีวิตการเป็นนักพัฒนาที่ดินของตัวเองจะต้องมาเจอกับอะไรอย่างนี้
เอกสารมัดใหญ่วางอยู่บนโต๊ะ เขามองนิ่งๆ ถึงจะยังไม่เปิดอ่าน แต่ก็รู้ว่าเนื้อความข้างในล้วนแต่เป็นข้อความขอความเห็นใจ พรรณนาถึงความทุกข์ยากถ้าต้องย้ายออกจากที่ดินของเขา!
นอกจากนี้ยังมีส่งเข้ามาทางอีเมลของบริษัท รวมถึงฝากข้อความไว้บนเว็บบอร์ดที่บริษัทเพิ่งเปิดเป็นช่องทางประชาสัมพันธ์โครงการใหม่ๆ ในประเทศไทยด้วย
มันช่างก่อกวนสิ้นดี และเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ แม็กซ์เวลก็คาดไม่ถึงว่าเขาจะเจอในเมืองเชียงราชด้วย
เมื่อปลายปีก่อน ไรวินทร์ซึ่งเป็นเพื่อนนักธุรกิจที่ได้ย้ายฐานการผลิตงานด้านซอฟต์แวร์จากเมืองเพิร์ธเข้ามายังเชียงราช ได้บอกเขาถึงความเป็นมิตรไมตรีของผู้คน และบอกถึงช่องทางที่น่าสนใจถ้าเขาจะขยายธุรกิจพัฒนาที่ดินเข้ามาในเมืองนี้ด้วย
แม็กซ์เวลไม่ตัดโอกาสตัวเอง...เขาส่งทีมงานเข้ามาสำรวจ ทำความรู้จักกับเมืองที่กำลังพัฒนาอย่างก้าวกระโดดด้วยความเป็นพื้นที่เศรษฐกิจใหม่แห่งนี้ เมื่อผลการสรุปส่งถึงมือ เขาก็ตัดสินใจไม่ยากที่จะเข้ามาสัมผัสด้วยตัวเองในขั้นตอนสุดท้าย ก่อนจะทุ่มเงินลงทุนลงไป
ด้วยการเคลื่อนไหวอย่างมีชีวิตชีวาของเมืองอันเป็นเสน่ห์เฉพาะตัว ผสมผสานระหว่างความเป็นเมืองเก่าและโลกสมัยใหม่ที่แทรกสอดเข้าด้วยกัน มันช่างมีเสน่ห์น่าค้นหานัก แม็กซ์เวลไม่ลังเลที่จะรับความท้าทายนี้
ธุรกิจของเขาจึงเริ่มต้นขึ้น ทุกอย่างผ่านไปได้อย่างงดงาม เขาสามารถเดินตามแผนที่วางไว้ ทุกขั้นตอนเดินมาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ที่ผ่านมาจึงไม่เคยมีปัญหากับใคร แม็กซ์เวลมั่นใจในแนวทางของตัวเองว่าดีพอ
ทว่าคราวนี้ต่างออกไป เขานึกไม่ถึงว่าจะได้รับการต่อต้านจากคนที่อาศัยในที่ดินของเขาอย่างไม่ถูกต้องเสียเอง แถมคนพวกนั้นไม่สำนึกสักนิด คิดเอาแต่ได้อยู่ฝ่ายเดียว แล้วยังหาว่าเขาไม่มีน้ำใจในการเป็นผู้ให้อย่างไม่สิ้นสุดอีกด้วย
มันช่างน่าเบื่อจริงๆ กับการต้องมาเกี่ยวข้องกับคนที่ไม่เคารพกฎเกณฑ์ใดๆ นอกจากความพอใจของตัวเองอย่างคนพวกนี้
“พวกเขาเพิ่งเคลื่อนไหว ก่อนนี้ก็ดูว่าไม่มีปัญหา บอสคิดว่าจะมีเบื้องหลังไหมครับ”
“นายหมายความว่ายังไง”
“ทุกการเคลื่อนไหวมักมีหัวโจกและจะทำอย่างมีเป้าหมาย ผมเกรงว่าเรื่องที่กำลังเกิดอยู่นี้จะมีคนอยู่เบื้องหลัง เพราะพวกเขาเดินเกมกันเป็นทีม ผมว่าไม่ใช่แค่เรื่องของพ่อค้าแม่ค้าที่อยากได้ที่ดินทำกินอย่างเดียวนะครับ”
คนที่ยืนปักหลักอยู่กลางห้องทำงานโอ่โถงบอกคนที่นั่งทอดกายด้วยท่วงท่าสบายๆ บนเก้าอี้ทำงานหลังโต๊ะตัวใหญ่ น้ำเสียงบ่งบอกว่ากำลังจริงจัง หากอีกฝ่ายรับฟังแล้วตอบกลับด้วยท่าทีเรียบเรื่อยตามแบบฉบับของเขา
“ที่ดินเป็นของฉัน โฉนดอยู่ในมือฉันอย่างถูกต้อง คนพวกนั้นทำอะไรไม่ได้หรอก อย่างมากก็แค่สร้างความรำคาญ เรียกร้องความสนใจไปวันๆ แค่เราไม่สนใจ เดี๋ยวก็เลิกราไปเอง”
“แล้วถ้าไม่ใช่ล่ะครับ”
“คิดมากน่านายธันว์ นายไม่เชื่อมือฉันหรือไง” แม็กซ์เวลหัวเราะเมื่อรู้สึกว่าคนสนิทดูจะกังวลเกินเหตุไปสักหน่อย
“ผมเชื่อว่าบอสจัดการได้ แต่เกรงว่าเหตุการณ์ที่กำลังเกิดอยู่นี้จะบานปลายแล้วทำให้เราเสียเวลา”
“นายรู้จักฉันดี ฉันไม่เคยปล่อยให้ปัญหาลุกลามถึงขั้นนั้นสักที เอาละ เลิกพูด เลิกสนใจเรื่องนี้ได้แล้ว และต่อไปไม่ต้องเอาจดหมายบ้าบอพวกนี้มาให้ฉันอีก ถ้าพวกนั้นส่งเข้ามา นายก็ทำลายทิ้งทั้งหมด แล้วกำชับฝ่ายไอทีของบริษัทให้ดูแลระบบงานให้ดี อย่าให้มีใครมาก่อกวน เพราะจะเสียภาพพจน์ของโครงการเรา”
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเปล่งประกายขึ้นมาในชั่ววินาที ธันว์ทันเห็น เขาได้แต่ภาวนาว่าทุกการเคลื่อนไหวของพ่อค้าแม่ค้ากลุ่มนั้น ขออย่าให้มีเจตนาอื่นแอบแฝง เพราะถ้าเป็นเรื่องธุรกิจ แม็กซ์เวลไม่เคยอ่อนข้อให้กับใคร
ในฐานะที่เขาเป็นคนไทย เติบโตบนแผ่นดินไทย แม้เพิ่งได้กลับมาเมืองไทยไม่ทันครบปีหลังจากจากไปนาน แต่ก็มีใจผูกพันกับคนไทยอยู่มาก โดยเฉพาะชาวเมืองเชียงราชที่มีท่าทางอ่อนหวาน สีหน้ายิ้มแย้ม ผู้คนเหล่านั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อกับแม็กซ์เวลสักนิด ธันว์ได้แต่ภาวนาว่าทุกการเคลื่อนไหวที่ดูมีเป้าหมายและทิศทางที่ชัดเจนนี้จะไม่มีใครอยู่เบื้องหลัง เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น พวกเขาก็จะกลายเป็นแค่เครื่องมือที่ถูกห้ำหั่นเสียก็เท่านั้น
เท่าที่ติดตามแม็กซ์เวลมาหลายปี ธันว์เห็นเรื่องพวกนี้มานักต่อนัก จนอดที่จะมองข้ามเหตุการณ์ที่กำลังเกิดอยู่ไม่ได้
แสงส่องทอลอดเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดแง้มในห้องนอนบนชั้นสองของตึกแถวสองชั้น ซึ่งมีอายุกว่าสามสิบปีในย่านชุมชนเมืองเก่า ร่างของหญิงสาววัยยี่สิบต้นในชุดนอนเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงขาสั้นที่กำลังนอนคู้กายอยู่ภายใต้ผ้านวมผืนหนาก็พลิกหงายแล้วเหยียดกายตรงบนที่นอน เธอนิ่งอยู่ในท่านั้นหลายวินาที ก่อนจะปรือตาเปิดมองเพดานสีขาวที่คุ้นตา แล้วกวาดสายตามองรอบห้องอย่างคุ้นเคย
ห้องนอนนี้เธออาศัยมาตั้งแต่ยังเรียนไม่จบมหาวิทยาลัย หากจะนับเวลาจนถึงตอนนี้ก็นานกว่าสามปีแล้วสินะ
บัวบูชายันกายขึ้นนั่งแล้ววาดเท้าลงบนพื้นเย็นเฉียบตามสภาพอากาศของเช้านี้
“เจ็ดโมงกว่าแล้วหรือนี่”
เธอพึมพำกับตัวเองเมื่อหยิบนาฬิกาข้อมือที่ถอดวางบนโต๊ะญี่ปุ่นใกล้หัวเตียงขึ้นมาดูเวลา แล้วถอนหายใจยาว ก่อนจะวางกลับที่เดิม
“เปิดร้านสายสักวันจะเป็นไรไป วันนี้ไม่ได้นัดลูกค้ามารับของที่ร้านด้วย”
ร้านของบัวบูชาเป็นร้านขายของที่ระลึกที่รับจากแหล่งผลิตมาขายโดยตรง โดยลูกค้าของเธอจะมีทั้งนักท่องเที่ยวขาจร รวมถึงแม่ค้ารายย่อยที่มารับไปขายต่อ ซึ่งมีทั้งคนไทยและคนต่างประเทศ
บัวบูชาศึกษาตลาดเป็นอย่างดี สินค้าที่เธอเลือกมาขายนั้นเข้าตาลูกค้าเสมอ อย่างที่ณิชาชื่นชมบ่อยๆ ว่าเธอมีสายตาที่แหลมคมนัก
หากนั่นไม่ใช่พรสวรรค์อันใดหรอก บัวบูชาได้มาเพราะพรแสวงล้วนๆ
แต่ละค่ำคืนเมื่อปิดร้านแล้ว เธอมักอยู่กับโน้ตบุ๊กคู่ใจเพื่อท่องโลกอินเทอร์เน็ต คอยศึกษาถึงความต้องการของลูกค้าในแต่ละช่วง รวมถึงกระแสสินค้าอื่นๆ ในตลาดรอบนอกเป็นตัวเสริม ซึ่งทำให้เธอสามารถมองแนวโน้มของสินค้าตัวเองได้ล่วงหน้า
‘จริงๆ ฉันชอบเครื่องประดับประเภทดีไซน์หรูมากกว่าของที่ระลึกที่ขายอยู่นะ ฉันอยากมีแบรนด์เครื่องประดับเป็นของตัวเองแล้วส่งขายทั่วโลก’
บัวบูชาบอกความฝันกับเพื่อนสนิทในวันฝนพรำ เมื่อฝ่ายนั้นแวะมาหาพร้อมกับของกินเต็มสองมือ ซึ่งเป็นจังหวะที่เธอว่างจากลูกค้าเช่นกัน
‘ฉันเชื่อว่าบัวทำได้ ฉันไม่ได้แค่พูดเอาใจนะ แต่เพราะเห็นสิ่งที่เธอทำมาตลอด เธอสร้างกิจการของตัวเองขึ้นมาได้ มีร้านค้าขายของที่ระลึก มีรถยนต์ตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย ถึงจะเป็นรถมือสองก็เถอะ เธอสร้างทุกอย่างด้วยตัวเอง ฉันเคยเล่าเรื่องของเธอให้คุณวินทร์ฟัง เขายังชมว่าเธอเก่งเลย’
เจ้าตัวบอกขณะหยิบส้อมจิ้มขนมในจานใส่ปากแล้วเคี้ยวอย่างอารมณ์ดี ในตอนนั้นบัวบูชามองแล้วเผลอยิ้ม