บทที่ 5 หมีขี้โมโห
หลังจากรับประทานอาหารมื้อเช้าเสร็จแล้ว เจตน์ก็เลือกที่จะกลับไปนั่งทำงานอยู่ในห้องนอน เพราะเห็นว่าตรงระเบียงหน้าเรือนพักซึ่งเป็นที่ประจำของตนนั้นถูกนิวราจับจองไปแล้ว
หงุดหงิดใจที่พื้นที่ส่วนตัวถูกรุกราน ความสงบที่ตนเริ่มชินและชอบมันกำลังถูกเธอเบียดแทรก
หากชายหนุ่มนั่งอยู่ได้ไม่กี่นาที เพราะไม่มีสมาธิมากพอที่จะทำงาน เขาจึงพับหน้าจอโน้ตบุ๊กลง แล้วเดินออกไปข้างนอก ตั้งใจจะออกไปเดินยืดเส้นยืดสายบริเวณริมหาด แต่ปากเจ้ากรรมก็เผลอหลุดถามออกมาจนได้
“เธอกินข้าวหรือยัง”
“หนูกินลูกพลับแล้วค่ะ หนูอิ่มแล้ว”
ในจานที่วางอยู่ข้างๆ ยังเหลือลูกพลับเป็นหลักฐานอยู่สองชิ้น ซึ่งมันคงเป็นผลไม้จากกระเช้าของศวรรยา
ดวงตาหวานใสสบตาเขา ชายหนุ่มเห็นความดีใจทออยู่ในนั้น จนเขาต้องเมินไปทางอื่น
ประหลาดจริงเรา…แล้วจะถามเธอทำไม
ชายหนุ่มเดินตีหน้าบึ้งลงบันไดเรือนพักสู่ผืนดินปนทรายด้านล่าง หากเขาก็เปลี่ยนใจเบนทิศทางจากชายหาดที่เห็นอยู่ใกล้ๆ ไปยังส่วนบริการของรีสอร์ตแทน
นิวรามองตามหลังคนร่างสูงใหญ่ เพียงแค่เดือนกว่าที่ไม่เห็นเจตน์ เธอก็พบว่าเขาเปลี่ยนไปจากเดิม...หรือจะเรียกให้ถูกก็คือเขาเปลี่ยนกลับไปคล้ายสภาพเดิมมากขึ้น
เจตน์ผอมลง โครงหน้าภายใต้หนวดเครารกเรื้อนั้นปรากฏเค้าโครงเด่นชัดขึ้น อีกทั้งเธอยังเห็นกล้ามเนื้อบนกายกำยำชัดเจนมากขึ้นด้วย
“สภาพดีขึ้นเยอะแฮะ ไม่เป็นลุงหมีพุงโตแล้ว”
นิวราหัวเราะกับตัวเอง รู้สึกชอบใจกับภาพของเจตน์ที่เห็นในเวลานี้ เพราะนึกหวั่นอยู่ว่าเขาจะปล่อยตัวจนเป็นผู้ชายหุ่นหมีไปเสียแล้ว
ดวงตาหวานของหญิงสาววัยเพิ่งจบมหาวิทยาลัยทอประกายวับวาวเมื่อนึกถึงความหลัง
เมื่อเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น นิวราแอบปลื้มลูกชายคนโตของเจ้าของบ้านที่เธออาศัย ในเวลานั้นเจตน์อยู่ในวัยยี่สิบกลาง เขากำลังเป็นนักธุรกิจหน้าใหม่ที่ถูกจับตามอง โดยมีคุณภัทรซึ่งเป็นพ่อคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
เจตน์ในวันนั้นมักถูกกล่าวถึงในแง่มุมของผู้ชายที่เพียบพร้อมทั้งรูปลักษณ์ ฐานะ และชาติตระกูล ทุกการเคลื่อนไหวของเขาจะถูกจับตามองและถูกบันทึกไว้บนหน้าข่าวสังคม หากถึงแม้จะอยู่ร่วมรอบรั้วเดียวกัน แต่นิวราก็ไม่ค่อยมีโอกาสพบหน้าเขาสักเท่าไร เธอจึงติดตามการเคลื่อนไหวของเขาผ่านทางข่าวออนไลน์เช่นคนอื่นๆ
ทว่าไม่กี่ปีนับจากนั้น ภาพของเจตน์ก็เปลี่ยนไป จากผู้ชายมาดเข้มที่ทำงานอย่างจริงจัง อีกทั้งยังใส่ใจภาพลักษณ์ เขาได้กลายเป็นผู้ชายที่ใช้ชีวิตสบายๆ ไร้กฎเกณฑ์มากขึ้น
ความพิถีพิถันในการแต่งกายลดน้อยลง และเขาก็ใช้ชีวิตติดดินอย่างไม่สนใจใคร
แรกทีเดียวนิวรายังเห็นคนในสังคมวิจารณ์การเปลี่ยนแปลงของเจตน์ในด้านบวก เจตน์คนใหม่ที่เข้าถึงได้มากขึ้น ความชื่นชมในตัวของเจตน์จึงยังไม่เปลี่ยนไปจากเดิม ซึ่งนิวราไม่รู้ว่าการเปลี่ยนในคราวนั้นเป็นความตั้งใจของเขาหรือเปล่า
หากนั่นกลับทำให้ข่าวคราวของเจตน์ค่อยๆ หายไป ตัวตนใหม่ของเขาคงธรรมดาเกินไป ความสบายๆ กลายเป็นความจืดจาง นานไปก็หมดความน่าสนใจ เธอจึงไม่เห็นภาพของเขาบนหน้าข่าวเหมือนเมื่อก่อน
แล้วไม่นานนับจากนั้น ชื่อของเจตน์ หนุ่มที่เคยเนื้อหอมก็ไม่ได้ครองหน้าข่าวสังคมอีกต่อไป ด้วยพื้นที่นั้นกลับมีชื่อของหนุ่มสาวคนใหม่ที่น่าสนใจกว่าผุดขึ้นมาแทน
เมื่อนึกถึงตรงนี้ นิวราก็ต้องกลอกตามองเพดาน...การเปลี่ยนแปลงของเจตน์ไม่ได้หยุดเพียงเท่านี้ จากการที่เธอเฝ้ามองเขามาหลายปี นิวราก็ลงความเห็นว่าผู้ชายคนนี้ไม่มีความพอดีเลยสักนิด
เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือดังขึ้น คนที่เพิ่งจมอยู่กับความทรงจำรีบหยิบมันมาถือไว้ และพอเห็นว่าเป็นใครที่โทร.เข้ามา เธอก็รีบรับสายเหมือนกลัวใครจะมาได้ยิน...แม้ตอนนี้เธอจะอยู่คนเดียวในเรือนพักก็ตาม
“ว่ายังไงกวาง พวกเธอกลับถึงกรุงเทพฯ แล้วใช่ไหม”
“อืม...เครื่องเพิ่งลงเมื่อกี้ ฉันกับแจนกำลังรอรับกระเป๋า”
คนปลายสายตอบกลับ และจากเสียงแทรกเข้ามานั้นยืนยันให้นิวรารู้ว่าเพื่อนของเธออยู่ในสนามบินปลายทางแล้ว
“แล้วเธอจัดการของที่โรงแรมให้ฉันเรียบร้อยหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้ว อย่าลืมไปรับของของเธอกลับไปด้วยละ ฉันบอกพนักงานที่เคาน์เตอร์ว่าเธอจะมารับของตอนเที่ยง เออ! แล้วขอบอกว่าเขามองฉันเหมือนจะจับผิด มองตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนกำลังเก็บข้อมูล ตอนแรกฉันก็โกรธอยู่นะ แต่พอนึกอีกที ที่เราทำอยู่เนี่ย มันก็ลับๆ ล่อๆ ชวนให้คิดไปไกลว่าเพื่อนที่มาพักด้วยกันจู่ๆ หายไปไหน เมื่อคืนก็ไม่ได้กลับมาด้วย ทิ้งไว้แต่เสื้อผ้า ส่วนฉันกับแจนก็รีบออกไปตั้งแต่เช้ามืด เป็นใครก็สงสัย”
น้ำเสียงของเกวลินเคร่งเครียดไม่น้อย หากนิวรากลับหัวเราะร่วน
“ยืนยันได้ว่าฉันยังมีชีวิตอยู่ ฉันยังไม่ถูกใครจับโยนทะเล”
“โอ๊ย! อย่าพูดเล่น ฉันยังตกใจไม่หายตั้งแต่รู้เรื่องเมื่อคืน ฉันเสียใจที่ปล่อยให้พี่นุ้ยพาเธอไปเข้าห้องน้ำทั้งที่รู้ว่าเธอกำลังเมา ฉันไม่คิดว่าเขาจะโมเมพาเธอกลับไปก่อน”
รอยยิ้มของนิวราคลายลงเมื่อนึกตามคำพูดของเพื่อน หลังจากออกจากห้องจัดเลี้ยงงานแต่งงาน พวกเธอก็ตามเพื่อนรุ่นพี่ไปยังห้องอาหารกึ่งผับภายในโรงแรมแห่งนั้น แล้วเธอก็นึกสนุกขึ้นมาจึงกินเหล้าตามจอมขวัญ ด้วยเห็นว่ายังมีเกวลินอีกคนที่ตั้งธงไว้ว่าจะไม่แตะแอลกอฮอล์เพราะจะคอยดูแลพวกเธอ
‘ลองเหล้าแรงๆ หน่อยไหมมะนาว แล้วจะรู้ว่าซาบซ่ากว่าสปายเซเว่นที่เธอชอบกิน’
‘มันจะดีเหรอ ฉันกลัวเมาแล้วจะเป็นภาระพวกเธอน่ะสิ’
‘ไม่เป็นไรหรอก ค่อยๆ จิบก็แล้วกัน อีกอย่าง...กวางก็อยู่กับเราทั้งคน ถ้าเธอเมา กวางก็หิ้วเธอกลับที่พักได้ แล้วรอบตัวเราก็มีแต่เพื่อนกับรุ่นพี่ของเราทั้งนั้น ไม่เห็นจะต้องกลัวอะไร’
นิวราพยายามดื่มอย่างมีสติ เธอค่อยๆ จิบตามที่เพื่อนบอก แต่ไม่รู้ว่าเหล้าที่เข้าปากไปนั้นมันจะค่อยๆ ออกฤทธิ์ กว่าจะรู้ตัว เธอก็มึนศีรษะจนตาลาย แถมเพื่อนร่วมดื่มก็เมาฟุบคาโต๊ะไปเรียบร้อยแล้ว
“ช่างมันเถอะกวาง ตอนนั้นแจนเมาหนักกว่าฉัน เธอก็ต้องคอยดูแลแจน” นิวราปลอบเพื่อน ไม่อยากให้เพื่อนมีความรู้สึกผิดติดอยู่ในใจ
“เอาไว้คราวหน้า พวกเราจะดูแลกันให้ดีกว่านี้ คราวนี้ถือว่าโชคดีที่เธอไปเจอลุงหมีของเธอเข้าพอดี”
บรรยากาศชวนเครียดพลิกกลับมาให้นิวราต้องกลั้นขำ แม้จะรู้ว่าเจตน์ไม่อยู่แถวนี้ แต่หญิงสาวก็อดที่จะมองรอบตัวอย่างระมัดระวังไม่ได้ พลันเธอก็ได้ยินเสียงจอมขวัญแทรกเข้ามาในสาย แล้วเกวลินก็บอกกับเธอต่อ
“กระเป๋าของฉันมาแล้ว แค่นี้ก่อนนะมะนาว ไว้เราค่อยคุยกันใหม่ อ้อ! อยู่กับหมีก็ระวังตัวให้ดีด้วยละ เดี๋ยวจะถูกหมีจับกิน”
“บ้าสิ! เขาไม่ทำอะไรฉันหรอก”
“งั้นเธอก็อย่าเผลอไปกินหมี เดี๋ยวขนหมีจะติดคอ”...ตบท้ายด้วยเสียงไอแค่กๆ ก่อนจะตัดสาย
หญิงสาววัยยี่สิบสองปีเผลอยิ้มกว้าง ดวงตาหวานมองฟ้าและทะเลเหมือนจะหันเหความสนใจ แต่สมองก็ดันนึกภาพตามเป็นฉากๆ
“บ้าจริงๆ ใครจะกินหมี กินเข้าไปได้ยังไง ตัวใหญ่ยังกับยักษ์ อายุก็ปูนนี้ด้วย หนังเหนียวเคี้ยวยาก แถมขนก็รกรุงรัง”
แค่คิด...ขนอ่อนก็ลุกเกรียวทั่วร่างแล้ว
“นั่นแขกที่อยู่เรือนพักวีไอพีใช่ไหม...ตรงโต๊ะตะบองเพชร”
เสียงกระซิบถามมาจากพนักงานที่เดินมาหยุดหน้าเคาน์เตอร์ในร้านอาหารของรีสอร์ต ทำให้คนที่นั่งประจำบนเก้าอี้ต้องเงยหน้าขึ้นมาจากหน้าจอ แล้วเบนสายตาไปมองตามทิศทางที่อีกฝ่ายบอก
“ใช่ มีอะไรหรือ”
“ฉันแค่สงสัย...ร้อยวันพันปีไม่เห็นเขามากินข้าวที่นี่ มีแต่สั่งให้พวกเราเอาอาหารไปส่งให้ที่เรือนพัก แต่ทำไมวันนี้ถึงมาได้”
“สงสัยอะไร แขกของรีสอร์ตก็มากินข้าวที่นี่เป็นปกติอยู่แล้ว”
“แต่ไม่ควรเป็นวันที่มีผู้หญิงสวยๆ มาพักอยู่กับเขาด้วย”
เสียงค้านนั้นทำให้คู่สนทนาสงสัยตาม ก่อนเจ้าตัวจะหลุบตาลงทำงานต่อ เป็นการตัดการสนทนากลายๆ ด้วยฉุกคิดว่าตนไม่ควรพูดถึงแขกลับหลัง