บทที่ 3 เก็บตก
เจตน์เดินออกมาถึงลานจอดรถด้านหน้าโรงแรม แล้วตรงไปเปิดประตูรถยนต์คันสีขาว พลันสายตาเหลือบเห็นหนุ่มสาวคู่หนึ่งอยู่ตรงรถตู้ที่จอดอยู่ไม่ไกลกัน ในทีแรกเขาคิดจะมองผ่านไป แต่เสี้ยววินาทีถัดมา ชายหนุ่มก็ต้องเขม้นมองซ้ำ
นั่นเด็กมะนาวหรือเปล่า
เขาเห็นหน้าฝ่ายชายชัดเจน ขณะที่เห็นฝ่ายหญิงเพียงด้านหลัง แต่ก็คิดว่าตนจดจำทรวดทรงองค์เอวของเธอได้ หากพอคิดๆ ไป ชายหนุ่มกลับลังเล สงสัยว่าตนอาจตาฝาด
เราจำหุ่นของเด็กนั่นได้ตั้งแต่เมื่อไร หรือจะเมาชานมไข่มุกวะ
เจตน์เข้าไปนั่งในรถ แต่เขาก็ตัดใจเคลื่อนรถออกไปไม่ได้ จึงตัดสินใจสังเกตท่าทีของหนุ่มสาวคู่นั้นต่อ
เจ้าหนุ่มตระกองกอดหญิงสาวด้วยท่าทีสนิทสนม มองปราดเดียวก็รู้ว่าสัมผัสถึงเนื้อถึงตัวขนาดนี้ก็ย่อมไม่ใช่คนรู้จักผิวเผิน พลันก็นั่งไม่ติดเอาดื้อๆ เพราะเขามองออกว่าผู้หญิงมีท่าทีขัดขืน แม้เธอจะแสดงอาการไม่ชัดเจนนัก
เจตน์มองไปรอบๆ ลานจอดรถเพื่อจะบอกพนักงานโรงแรมให้เข้าไปดูเหตุการณ์ แต่เขากลับไม่เห็นพนักงานสักคน แม้ยังไม่รู้ว่าฝ่ายหญิงเป็นใคร แต่จิตใต้สำนึกบอกว่าหากเธอไม่เต็มใจ เขาก็ไม่ควรปล่อยให้เหตุการณ์มันผ่านเลยไปโดยไม่ทำอะไรเลย
จนเห็นว่าผู้หญิงพาตัวเองออกมาจากการโอบรัดได้สำเร็จ เธอยังไม่ถอยห่าง แต่หันไปซบอยู่กับรถตู้เพื่อพยุงตัว ส่วนฝ่ายชายนั้นยังพยายามรั้งเธอให้เข้าไปข้างในรถ
เจตน์เปิดประตูรถของตัวเองออกมา แล้วตรงไปหาหนุ่มสาวคู่นั้นทันที
“มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ”
น้ำเสียงกร้าวขึ้น ทั้งที่ตั้งใจจะถามกันดีๆ แต่เป็นเพราะเมื่อเข้ามาใกล้ขนาดนี้ เจตน์ก็มั่นใจไปกว่าครึ่งแล้วว่าผู้หญิงที่ยังเห็นเพียงด้านหลังนั้นเป็นคนที่เขาคิดไว้อย่างแน่นอน
“ไม่มีครับ แฟนผมเมา ผมจะพากลับบ้าน”
ผู้ชายคนนั้นบอกเขา เห็นชัดเจนว่าเจ้าตัวพยายามกลบเกลื่อนสีหน้าให้เป็นปกติจนเกินความจำเป็น
“ไม่...ไม่ใช่ ไม่กลับ”
เสียงค้านแผ่วเบาของหญิงสาวช่วยยืนยันให้เจตน์มั่นใจว่าเธอเป็นใคร...เนื้อตัวของเขาแข็งเกร็งขึ้น
“แต่ผู้หญิงไม่อยากกลับกับคุณ”
นี่เป็นครั้งแรกที่เจตน์เข้าไปยุ่งเรื่องของหนุ่มสาว เขาไม่รู้ว่าเจ้าหมอนี่เป็นแฟนของเธอจริงหรือเปล่า เพราะไม่ได้รู้เรื่องของเธอมากขนาดนั้น
ชายร่างสูงผอมไม่ตอบเขา แต่กลับพูดกับหญิงสาวแทน
“ไม่เอาน่าที่รัก คุณเมาทีไรแล้วชอบเถียงว่าไม่เมาทุกที กลับบ้านเราเถอะ”
หญิงสาวเบี่ยงกายออกจากการโอบรั้งเต็มกำลัง เมื่อเธอทำท่าจะเซล้ม สัญชาตญาณปกป้องภัยของเจตน์ก็ทำให้เขาปราดเข้าไปประคองเธอไว้ทันท่วงที
ดวงตากลมโตที่ปรือขึ้นมาสบตานั้นทำให้เจตน์แทบลืมหายใจ แม้แสงไฟบริเวณลานจอดรถจะไม่สว่างจ้า แต่เขาเห็นว่าดวงหน้ารูปหัวใจของเธอกำลังเป็นสีแดงเรื่อ
“กลับด้วย...พาหนูกลับบ้าน”
ไม่เพียงพูดเปล่า เธอยังจิกแขนเสื้อเขาไว้เหมือนเด็กต้องการที่พึ่ง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มกร้าวขึ้นเมื่อมองชายร่างผอมสูงที่ยามนี้ถอยห่างออกไปสองสามก้าว
“คุณส่งเธอมาให้ผม คุณไม่เกี่ยว เธอเป็นรุ่นน้องของผม”
“เมื่อกี้นายบอกว่าเธอเป็นแฟน”
“เราเพิ่งเป็นแฟนกัน”
ชายคนนั้นตอบทันที เจตน์ไม่รู้ว่าคำพูดนั้นเป็นความจริงหรือเปล่า แต่เขาไม่คิดจะหาคำตอบ เพราะรู้ว่าตัวเองควรจัดการอย่างไร
“มะนาวจะกลับกับผม”
“คุณว่าอะไรนะ แล้ว...คุณรู้จักมะนาวด้วยหรือ”
ไม่มีความจำเป็นที่จะพูดต่อความยาวสาวความยืด เจตน์รั้งเจ้าเอวบางที่เกาะหนึบอยู่กับเขาไปที่รถ ท่าทียินยอมพร้อมใจของเธอทำให้พนักงานโรงแรมที่เพิ่งเข้ามาดูเหตุการณ์ไม่กล้าเข้าไปขัดจังหวะสอบถาม
เมื่อเจตน์จัดแจงให้เธอนั่งบนเก้าอี้ฝั่งผู้โดยสารแล้วปิดประตูให้อย่างเรียบร้อย หากก่อนจะได้อ้อมไปประจำที่คนขับรถ เขาก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น
“เดี๋ยวค่ะ เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น แล้วน้องผู้หญิงเป็นอะไรหรือเปล่า”
เจตน์สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วหันไปสบตาหญิงสาวที่กำลังแบกร่างกลมป้อมของเด็กชายที่ดูเหมือนจะหลับสนิทไว้บนบ่า
‘สวัสดีครับ ผมชื่อเด็กชายต๊อด อายุสามขวบ เป็นลูกพ่อโต๋กับแม่แต้วครับ...’
ถึงตอนนี้สมองของเขาประมวลเรื่องราวบางอย่างได้แล้ว
“น่าจะเมาครับ ผมจะพากลับไปพักให้สร่างเมา”
เจตน์หยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกง แล้วตัดสินใจเปิดภาพการ์ดเชิญร่วมงานเลี้ยงแต่งงานให้แม่ของเด็กชายต๊อดดู
“ผมเป็นพี่ชายของกันต์ คุณอาจรู้จักเขา เขาเป็นเพื่อนของสามีคุณ ผู้หญิงคนนี้อยู่ที่บ้านของผม เธอมางานเลี้ยงนี้ ผมตามมาดูแลเธอ”
“ฉันรู้จักคุณกันต์และรู้จักคุณด้วยค่ะ” หญิงสาวบอกเขา ก่อนจะตบท้ายด้วยถ้อยคำที่เธอคิดว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุด “ถ้าคุณจะพาเธอไปที่รีสอร์ต ฉันจะบอกให้พนักงานคอยดูแลเธอค่ะ”
“เอาตามนั้นก็ได้ครับ”
เจตน์ยอมรับข้อเสนอของภรรยาเจ้าของสถานที่ มันเป็นทางออกที่ดีที่สุดในยามนี้ และที่สำคัญ เขาอยากออกไปจากตรงนี้เต็มทีแล้ว
ภูเก็ตออกจะกว้าง คนก็มีตั้งมากมาย นิวราไม่ได้คาดหวังว่าจะเจอเจตน์ที่นี่ แต่ดูตอนนี้สิ บทจะเจอ...เธอก็เจอเขาอย่างง่ายดาย แถมเจอในสถานการณ์ที่เธอไม่อยากตื่นขึ้นมาเผชิญหน้ากับเขาด้วย
“ผู้จัดการให้หนูสองคนมาดูแลคุณผู้หญิงค่ะ”
ผู้หญิงหนึ่งในสองคนที่ยืนรออยู่หน้าเรือนพักบอกทันทีเมื่อเจตน์เปิดประตูรถออกมา
‘คุณผู้หญิง’ ยังนอนหลับคอพับคออ่อนอยู่ในรถ แม้จะถูกเขย่าแขนปลุกไปสองรอบแล้ว แต่เธอก็ยังไม่ตื่น จนเจตน์ต้องตัดสินใจช้อนร่างของเธอขึ้นมาสู่อ้อมแขน
น้ำหนักของนิวราไม่มากหรอก แต่การต้องอุ้มเธอเดินบนผืนทราย ต่อด้วยการก้าวขึ้นบันไดสู่เรือนพัก มันทำให้เขาต้องหายใจหอบได้เหมือนกัน ส่วนคนที่ยังนอนหลับตาพริ้มก็ต้องฝืนตัวเองอย่างหนักที่จะไม่เกร็งตัว ขณะที่ในใจก็นึกหวั่นว่าตนจะหล่นตุ้บลงไปในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง
เสียงเปิดและปิดประตูดังขึ้นเบาๆ จากนั้นนิวราก็รู้สึกถึงความนุ่มสบายเมื่อแผ่นหลังสัมผัสกับที่นอน...ทว่าเมื่อความอบอุ่นหนั่นแน่นถูกพรากจากไป เธอก็แทบถอนหายใจด้วยความเสียดาย
“ให้เธอนอนในห้องนี้แหละ ผมฝากคุณสองคนช่วยจัดการต่อก็แล้วกันนะ”
“ได้ค่ะ หนูจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คุณผู้หญิง ส่วนน้ำดื่มก็จะวางไว้ให้บนโต๊ะใกล้หัวเตียง เผื่อเธอตื่นมาแล้วจะหิวน้ำค่ะ”
“ขอบคุณ จัดการเสร็จก็กลับไปได้ ไม่ต้องอยู่เฝ้าหรอก...เธอแค่เมาเหล้า ตื่นมาก็คงสร่างเมาเอง”
แม้ร่างกายจะตอบสนองต่อคำสั่งจากสมองได้ไม่เต็มร้อย แต่สติสัมปชัญญะของนิวรายังมีครบถ้วน เธอได้ยินทุกคำพูดของเจตน์ และรับรู้ทุกการกระทำด้วย
ทางด้านเจตน์นั้น เมื่อเดินออกจากห้องพักทางปีกซ้ายที่ปล่อยให้นิวราครอบครอง เขาก็กลับไปยังห้องนอนของตัวเองที่อยู่ฝั่งตรงกันข้าม เรียวปากหยักกระตุกยิ้มขันเมื่อนึกถึงคำพูดของกันต์เมื่อช่วงเย็น
ผ่านมาไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง เขาต้องหิ้วซากเด็กดีของน้องชายมาเก็บไว้ที่รีสอร์ต…นึกอยากจะให้คนที่บ้านมาเห็นสภาพของนิวราในเวลานี้จริงๆ
ไงล่ะ เชื่อหรือยังว่าพวกผู้หญิงใสๆ แต่ข้างในหวือหวาทั้งนั้น ฉันเจอจนชิน