บทที่ 2 ลุงเจตน์สุดหล่อ
เวลาสิบแปดนาฬิกา แดดร่มลมตกกำลังดี วันนี้อากาศไม่ร้อนเหมือนเมื่อวาน เจตน์หยิบรองเท้าผ้าใบสำหรับวิ่งมาสวม แล้ววอร์มร่างกายอยู่ตรงระเบียงเรือนพักของรีสอร์ต
โทรศัพท์มือถือยังวางตรงที่เดิม เมื่อเหลือบไปเห็น แวบแรกเขาคิดจะหยิบมันไปวางไว้ข้างใน แต่วินาทีถัดมาก็เปลี่ยนใจ เขาพาตัวเองลงจากเรือนพักไปยังหาดทรายเบื้องหน้า
กล้ามเนื้อแข็งแรงเคลื่อนไหวอย่างน่ามองยามต้องแสงแดดอุ่นๆ กายเพรียวกำยำที่สูงถึงหนึ่งร้อยแปดสิบเจ็ดเซนติเมตรนั้นไม่ต่างจากชาวต่างชาติสักคนที่กำลังวิ่งออกกำลังกาย และหากมองดวงหน้าคมสันใกล้ๆ ก็จะเห็นความหล่อเหลาละมุนละไมที่ซ่อนภายใต้หนวดเครารกเรื้อ
เจตน์เป็นผู้บริหารที่ถือว่าประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยี่สิบปลาย ธุรกิจขนส่งน้ำมันดิบและถ่านหินทางเรือที่มีเส้นทางเดินเรือจากประเทศไทยและประเทศใกล้เคียงไปยังทวีปออสเตรเลียและทวีปยุโรปนั้นเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงห้าปีแรกที่ก่อตั้ง เขากลายเป็นหนุ่มเนื้อหอมในแวดวงธุรกิจและในวงสังคมของชาวเซเลบ...หากความพร้อมสรรพที่โถมเข้ามาหาอย่างรวดเร็วนั้นกลับทำให้ชายหนุ่มเบื่อหน่ายทุกสิ่งทั้งที่ยังอยู่ในวัยเพียงสามสิบกลาง
‘แกขาดแรงบันดาลใจ’
‘ไม่เกี่ยวหรอกพ่อ แรงบันดาลใจของผมมีเหลือเฟือ หุ้นบริษัทก็กำลังเป็นที่สนใจของนักลงทุน กำไรของบริษัทในไตรมาสนี้ก็ยังแรงดีไม่มีตก’
‘พ่อหมายถึงแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตของแกต่างหาก’
พ่อเกริ่นแค่นี้ เจตน์ก็เงียบทันที ในตอนนั้นจำได้ว่าเขาเสหยิบกาแฟขึ้นมาดื่มอึกใหญ่ เพราะแค่มองตา...เขาก็รู้แล้วว่าพ่อกำลังพูดถึงเรื่องอะไร และเมื่อจุดประเด็นได้แล้ว พ่อของเขาก็ไม่ยอมจบง่ายๆ เสียด้วย
‘ถ้าแกมีคนคอยดูแลและเอาใจอยู่ใกล้ๆ แกจะไม่บ่นว่าเบื่อชีวิต’
เจตน์ไม่เถียงพ่อ แต่นึกค้านว่าเพราะพ่ออยู่ในวัยที่ต้องการคนดูแลน่ะสิถึงพูดอย่างนี้ได้ แต่เขายังหนุ่มยังแน่น ยังไม่อยากผูกมัดกับใคร เขาอยากใช้ชีวิตอยู่คนเดียวมากกว่า เพราะแค่นึกว่าจะมีผู้หญิงสักคนมาป้วนเปี้ยนใกล้ตัว เขาก็อยากจะกระอักแล้ว
เขายังรักผู้หญิง เขาไม่ปฏิเสธพวกเธอ แต่เขามีเส้นแบ่งกั้นระหว่างตัวเองกับพวกเธอเสมอ
ชายหนุ่มวิ่งกลับมายังรีสอร์ตเมื่อแสงจากโคมไฟที่ติดตั้งตามแนวทางเดินสว่างขึ้น เขาหายใจเข้าปอดลึกๆ สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของตัวเองตั้งแต่มาพักอยู่ที่นี่ ร่างกายของเขาแข็งแรงมากขึ้น เหมือนกับว่ามันกำลังถูกฟื้นฟูจากข้างใน แถมสภาพจิตใจก็ถือว่าดีตามไปด้วย อารมณ์หงุดหงิดที่เคยโฉบเข้ามาในบางทีนั้นก็ไม่ได้ย่างกรายมาอีก
เมื่อก้าวขึ้นบันไดเรือนพักของรีสอร์ตที่ทอดลงมายังพื้นเพียงไม่กี่ขั้น ชายหนุ่มก็เห็นถาดอาหารมื้อเย็นวางไว้เรียบร้อยแล้ว พนักงานจัดมาให้ตรงเวลา เขาจึงประคองมันเข้าไปข้างในด้วย แต่ต้องสบถออกมาเมื่อเท้าพลาดไปเหยียบบางสิ่ง
“อ้าว! ฉิบหายแล้วสิ มือถือเรานี่หว่า จอแตกไหมเนี่ย”
ชายหนุ่มรีบนำถาดอาหารไปวางบนโต๊ะรับประทานอาหารที่เขาจับจองตามลำพังอยู่ทุกวี่วัน ก่อนจะกลับมาหยิบของที่ถูกทิ้งไว้ข้างประตูตั้งแต่ช่วงเย็นขึ้นมาส่องกับแสงไฟ พลันก็รู้สึกโล่งใจเพราะเห็นว่ามันยังไม่บุบสลาย
เจตน์เปิดหน้าจอขึ้นมาตรวจสอบแล้วเห็นว่าโทรศัพท์ยังใช้งานได้ดี หากก็พบว่ากันต์ส่งการ์ดงานแต่งงานมาให้ทางโปรแกรมสนทนานานหลายชั่วโมงแล้ว
“ใครแต่งงาน”
เพ่งพิศและครุ่นคิดหลายวินาที เจตน์ก็ไม่รู้อยู่ดีว่าเจ้าบ่าวและเจ้าสาวเป็นใคร...แต่นามสกุลของเจ้าสาวก็พอคุ้นตา
“กันต์ส่งมาผิดหรือเปล่า”
นั่นเป็นสิ่งแรกที่เขานึกได้ แต่พอไล่สายตามาเห็นสถานที่จัดงานเลี้ยงแต่งงาน ซึ่งเป็นโรงแรมที่มีชื่อพ้องกับรีสอร์ตแห่งนี้...ชายหนุ่มก็สงสัยทันทีว่าคนส่งการ์ดแต่งงานใบนี้มีเจตนาอย่างไร
บ้าหรือเปล่า ฉันเกี่ยวอะไรกับเด็กพวกนี้ ไร้สาระจริงๆ
ใกล้เวลาสามทุ่ม เจตน์ลุกขึ้นจากโซฟาหลังจากผุดลุกขึ้นมานั่งแล้วเปลี่ยนใจกลับไปเอนกายนอนดูหนัง แต่มันกลับไม่เข้าหัว เขาจึงตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องนอน หยิบกางเกงยีนกับเสื้อทีเชิ้ตสีเทาจากตู้เสื้อผ้ามาสวม แล้วทับด้วยแจ็กเก็ตสูทสีดำ
ชายหนุ่มก้าวออกจากเรือนพักไปสู่ศูนย์บริการทางด้านหน้าเพื่อรับกุญแจรถยนต์ที่เขาเช่าไว้ใช้ตลอดช่วงที่พักอยู่ที่นี่ เพียงไม่กี่นาทีจากนั้น รถคันสีขาวก็เคลื่อนออกสู่ถนนแล้วเลี้ยวไปจอดตรงลานจอดด้านหน้าโรงแรมในเครือเดียวกันซึ่งตั้งค่อนไปทางกลางเมือง
ผู้จัดการโรงแรมที่กำลังเดินสำรวจความเรียบร้อยของโรงแรมรีบปรี่ไปต้อนรับเมื่อเห็นรถจากรีสอร์ตแล่นเข้ามา ซึ่งไม่แคล้วว่าจะเป็นลูกค้าวีไอพีของเจ้านาย…และโชคดีที่เขาจำลูกค้าคนนี้ได้
“สวัสดีครับคุณเจตน์ ไม่ทราบว่ามีธุระที่ชั้นไหนครับ ผมจะให้พนักงานพาไป”
“ผมแค่อยากหาอะไรกินน่ะ”
ผู้จัดการโรงแรมทำท่าจะส่งสัญญาณเรียกพนักงานหญิงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เพื่อเชิญเขาไปยังห้องอาหาร แต่เจตน์ยกมือเป็นเชิงห้ามไว้ เขาก้าวยาวๆ เข้าไปในโรงแรม แล้วตรงไปยังร้านขายเครื่องดื่มที่อยู่ใกล้ล็อบบี้
เจตน์สั่งเครื่องดื่มที่ต้องการกับพนักงานขายตรงเคาน์เตอร์หน้าร้าน แล้วเข้ามาด้านในเพื่อเลือกโต๊ะที่อยู่ติดกับผนังกรุกระจกซึ่งสามารถมองออกไปข้างนอกได้ชัดตา
ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือมาเปิดดูการ์ดแต่งงานที่กันต์ส่งมาให้ ไม่อยากคาดเดาเจตนาของน้องชายว่าส่งให้เขาทำไม...เพราะถึงอย่างไรเขาก็มานั่งอยู่ตรงนี้แล้ว
บ้าฉิบหาย! มาถึงโรงแรมแล้วเอายังไงต่อ ถ้าจู่ๆ แม่นั่นโผล่มาเจอเรา...แล้วจะเอายังไง
เจตน์ยังงงกับการกระทำของตัวเอง และเมื่อพนักงานนำชานมไข่มุกที่เขาสั่งไว้มาเสิร์ฟถึงโต๊ะ ชายหนุ่มจึงได้โอกาสตัดความว้าวุ่นออกจากหัว
เมื่อชานมไข่มุกพร่องไปครึ่งแก้ว คนตัวใหญ่ก็มองไปรอบๆ ร้าน เพิ่งรู้ตอนนี้แหละว่าตนกำลังตกเป็นที่สนใจของหนูน้อยตัวกลม เจ้าเด็กคนนั้นนั่งแกว่งขาสั้นๆ อยู่บนเก้าอี้ตรงโต๊ะตัวถัดไป แล้วจ้องมองเขาอย่างอยากรู้อยากเห็น
แวบหนึ่งนั้นคนตัวโตที่มีหนวดเคราปกคลุมไปเกือบครึ่งหน้านึกอยากแยกเขี้ยวขู่เจ้าเด็กนั่นให้สะดุ้ง แต่แค่สบตากัน ดวงตากลมคู่นั้นก็หรี่เรียวยิบหยี พร้อมกับเจ้าตัวยกนิ้วชี้ป้อมๆ ทั้งสองข้างขึ้นมาวางทาบเหนือริมฝีปาก
หน็อย! บังอาจล้อเลียนผู้ใหญ่ เดี๋ยวพ่องับพุงกะทิซะหรอก
ชะรอยพ่อหนูน้อยจะรู้ความคิดเขา เจ้าตัวสะดุ้งโหยงแล้วโผไปกอดหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างกัน ซึ่งคงเป็นแม่ของเด็กชาย
เจตน์ปรับสีหน้าแทบไม่ทันเมื่อผู้หญิงคนนั้นหันมาหา ชักร้อนตัวที่ตนคิดไม่ดีกับเจ้าเด็กตัวกลม แต่ทุกอย่างกลับกลายเป็นคนละเรื่อง
“ขอโทษนะคะที่ลูกชายกวนคุณ”
เธอพูดพลางก้มศีรษะน้อยๆ ซึ่งทำให้คนตัวโตถึงกับเงอะงะไปเลย เพราะตั้งรับไม่ทัน ก่อนจะได้ยินแม่กับลูกตรงโต๊ะนั้นโต้ตอบกันเอง
“ต๊อดไม่ล้อเลียนคุณลุงนะคะ ทำอย่างนี้เป็นเด็กไม่ดีค่ะ ขอโทษคุณลุงก่อนดีไหม”
“ขอโทษทำไมครับ ต๊อดแค่บอกคุณลุงว่าคุณลุงมีขนตรงนี้...แล้วก็ตรงนี้ๆ ด้วย”
เด็กชายพูดอย่างฉะฉานพลางชี้บนใบหน้าของตัวเอง จนคนเป็นแม่ต้องรีบยกปลายนิ้วแตะริมฝีปากเล็กๆ เป็นเชิงให้หยุดพูด แล้วก้มลงพูดกับเด็กชายด้วยเสียงเบาลง
เขาไม่รู้หรอกว่าแม่ลูกคู่นั้นพูดคุยอะไรกัน แต่หลังจากนั้นก็เห็นเด็กชายไถลตัวลงจากเก้าอี้ เดินมาหาเขาอย่างกล้าหาญ ก่อนจะยกมือไหว้ด้วยท่าทางน่าเอ็นดู
“สวัสดีครับ ผมชื่อเด็กชายต๊อด อายุสามขวบ เป็นลูกพ่อโต๋กับแม่แต้วครับ คุณแม่ให้ต๊อดมาขอโทษคุณลุงที่ต๊อดทำอย่างนี้ คุณแม่บอกว่าการล้อเลียนผู้ใหญ่เป็นสิ่งไม่ดี”
เด็กชายยกสองนิ้วชี้ขึ้นมาวางเหนือริมฝีปากตัวเองประกอบคำพูด ก่อนจะขยับขาสั้นๆ มาใกล้เขาอีกสองก้าว แล้วพูดด้วยระดับเสียงที่ได้ยินกันเพียงสองคน
“ต๊อดไม่ได้ล้อเลียนนะครับ ต๊อดแค่จะบอกคุณลุงว่าต๊อดชอบขนบนใบหน้าของคุณลุง แต่คุณแม่เป็นผู้หญิง คุณแม่ไม่เข้าใจ...โตขึ้นต๊อดจะมีขนเยอะๆ เหมือนคุณลุงนะครับ”
เด็กชายทำหน้าเจ้าเล่ห์ ก่อนจะวิ่งจู๊ดกลับไปนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิม แล้วไม่ได้สนใจเขาอีก ทิ้งให้คนตัวโตนั่งกอดอกเก๊กมาดขรึมด้วยความงงงันตามลำพัง
วันนี้เป็นวันอะไรวะ ทำไมมีแต่เรื่องแปลกๆ
เริ่มสำนึกว่าตนได้หลงมาอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย เขาจึงต้องพบกับสถานการณ์ประหลาดอย่างเมื่อครู่ อีกทั้งเมื่อถามตัวเองถึงจุดประสงค์ของการมาที่โรงแรมแห่งนี้ เจตน์ก็ตอบได้ไม่ชัดเจน
เมื่อทบทวนถึงตรงนี้ คนตัวใหญ่ก็ลุกขึ้นอย่างไม่รีรอ เขาวางธนบัตรสีเทาบนโต๊ะเป็นค่าเครื่องดื่ม แล้วเดินออกไปนอกร้าน...ตั้งใจจะขับรถกลับรีสอร์ตไปเสีย
เจตน์ไม่ชอบอยู่ในความคลุมเครือ ความคิดที่ไม่ชัดเจนทำให้เขาไม่มั่นใจ สุดท้ายแล้วเขาไม่ชอบที่ตัวเองต้องตกอยู่ในความรู้สึกแบบนี้