บทที่ 6 หมีขี้โมโห
เจตน์หยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มหลังจากจัดการสเต๊กเนื้อหมดจาน แล้วหยิบบิลอาหารไปชำระเงินผ่านคิวอาร์โค้ดตรงเคาน์เตอร์ซึ่งจัดวางไว้ให้แขกบริการตัวเอง
แม้ไม่ได้ยินกับหู แต่สัญชาตญาณบอกให้เจตน์รู้ว่าเมื่อสักครู่ตนตกเป็นหัวข้อสนทนาของพนักงานรีสอร์ต แถมยังตอกย้ำว่าเขาคิดไม่ผิดอย่างแน่นอน เพราะจำได้ว่าพวกเธอเป็นพนักงานที่ไปช่วยดูแลนิวราเมื่อคืนนั่นเอง
ความสงบที่มาพร้อมกับความสะดวกสบายกำลังเปลี่ยนไป แถมความเป็นส่วนตัวก็แทบไม่เหลือแล้ว ต้นเหตุจะเป็นใครเสียไม่ได้ นอกจากเด็กตัวเปี๊ยกในวันวานที่ยังนั่งตีหน้าซื่ออยู่ตรงระเบียงเรือนพัก
“เธอจะกลับเมื่อไร”
เจตน์เดินไปถึงเรือนพักแล้วขึ้นบันไดไปหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมามองเขา สีหน้าและแววตาส่อความกระตือรือร้น...จนคนถามนึกหงุดหงิดอย่างไม่รู้สาเหตุ
“หนูต้องไปเอาเสื้อผ้าที่โรงแรมก่อนค่ะ”
คำตอบไม่ตรงคำถาม...แต่เจตน์คร้านจะเซ้าซี้ แค่คิดว่านิวรากำลังจะกลับ มันก็หมดเรื่องของเขา
เขาเดินผ่านคนเจ้าปัญหาเพื่อจะเข้าไปในเรือนพัก แต่ต้องชะงักเท้ากึกเมื่อได้ยินเสียงใสๆ ไล่ตามมาทางด้านหลัง
“คุณเจตน์มีรถใช่ไหมคะ คุณช่วยขับรถไปส่งหนูได้ไหม”
แรกทีเดียวเจตน์คิดจะให้เธอนั่งรถรับจ้างออกไปเอง พนักงานรีสอร์ตคงช่วยเธอหารถได้ไม่ยาก แต่พอหันไปกราดสายตามองทั่วกายหญิงสาว แล้วนึกถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดกับตนในร้านอาหาร ชายหนุ่มก็ถอนหายใจยาว
ทั้งร่างของนิวรามีแค่เสื้อยืดของเขาตัวเดียว…แต่ก็ยังดีที่เธอไม่โนบรา
“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เดี๋ยวฉันไปส่ง”
ชายหนุ่มบอกเสียงห้วน ก่อนเขาจะเดินย่ำเท้าลงจากเรือนพักไปรอด้านนอกเสีย
เข็มยาวของนาฬิกาข้อมือเรือนแพงเคลื่อนผ่าน บอกให้รู้ว่าเวลาผ่านไปครบสิบนาที คนที่นั่งไขว่ห้างบนเก้าอี้ใต้ต้นไม้ใหญ่ใกล้เรือนพักก็ได้ยินเสียงหวานใสดังขึ้นจากด้านหลัง จนเขาต้องถอนสายตาจากท้องทะเลแล้วหันไปมองเธอ
“หนูเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วค่ะ”
เจตน์เบิกตากว้าง ดวงตาคู่คมสีน้ำตาลจุดประกายวาบขึ้นเมื่อเห็น ‘เสื้อผ้า’ บนกายเจ้าหล่อน
“หนูขอยืมแจ็กเก็ตของคุณมาสวมทับก่อนนะคะ เอ่อ...เดรสของหนูมันโป๊” นิวราบอกเสียงอ่อย รู้ว่าเขาคงไม่พอใจที่เธอบังอาจไปยุ่มย่ามกับของใช้ส่วนตัว แต่เธอมีทางเลือกที่ไหนกันเล่า
“เธอใส่ไปแล้วนี่”
เสียงห้าวทุ้มดังอยู่ในลำคอ ก่อนเขาจะลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินนำเธอไปยังรถคันสีขาวซึ่งจอดไว้ตั้งแต่เมื่อคืน นิวรามองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นรถเช่าของรีสอร์ต
เจตน์เปิดประตูรถเข้าไปนั่งประจำตำแหน่งคนขับ รถคันกะทัดรัดคันนี้เล็กไปถนัดตาเมื่อเทียบกับเรือนกายสูงใหญ่ของเขา
หญิงสาวเปิดประตูรถตามเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ฝั่งผู้โดยสารโดยไม่ต้องรอให้เขาบอก หากลมหายใจต้องสะดุดเมื่อสัมผัสได้ว่าตนอยู่ในสถานที่ที่มีพื้นที่จำกัดร่วมกับเขา...อย่าว่าแต่ขยับตัวเลย เวลานี้แม้แต่จะปล่อยลมหายใจตามปกติ เธอก็ทำไม่ได้
“โรงแรมที่เธอพักอยู่ที่ไหน”
คนที่บังคับรถให้เคลื่อนผ่านอาณาบริเวณของรีสอร์ตจนออกสู่ถนนสายหลักถามขึ้น หากสมองของนิวรากลับตื้อตึง ก่อนเธอจะตอบเขาอย่างพาซื่อ
“หนูจำทางไม่ได้”
รถคันสีขาวชะลอความเร็วลง สีหน้าของคนขับส่อแววหงุดหงิดอย่างไม่ปิดบัง
นิวรารู้สึกตัวก็รีบหยิบกระเป๋าสตางค์สีส้มสดออกจากกระเป๋าสะพายที่ถือติดตัว เธอค้นหาบางสิ่งไม่กี่วินาทีก็หยิบการ์ดใบหนึ่งออกมา แล้วหันไปบอกเขาอย่างดีใจ
“เจอแล้วค่ะ ชื่อโรงแรมลลันดา แกรนด์วิว”
แล้วเจ้าของเสียงใสๆ ก็อ่านที่อยู่ของโรงแรมที่ปรากฏอยู่บนการ์ดให้เขาฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ เมื่ออ่านจบ เธอก็ชำเลืองมองเขาอย่างกริ่งเกรง หากชายหนุ่มยังนั่งนิ่งเฉย จนเธอต้องถามอย่างไม่มั่นใจ
“คุณเจตน์รู้จักโรงแรมนี้ไหมคะ แล้วคุณไปถูกไหม”
เงียบ...ไม่มีเสียงตอบกลับมา นิวราลอบผ่อนลมหายใจออกอย่างช้าๆ หวังให้ตัวเองผ่อนคลายจากสถานการณ์ที่ชวนอึดอัดรัดรึงเข้าไปทุกที หากเธอก็ปลอบตัวเองไว้
เอาน่า มาถึงขั้นนี้แล้ว จะถอยกลับง่ายๆ ได้ยังไง ลุยต่อไป
รถคันสีขาวแล่นไปจอดหน้าโรงแรมในเวลาเลยเที่ยงวันไปสิบห้านาที นิวรายิ้มกว้างเมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถแล้วจำได้ว่าเป็นโรงแรมที่เธอกับเพื่อนจองไว้เป็นที่พักตั้งแต่เมื่อวาน
“ถึงแล้วค่ะ โรงแรมนี้แหละ มะนาวจำได้แล้ว”
เธอบอกเขาทั้งที่ไม่จำเป็นสักนิด ก่อนร่างสาวจะเปิดประตูรถแล้วก้าวลิ่วนำเข้าไป ทิ้งให้คนขับรถนั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถตามลำพัง
เจตน์พ่นหายใจแรงๆ เขาบอกตัวเองไม่ได้ว่ากำลังรู้สึกอย่างไร รู้แต่ว่ามันชวนหงุดหงิดชะมัด แม้ไม่รู้ว่าตนหงุดหงิดเรื่องอะไรกันแน่
เมื่อคิดว่าพื้นที่ภายในรถคับแคบเกินไป ชายหนุ่มจึงดับเครื่องยนต์แล้วออกมายืนรอข้างนอก แต่แสงแดดแผดจ้าก็ทำให้เขาต้องเดินตามเธอเข้าไปในล็อบบี้ของโรงแรมด้วย
เจตน์หยุดฝีเท้าเมื่อเห็นนิวรากำลังคุยอยู่กับพนักงานโรงแรม ก่อนที่คนทั้งคู่จะหายเข้าไปด้านใน เขาจึงตัดสินใจยืนปักหลักรออยู่ไม่ห่างจากเคาน์เตอร์เช็กอิน...อย่างน้อยที่ตรงนี้ก็เย็นสบายกว่าตรงลานจอดรถ
ไม่นานเกินรอ นิวราก็ลากกระเป๋าเดินทางใบสีขาวออกมา คนยืนรอยังปักหลักอยู่ที่เดิม เพราะคิดว่าเจ้าหล่อนคงหันมาเห็นเขาเอง
หากชายหนุ่มต้องขยับตัวโดยอัตโนมัติเมื่อเห็นชายร่างผอมสูงคุ้นตาปราดไปหานิวรา ท่าทางของเธอดูตกใจไม่น้อย
“มะนาว! มะนาวเพิ่งกลับมาเหรอ แล้วหายไปไหนมาทั้งคืน”
หน้าตาของนิวราเลิ่กลั่ก แค่เพียงข้ามวันหลังจากอนุชาก่อเรื่องกับเธอ เธอก็ไม่คิดว่าเขายังกล้าเผชิญหน้ากับเธออีก แล้วดูตอนนี้สิ กลับเป็นเธอเองที่กลัวใครจะมาเห็น เหมือนว่าเหตุการณ์เมื่อคืนเธอเป็นฝ่ายผิดเสียนี่
“พี่นุ้ยปล่อยมือมะนาวก่อนค่ะ”
หญิงสาวสะบัดมือแรงๆ แต่ไม่น่าเชื่อว่าเรี่ยวแรงของอีกฝ่ายจะมีมากจนถึงขนาดที่เธอดึงรั้งข้อมือตัวเองอย่างไรมันก็ไม่ยอมหลุด
“มะนาวคุยกันก่อน พี่อยากขอโทษเรื่องเมื่อคืน พี่ไม่ได้ตั้งใจ พี่คงเมามากไปเลยทำอะไรไม่รู้ตัว แล้วแจนกับกวางล่ะ สองคนนั้นไปไหน หรือว่ากลับกรุงเทพฯ ไปแล้ว” อนุชาถามรัว ท่าทางของเขาเหมือนไม่ยอมจบเรื่อง
นิวราพานหายใจไม่ออก มันอึดอัดไปหมด มันเป็นสถานการณ์ชวนกระอักกระอ่วนสิ้นดี และที่สำคัญ เธอขยะแขยงสัมผัสจากชายรุ่นพี่คนนี้เหลือเกิน
“มะนาวไม่มีอะไรจะคุยกับพี่นุ้ย ปล่อยมือมะนาวได้แล้วค่ะ มะนาวต้องรีบไป”
“ไปไหน แล้วมะนาวจะไปกับใคร หรือว่าไปกับไอ้ฝรั่งคนเมื่อคืนอีก”
“หยุดพูดไม่ดีกับมะนาว แล้วหยุดเรียกคุณเจตน์ว่าไอ้ฝรั่งด้วย! เพราะเขาเป็นคนไทย มะนาวรู้จักเขาดี”
นิวราแหวเสียงดัง ตั้งแต่เกิดมาเธอไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้ เธอไม่ทันได้ตั้งตัว และเธอก็รับมือได้ไม่ดีเสียด้วย
“มะนาวนอนกับเขาแล้วใช่ไหมถึงบอกว่ารู้จักเขาดี”
ร่างกายของนิวราสั่นเทา มันเป็นคำสบประมาทที่รุนแรงเกินไป เธอขยับปากจะโต้ แต่กลับไม่มีเสียงหลุดลอดออกมา เพราะเธอกำลังโกรธจัดจนควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่แล้วหญิงสาวก็ได้ยินเสียงหนึ่งแทรกเข้ามา
“ปล่อยมือเธอ”
เสียงกร้าวนั้นแม้ไม่ดังมาก หากหยุดอนุชาได้ แถมยังทำให้นิวราต้องยืนตัวแข็งเกร็งไปด้วย
“อ๋อ! คุณนี่เอง”
อนุชามองปราดเดียวก็จำได้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร เพราะรูปลักษณ์ของเขาเด่นสะดุดตา รับรองได้ว่าใครได้เจอเขาสักครั้งเดียวก็คงไม่ลืมกันง่ายๆ
หากจะวัดกันด้วยเรี่ยวแรง อนุชาก็ประเมินได้ทันทีว่าตนไม่อาจเทียบเจ้าของกายล่ำสันคนนี้ได้ แม้ไม่มีท่าทีคุกคาม เจ้าตัวยังคงยืนมองนิ่งๆ แต่แววตาล้ำลึกคู่นั้นมันทำให้อนุชาหวาดหวั่นอยู่ลึกๆ...แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว เขาไม่อยากถอยจากสาวรุ่นน้องที่หมายปองไปง่ายๆ
“มะนาวเป็นแฟนของผม เมื่อคืนคุณล่อลวงเธอไปทั้งคืน ผมจะแจ้งความให้ตำรวจจับคุณเข้าคุก”
“ผมไม่มีเวลาพูดจาไร้สาระกับคุณ แต่ถ้าคุณยังไม่ปล่อยมือเธอก็อย่าหาว่าผมทำรุนแรง”
“คุณจะต่อยผมเหรอ”
สิ้นเสียงถามนั้น อนุชาก็เซแซ่ดๆ ลงไปนอนวัดพื้น ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก กว่าเขาจะรู้ตัวก็พบว่าตัวเองล้มอย่างหมดท่าอยู่กลางล็อบบี้แล้ว ความอายจากการเสียหน้ามันเทียบความเจ็บแปลบตรงสันกรามไม่ได้ เขารีบลุกขึ้น แล้วจ้องหน้าคนที่ทำร้ายเขาอย่างโกรธจัด
“ไอ้หน้าตัวเมีย มึงเล่นทีเผลอกับกู กูจะแจ้งความ กูจะเอาเรื่องมึง”
“อ้าวเหรอ! เมื่อกี้คุณเผลอเหรอ แต่คุณถามเองนะว่าผมจะต่อยคุณเหรอ แสดงว่าคุณรู้ตัว ส่วนเรื่องที่คุณจะแจ้งความ มันก็เป็นสิทธิ์ของคุณ แต่ตอนนี้ผมขอตัวก่อน”
เจตน์ยังรักษาท่าทีนิ่งสงบแม้ขณะพูดยียวนตอกกลับ ก่อนเขาจะเดินออกไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ชายหนุ่มรับรู้จากเสียงลากกระเป๋าว่าหญิงสาวเดินตามมาติดๆ จนเมื่อก้าวพ้นจากล็อบบี้โรงแรม เขาก็หันไปมองเธอ
ร่องรอยความรู้สึกบนดวงหน้าหวานทำให้เจตน์ชะลอฝีเท้ารอนิวราเดินมาใกล้ ก่อนจะยื่นมือไปดึงกระเป๋าเดินทางจากเธอมาถือไว้เอง