บทย่อ
'เธอคิดว่าคนเราจะมีโอกาสทายาที่ก้นคนอื่นสักกี่ครั้งในชีวิต ถึงจะได้ลืมกันง่ายๆ' 'คนโรคจิต ตอนนั้นหนูเป็นแค่เด็กประถม' * นิยายชุด ปาป๊าตามหารัก * 1. ติรยาคว้ารัก (คุณธาม+ปลากริม) 2. ต้านรักธัญรดี (คุณกันต์+หนูดี) 3. นิวราปรารถนาเพียงเธอ (คุณเจตน์+มะนาว)
บทที่ 1 ลุงเจตน์สุดหล่อ
“เอาละ ถึงโรงแรมแล้ว สาวๆ ลงจากรถได้จ้ะ”
เสียงจากคนที่นั่งคู่คนขับรถตู้หันมาบอก ก่อนเจ้าตัวจะเปิดประตูรถแล้วก้าวนำออกไป
คนที่นั่งทางตอนหลังมองออกไปด้านนอกอย่างสังเกต เธอขมวดคิ้วด้วยความสงสัยเมื่อเห็นว่ามันเป็นโรงแรมระดับดีกว่าที่คิดไว้มาก กระนั้นเจ้าหล่อนก็เปิดประตูรถตามออกไปด้วย แต่ไม่วายถามเพื่อให้ตัวเองมั่นใจ
“พวกเราพักที่นี่เหรอพี่นุ้ย ทำไมมันดูหรูจัง พี่ไม่ได้พามาผิดโรงแรมใช่ไหม”
“พักที่นี่แหละจ้ะ มาไม่ผิดโรงแรมแน่นอน ปกติห้องพักที่นี่ขั้นต่ำก็หลักพัน แต่ช่วงนี้มีโปรโมชัน พี่เลยจองให้พวกเราได้ในราคาคืนละเจ็ดร้อยบาท”
เมื่อได้คำตอบที่พอใจ เจ้าของคำถามจึงยิ้มกริ่มออกมาได้ เธอและเพื่อนอีกสองคนจึงช่วยกันหิ้วกระเป๋าลงจากรถตู้ที่พาพวกเธอมาจากสนามบินนานาชาติภูเก็ตมายังโรงแรมที่ตั้งอยู่กลางเมืองแห่งนี้
หญิงสาววัยยี่สิบต้นทั้งสามคนหิ้วสัมภาระเดินตามชายหนุ่มร่างผอมสูงเข้าไปในล็อบบี้ของโรงแรม รอไม่กี่นาที เขาก็ได้กุญแจจากพนักงานมาถือไว้
“พนักงานโรงแรมไม่พอ ไม่มีคนหิ้วกระเป๋าขึ้นไปให้ จะให้พี่ไปส่งที่ห้องไหมจ๊ะ” เจ้าของคำถามจงใจทอดสายตาไปยังผู้หญิงผิวพรรณนวลผ่องที่ยืนเยื้องอยู่ทางด้านหลังสุด
“กวางไม่รบกวนพี่นุ้ยดีกว่าค่ะ มาถึงโรงแรมแล้ว พวกเราจัดการกันเองได้”
เกวลินโต้อย่างรู้ทัน แถมด้วยคำสำทับจากจอมขวัญ
“แจนขอบคุณมากนะคะที่มาส่งพวกเราถึงโรงแรม แต่ตอนนี้เชิญพี่นุ้ยกลับไปได้แล้วค่ะ”
“จริงใจกันเหลือเกิน ฉันหมดประโยชน์แล้วสินะ ถึงไล่กันทันที” อนุชาต่อว่าทีเล่นทีจริง หากเขาก็ยอมล่าถอย แล้วขึ้นรถตู้กลับไปแต่โดยดี
สองสาวหันไปสบตาแล้วยิ้มขำๆ ก่อนจะเบนสายตาไปหาผู้หญิงอีกคนที่ยืนอยู่ใกล้กัน...เจ้าหล่อนทำท่าคล้ายกับว่าไม่รู้เรื่องราวด้วยสักนิด
“เราไปกันได้หรือยังมะนาว”
เกวลินสะกิดถาม และคนถูกถามก็หันมาเลิกคิ้วมองด้วยท่าทางงุนงง
“หืม...ไปไหนหรือ”
“อ้าว! ก็ขึ้นไปที่ห้องพักน่ะสิ”
จอมขวัญตอบแทรกขึ้นมา เพราะเธออยากเอากระเป๋าไปเก็บในห้องพักเต็มทีแล้ว
“ไปสิ เราไม่ต้องรออะไรแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ใช่ เราได้กุญแจเข้าห้องพักแล้ว แต่ที่ฉันถามก็เพราะเห็นเธอทำท่าเหมือนมองหาใครสักคนอยู่ เลยคิดว่าเธออาจจะนัดผู้ชายไว้”
“บ้าสิ! ผู้ชายที่ไหนกัน”
นิวราเบิกตาโตในวินาทีแรก ก่อนจะรีบปฏิเสธ แล้วลากกระเป๋าตามเพื่อนทั้งสองคนเข้าไปในลิฟต์เพื่อขึ้นไปสู่ห้องพักบนชั้นแปด
เธอไม่ได้นัดใครไว้ที่โรงแรมนี้หรอก แต่เธอรู้ว่าใครบางคนกำลังพักอยู่ที่ภูเก็ต แต่โรงแรมบนเกาะภูเก็ตก็มีตั้งหลายแห่ง เธอคงไม่บังเอิญเจอเขาที่นี่หรอกนะ
เรียวปากสวยกระตุกยิ้มเมื่อนึกถึงความจริงที่ว่าเขาคนนั้นไม่มีทางมาเช่าที่พักคืนละเจ็ดร้อยบาทอย่างพวกเธอแน่นอน
“นายน่าจะบอกฉันก่อนว่าจะพาลูกเมียย้ายเข้าบ้านวันนี้ ฉันจะอยู่รอรับหลานด้วย”
คนที่เพิ่งหยุดพักจากกิจกรรมที่ใช้แรงเปลี่ยนอิริยาบถเป็นการนั่งเหยียดขาบนพื้นระเบียงของรีสอร์ตหรูขณะพูดกับน้องชาย
“ขอบคุณครับคุณลุง แต่ฉันไม่อยากรบกวน เพราะกลัวจะขัดจังหวะ”
“ขัดจังหวะอะไรวะ ฉันมาพักผ่อนนะ ไม่ได้มาทำงาน”
“ถ้านายไปทำงาน ฉันก็พร้อมจะรบกวนอยู่แล้ว แต่นี่มันไม่น่าจะใช่...” เจ้าของคำพูดปิดท้ายประโยคด้วยเสียงเบาลง แถมยังทำเสียงประหลาดในลำคออีก จนคู่สนทนาถึงกับงงไปเลย
“เป็นอะไรของแก อ้ำอึ้งทำไม หรือว่ามีอะไรติดคอ...ว่าแต่ดาด้าอยู่ตรงนั้นหรือเปล่า เรียกมาทักทายลุงสุดหล่อหน่อยสิ”
ถามน้องชายไป หากไม่คิดจะรอคำตอบ ก่อนจะตบท้ายด้วยการเรียกหาหลานสาว
“อยู่ แต่ฉันให้ดาด้าคุยกับนายไม่ได้หรอก”
“ทำไม? หลานฉันเป็นอะไรหรือ”
คุณลุงที่รักหลานยิ่งกว่าอะไรถามเสียงร้อนรน จนคุณพ่อที่สัมผัสได้ถึงความห่วงใยต้องรีบบอก
“ดาด้าไม่ได้เป็นอะไร ลูกของฉันสบายดี และตอนนี้ก็กำลังเล่นกับพริมโรสอยู่ใกล้ๆ ฉันนี่แหละ”
“งั้นบอกลิงทั้งสองตัวให้มาคุยกับลุง”
เจตน์ขยับตัว แค่คิดว่ากำลังจะได้ยินเสียงใสๆ ของหลานรักทั้งสองคนซึ่งเป็นลูกสาวของน้องชายคนรองและน้องชายคนเล็ก หัวใจของเขาก็กระชุ่มกระชวย...แม่หนูทั้งคู่นำพาความมีชีวิตชีวามาสู่ครอบครัวของเขาอย่างแท้จริง
หากสิ่งที่ชายหนุ่มคาดหวังนั้นกลับไม่เกิดขึ้น เมื่อน้องชายยังโยกโย้ไม่เลิก
“นายจะคุยกับเด็กๆ ทั้งที่เสียงยังเป็นอย่างนี้เหรอ ไม่ไหวหรอก ฉันไม่ให้ลูกสาวของฉันได้ยินอะไรที่มันสัปดนเด็ดขาด พริมโรสก็เหมือนกัน ถ้าธามรู้ว่าฉันปล่อยให้ลูกสาวของมันฟังเสียงหอบกระเส่าของนาย มันคงเอาฉันตาย”
“ไอ้เวรนี่! ความคิดสกปรก”
“แล้วมันจริงหรือเปล่าล่ะ ยอมรับมาดีๆ ว่านายกำลังออกศึกอยู่ใช่ไหม” กันต์โต้กลับ เขาไม่อาจคิดเป็นอื่นได้เลย เพราะเมื่อกี้ยังได้ยินเสียงหอบหายใจเหมือนคนออกแรงอย่างหนักเจือเข้ามาด้วย
“ออกศึกกับบรรพบุรุษแกน่ะสิ ฉันเพิ่งวิดพื้นออกกำลังกายโว้ย! แล้วนายก็โทร.มาพอดี ไม่ได้ทำกิจกรรมในร่มกับใคร แต่ฉันทำอยู่คนเดียวตรงระเบียงรีสอร์ตนี่แหละ”
เจตน์ปกป้องตัวเองด้วยเสียงโวยวาย ชะรอยคงลืมไปว่าตนกับน้องชายต่างก็มีบรรพบุรุษร่วมกัน ทำให้เกิดเสียงหัวเราะกวนประสาทตามเข้ามา
“นายพักอยู่ที่ภูเก็ตนานเป็นเดือนแล้ว ไม่มีผู้หญิงไปอยู่ด้วยจริงเหรอ”
“ก็เออสิวะ! แต่ละวันฉันก็กิน นอน และออกกำลังกาย อ้อ! ทำงานบ้างบางเวลา วนอยู่แค่นี้”
เจตน์นึกพาลโมโห ตั้งแต่เขาต้องจัดระเบียบชีวิตให้เข้ารูปเข้ารอยตามคำแนะนำของหมอประจำครอบครัว โดยบอกให้เขาห่างจากเหล้าและของมึนเมา แล้วใช้เวลาพักผ่อนในแต่ละวันให้เพียงพอ เพราะจากผลการตรวจร่างกายเมื่อเดือนที่ผ่านมา มันเริ่มส่งสัญญาณว่าความฟิตของร่างกายเขาน้อยกว่าค่าเฉลี่ยของผู้ชายวัยสามสิบกลาง ซึ่งเป็นสิ่งที่เขารับไม่ได้ ชายหนุ่มจึงหักดิบด้วยการงดไปในสถานที่อโคจรเสียเลย แต่มันก็ส่งผลให้เขาต้องห่างจากผู้หญิงไปโดยปริยาย...หากดูเหมือนว่าน้องชายเจ้าปัญหายังไม่ยอมเชื่อเขา เจ้าตัวยังพล่ามไม่เลิก
“ไม่น่าเชื่อเลยว่ะ ไม่น่าเชื่อจริงๆ ว่าคนอย่างนายจะทำได้ แถมยังอยู่คนเดียวด้วย”
“ฉันไม่ใช่พวกเซ็กส์ขึ้นสมองนะโว้ย ฉันมาพักที่นี่ก็เพราะอยากพักผ่อน ความจริงนายก็รู้อยู่แล้วว่ารีสอร์ตของเพื่อนนายเป็นรีสอร์ตระดับพรีเมียม ถ้าขืนฉันหิ้วใครสุ่มสี่สุ่มห้าเข้ามา ฉันคงถูกมองเป็นตัวประหลาด”
ที่พักริมทะเลแห่งนี้เรียกได้ว่าเป็นรีสอร์ตระดับหรูและเงียบสงบ เจ้าของเป็นเพื่อนรุ่นพี่ของกันต์นั่นเอง ลูกค้าที่มาพักส่วนใหญ่นั้นเป็นชาวต่างชาติ บางคนโดยสารมาด้วยเครื่องบินส่วนตัว และมีจำนวนไม่น้อยที่พากันมาทั้งครอบครัวเพื่อพักผ่อน
เจตน์เลือกที่นี่เป็นสถานที่ฟื้นฟูร่างกาย เมื่อคิดว่าตนควรมีเวลาพักผ่อน เขาก็ต้องการพักโดยไม่มีความวุ่นวายใดๆ เฉียดเข้ามา...และที่สำคัญ มันต้องห่างจากทุกความเย้ายวนที่อาจโผล่มากวักมือเรียกเขาด้วย
ชายหนุ่มใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ ในแต่ละวันนั้นสัมผัสเพียงหาดทราย ทะเล และแสงแดด แม้รู้ว่าไลฟ์สไตล์ของตนไม่เหมาะกับมันนัก แต่ช่างเถอะ ตอนนี้เขายังเพลินกับมันอยู่ และยังไม่อยากกลับกรุงเทพฯ ในเร็วๆ นี้ หากไม่มีเหตุจำเป็นพอ
“อ้ะ นายยืนยันมาขนาดนี้ งั้นฉันเชื่อนายก็ได้”
เสียงจากคนปลายสายแทรกเข้ามา แค่บอกว่าเชื่อตามที่เขาบอก กันต์ก็ยังไม่วายทิ้งลีลากวนใจ จนเจตน์คิดจะตัดสายเสีย เพราะเขาไม่มีอารมณ์จะคุยด้วยแล้ว...หากมือแข็งแรงกลับต้องถือมือถือค้างไว้
“ฉันลืมบอก วันนี้มะนาวก็ไปที่ภูเก็ต เพื่อนของเขาแต่งงาน งานเลี้ยงก็จัดที่โรงแรมของพี่โต๋นั่นแหละ”
“พี่โต๋ไหนวะ”
แม้ชื่อแรกจะดึงความสนใจจนทำให้เขาทนฟังน้องชายพูดต่อได้ หากชื่อไม่คุ้นหูต่อมาก็ทำให้เขาสะดุดอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
“ก็คุณเตชินท์ เจ้าของรีสอร์ตที่นายพักอยู่นั่นไง เขามีโรงแรมอยู่ในตัวเมืองด้วย”
เจตน์ร้องอ๋อขึ้นมาในใจ...เตชินท์ที่เป็นเจ้าของรีสอร์ตและโรงแรม ได้ข่าวมาว่าเขามีครอบครัวแล้ว แถมยังรักลูกรักเมียมากด้วย
โล่งใจ...
“เด็กนั่นมากับใคร แล้วตอนนี้พักที่ไหน”
“ไปกับเพื่อนเขา เห็นว่าได้ที่พักห่างจากโรงแรมที่จัดเลี้ยงพอสมควร ฉันจะเช่าห้องพักที่โรงแรมเดียวกันให้ แต่เจ้าตัวก็ไม่ยอม”
“สาวๆ ก็อย่างนี้แหละ มาถึงภูเก็ตทั้งทีก็คงฉวยโอกาสไปเที่ยวด้วย ถ้าขืนพักโรงแรมที่นายจองไว้ให้ แถมยังเป็นโรงแรมของเพื่อนนายอีก เขาจะออกเที่ยวให้สนุกสุดเหวี่ยงได้ยังไง ไปเช่าที่พักเองไกลๆ ดีกว่า”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก มะนาวไม่รับห้องพักที่ฉันจะจองให้ เพราะเกรงใจที่ห้องมันราคาแพง นายก็รู้ เด็กพวกนี้เพิ่งเรียนจบมหา’ลัยเอง แถมในกลุ่มยังไม่มีใครเคยไปภูเก็ตกันสักคน คงไม่กล้าออกไปเที่ยวอย่างที่นายพูด”
“จบมหา’ลัย...อายุตั้งยี่สิบเอ็ดยี่สิบสอง ไม่เด็กแล้วนะ”
เสียงค้านกลั้วหัวเราะของเจตน์บอกให้คนปลายสายรู้ว่าเขาคิดอย่างไร เจ้าตัวจึงพยายามบอกให้เขาเข้าใจ
“มะนาวไม่ใช่ผู้หญิงแบบที่นายคิด เด็กคนนี้อยู่แต่ในบ้าน นอกจากไปเรียนหนังสือแล้ว ฉันก็เห็นไปจ่ายตลาดให้ป้าขวัญ บางทีก็ช่วยไปซื้อของทำขนมให้กริม ช่วงนี้ฉันเห็นว่ามะนาวทำงานเป็นลูกจ้างรายวันในมินิมาร์ท จู่ๆ เจ้าตัวคงไม่ลุกขึ้นมาทำเรื่องหวือหวาให้เราตกใจ”
“นายตกใจ แต่ฉันเฉยๆ ว่ะ”
อยากบอกว่าตนเจอผู้หญิงใสๆ แต่ข้างในหวือหวาจนชินแล้ว แต่พอคิดว่าโลกในสายตาของน้องชายคงเปลี่ยนไปแล้ว เพราะตอนนี้เจ้าตัวมีครอบครัว และมีลูกสาวตัวน้อย...ชายหนุ่มจึงหยุดพูดเสีย
“ฉันจะออกกำลังกายต่อ แค่นี้ก็แล้วกันนะ”
โดยไม่ฟังเสียงจากคนปลายสาย เจตน์ก็ชิงตัดสายเสีย เพราะคิดได้ว่าตนและน้องชายสนทนาด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องนานเกินไปแล้ว
ตึ๊ง...
ทันทีที่ชายหนุ่มวางโทรศัพท์มือถือลงใกล้ประตู เสียงเตือนของข้อความก็ดังขึ้น แต่เขาไม่ได้หยิบมันมาเปิดดู