บทที่ 4 กล้าลองดี
บทที่ 4 กล้าลองดี
จื่อเม่ยไม่ได้รับแม้แต่น้ำข้าวจากครัวของจวน เสี่ยวจิ่งบ่นอุบอิบว่าพวกนางกำเริบเสิบสานยิ่งนัก แต่เพราะได้รับอาหารจากแม่นมของซื่อจื่อ เสี่ยวจิ่งจึงไม่ไปหาเรื่องให้ลำบากอีก
หลายวันต่อมาจื่อเม่ยอาการดีขึ้นมากจนเกือบจะหายเป็นปกติแล้ว แต่หลังจากวันนั้นนางก็ยังไม่ได้พบกับซีเฉินเช่นเคย
เสี่ยวจิ่งตัดพ้อแทนนายหญิงของตนเอง
“พอท่านไม่เป็นที่โปรดปราน คนพวกนั้นที่รออยู่แล้วก็กดข่ม พระชายารั่วหนิงเองก็จ้องจะเล่นงานท่านมานาน คุณหนูที่ท่านบอกว่าท่านคือเทพเซียนท่านไม่ได้หลอกข้าใช่หรือไม่เจ้าคะ หากท่านเป็นเทพเซียนก็ต้องเอาคืนนะเจ้าคะ”
จื่อเม่ยลุกขึ้นเสี่ยวจิ่งจึงรีบไปพยุงร่างเจ้านายของตนเอง
“ไม่ต้องห่วง ข้ามาที่นี่เพื่อผ่านด่านเคราะห์ถึงจะได้กลับสรวงสวรรค์ ระหว่างที่ข้าอยู่ที่นี่ข้าจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวังแน่นอน”
จื่อเม่ยไม่คิดปิดบัง นางอ่านนิยายมาเยอะทั้งยังเป็นผู้เขียนนิยายด้วยตนเอง
สาวใช้คนนี้ถูกนางวางเอาไว้ข้างจื่ออินเป็นคนใช้ได้และยังไม่ได้อ่อนแอดังนั้นนางคิดว่าใช้ประโยชน์จากเสี่ยวจิ่งโดยการบอกความจริงดีกว่าปล่อยให้เสี่ยวจิ่งสงสัยจนหวาดระแวง
เมื่ออาการดีขึ้นแล้วจื่อเม่ยจึงมีแรงลุกขึ้นมาจัดการเรื่องต่าง ๆ ด้วยตนเอง เริ่มจากเรื่องอาหารก่อน
จื่อเม่ยไปที่ห้องครัวพร้อมกับเสี่ยวจิ่ง ข่มขู่แม่ครัวจนขวัญกระเจิง
“หากเจ้ายังส่งน้ำข้าวต้มเย็นชืดมาอีก คอยดูเถิดว่าข้าจะฟ้องท่านอ๋องอย่างไร”
แม่ครัวเอ่ยด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“อาหารของอนุจื่อ บ่าวเตรียมเอาไว้ให้โดยไม่เคยตกหล่นนะเจ้าคะ จะเป็นไปได้อย่างไรที่ท่านได้รับเพียงน้ำข้าวเย็นชืด”
“เจ้าหมายความว่า เจ้าไม่เคยส่งน้ำข้าวให้ข้าหรือ”
“เจ้าค่ะ ท่านอ๋องไม่เคยสั่งจำกัดเรื่องอาหารของท่าน ข้าจะกล้าได้อย่างไรเจ้าคะ ของที่ส่งไปยังเรือนอนุจื่อล้วนเป็นของดีบำรุงร่างกายทั้งนั้น”
จื่อเม่ยเข้าใจโดยพลัน
“เช่นนั้นก็มีสาวใช้บางคนแกล้งข้าสินะ นางหาเรื่องตายแล้ว”
หัวหน้าแม่ครัวรู้เช่นนั้นก็ตกใจยิ่ง ถึงอนุจื่อจะตกอับแต่ก็ไม่ได้มีรับสั่งจากท่านอ๋องให้งดข้าวงดน้ำ ทั้งท่านอ๋องยังให้ท่านหมอดูแลคนป่วยเป็นปกติเห็นได้ชัดว่าท่านอ๋องยังมีพระทัยห่วงใยนาง หัวหน้าแม่ครัวย่อมไม่กล้าที่จะล่วงเกินอนุจื่อโดยไม่มีคำสั่ง
จื่อเม่ยพยักหน้าเข้าใจ
“เช่นนั้นเจ้าก็จงหาคนผิด ข้าจะไม่ทูลฟ้องท่านอ๋องละเว้นโทษเรื่องนี้แก่เจ้า”
หัวหน้าแม่ครัวรับปากขันแข็ง จื่อเม่ยจึงพาเสี่ยวจิ่งกลับเรือน เสี่ยวจิ่งเอ่ยอย่างคับแค้นใจ
“หึ นางผู้นั้นคิดว่าตนเองมีพระชายาถือหางเป็นแน่ จึงกล้าเอาอาหารของท่านไปทั้งหมด ต่ำช้ายิ่งนัก”
จื่อเม่ยเอ่ยว่า
“พรุ่งนี้คอยดูเถิดว่านางจะนำสิ่งใดมา หากว่านางยังไม่สำนึกข้าจะจัดการนางเอง”
ยามเช้าตรู่วันต่อมา สาวใช้นางนั้นก็หิ้วตะกร้าอาหารมาที่เรือนของจื่อเม่ยดังเดิม นางผู้นั้นปิดประตูเสียงดังโครมจากนั้นก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
“หึ กล้าดีอย่างไรจึงไปฟ้องหัวหน้า ทำให้ข้าถูกตำหนิและยังถูกคาดโทษเช่นนี้”
จื่อเม่ยกับเสี่ยวจิ่งนิ่งมองนาง ปล่อยให้นางพล่ามไปไม่หยุดปาก
“อาหารมาส่งแล้วก็รีบกินเสีย ขี้ฟ้องดีนัก คิดว่าข้ากลัวหรือวันนี้ข้าบอกพระชายาเรื่องของเจ้าทั้งหมดแล้ว”
ทันทีที่เสี่ยวจิ่งเปิดตะกร้าถึงกับโกรธแค้นขึ้นมาทันใด เพราะสิ่งที่นางเห็นนั้นก็คือ ชามข้าวเย็นชืดที่มีดินสีดำผสมอยู่จนเต็ม
เสี่ยวจิ่งชี้หน้าสาวใช้นางนั้นทันใด
“เจ้าอยากตายจริง ๆ ใช่หรือไม่จึงยังกล้าทำอีก หัวหน้าแม่ครัวไม่ได้สั่งสอนเจ้าหรืออย่างไร”
“ทำไม เจ้ามีปัญหาอะไร มีให้กินก็ดีเพียงใดแล้วขี้ฟ้องดีนักก็สมควรที่จะลงเอยเช่นนี้”
“เจ้าปากดีนักนะ”
เสี่ยวจิ่งเงื้อมือขึ้นสูง ทว่าก่อนที่จะลงมือจื่อเม่ยก็เอ่ยว่า
“เสี่ยวจิ่งหยุด”
เสี่ยวจิ่งหันมามองจื่อเม่ยด้วยสีหน้าคับแค้นใจ
“คุณหนูห้ามบ่าวทำไมเจ้าคะ นางกำเริบเสิบสานวันนี้บ่าวต้องสั่งสอนนางให้สำนึก”
จื่อเม่ยส่ายหน้า นางรู้ว่าสาวใช้คนนี้เป็นคนของรั่วหนิงดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เสี่ยวจิ่งถูกลงโทษคนที่ต้องออกหน้าสมควรคือตัวนางเอง
ถึงเสี่ยวจิ่งจะทำอันใดไม่ได้ แต่นางทำได้เพราะนางรู้ว่าในหัวใจของซีเฉินนั้นไม่เคยมีรั่วหนิงอยู่เลย
จื่อเม่ยเผชิญหน้าสาวใช้ผู้นั้น พร้อมกับเอ่ยว่า
“เจ้าไม่กลัวข้าเลยสินะ”
สาวใช้คนนั้นยกยิ้มเย็นเอ่ยอย่างไม่เกรงกลัว
“ก็แค่อนุที่กำลังจะถูกปลดผู้หนึ่ง ข้าเป็นคนของพระชายามีสิ่งใดที่ต้องกลัวเจ้ากัน”
“อ้อ ไม่กลัวก็เลยเอาของนี่มาให้ข้าสินะ อวดบารมีว่างั้น”
สาวใช้นางนั้นหัวเราะเยาะหยัน จากนั้นก็เชิดหน้าขึ้นมองจื่อเม่ยด้วยสายตาดูแคลน
“น้ำข้าวคลุกดินนี่เหมาะกับเจ้าแล้ว กินสิหากไม่กินก็อดตายนะ เจ้ากล้าไปฟ้องหัวหน้าทำให้ข้าถูกลงโทษ ก็จงรับความเสียใจนี้เอาไว้เถิด ต่อไปอย่าว่าแต่น้ำข้าวเลย พวกเจ้านายบ่าวก็เตรียมทำใจอดตายได้เลย เพราะข้าจะไม่มีทางเอาอะไรมาให้พวกเจ้ากินอีก”
จื่อเม่ยกล่าวน้ำเสียงราบเรียบ
“ข้าจะบอกเจ้าให้รู้เอาไว้นะ ในนิยายเรื่องนี้คนที่ข้ายอมให้มีเพียงคนเดียวคือซีเฉิน เขาเป็นคนเดียวที่มีผลต่อข้า ส่วนตัวประกอบเช่นเจ้าไม่มีความสำคัญเลยสักนิด”
จากนั้นนางก็ยกหัวเขาขึ้นกระแทกที่ท้องน้อยของสาวใช้นางนั้น แล้วต่อยมือที่จุดใต้ลิ้นปรี่อย่างแรงไปสองครั้งติด ๆ กันสุดแรงเกิด
“โอ๊ย!”
ถึงแม้ว่าเรี่ยวแรงจะยังไม่คงที่ดังที่เคยเป็นด้วยสภาพร่างกายที่เพิ่งฟื้นไข้ทำให้แรงน้อยกว่าปกติทว่าทั้งเข่าและหมัดนี้ของจื่อเม่ยก็ทำให้สาวใช้นางนั้นถึงกับหยุดชะงักแล้วตัวงอจุกจนตัวชาไร้เรี่ยวแรงโดยพลัน
จากนั้นเข่าของสาวใช้พลันทรุดลงไปบนพื้นเกิดอาการจุกและเหงื่อแตกทันใด
แน่นอนว่าด้วยอาการนี้หมายความว่าจื่อเม่ยกำลังเป็นต่อ จื่อเม่ยไม่รอช้านางใช้เข่าข้างหนึ่งดันกลางอกของสาวใช้จนหลังติดพื้นแล้วกระทืบซ้ำลงไปที่ท้องอย่างแรงจนนางขยับตัวไม่ไหว
“เสี่ยวจิ่ง ส่งชามข้าวต้มมา”
เสี่ยวจิ่งรีบทำตามคำสั่ง ส่งชามข้าวต้มให้จื่อเม่ย มือหนึ่งของจื่อเม่ยจึงบีบปากของสาวใช้นางนั้นอย่างแรงให้หญิงสาวนางนั้นอ้าปากกว้างจากนั้นก็เอ่ยว่า
“เห็นเจ้าชอบเอามาให้ข้านัก คงคิดถูกปากเจ้าใช่หรือไม่ เช่นนั้นก็กิน กินเข้าไป น้ำข้าวผสมโคลนนี่กินให้หมดหากเจ้ากล้าคายข้าจะฆ่าเจ้าเสีย”
สาวใช้ผู้นั้นถูกตีโดยไม่ทันตั้งตัว และแต่ละจุดก็ทำให้ขยับตัวแทบไม่ไหวบัดนี้จึงได้แต่ยอมกินทั้งน้ำตาไม่กล้าแม้แต่จะคาย
เสี่ยวจิ่งตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง มองดูจื่อเม่ยหัวเราะขบขันแต่สีหน้ากลับจริงจังยิ่งนักในตอนที่กรอกน้ำข้าวต้มดินให้กับสาวใช้นางนั้นจนหมดชาม
บัดนี้ทั่วใบหน้าของสาวใช้จึงเลอะไปด้วยน้ำโคลน สาวใช้ไม่อาจสู้แรงของจื่อเม่ยได้จึงจำใจต้องอ้าปากกลืนของสกปรกลงคอพร้อมทั้งไอค่อกแค่กออกมาไม่หยุด
เมื่อป้อนน้ำข้าวให้คนเสร็จ จื่อเม่ยยังไม่สะใจหลายวันมานี้นางเก็บกดกับสาวใช้ที่กำเริบเสิบสานคนนี้มาไม่น้อย ดังนั้นในเมื่อลงมือแล้วต้องทำให้หลาบจำ
จื่อเม่ยลุกขึ้นจากนั้นก็กระทืบเข้าไปที่ร่างของสาวใช้นางนั้นอย่างไม่ปรานีสุดแรงเกิดจนสาวใช้นางนั้นหวีดร้องอย่างโหยหวนกระทั่งทหารเวรยามที่เดินไปมาต้องเคาะประตูเอ่ยถามน้ำเสียงร้อนรน
จื่อเม่ยตะโกนกลับไปว่า
“ไม่มีอะไร ข้าแค่สั่งสอนสาวใช้ผู้หนึ่งเท่านั้นพวกเจ้าไปทำหน้าที่ต่อเถิด”
“ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย!”
สาวใช้ขอความช่วยเหลือน้ำเสียงแหบโหย ทว่ากลับไม่มีผู้ใดยื่นมือมาช่วยนางแม้แต่คนเดียว
จื่อเม่ยกระทืบซ้ำเข้าไปที่ท้องอีกคราหนึ่งคราวนี้ส่งผลให้สาวใช้ผู้นั้นกระอักเลือดออกมาทันใด
เสี่ยวจิ่งตกตะลึงคาดไม่ถึงว่าจื่อเม่ยจะเหี้ยมโหดเพียงนี้ แต่ในใจก็รู้สึกสะใจยิ่งนักตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นมาดูเหมือนว่าทุกคนจะเหยียบย่ำซ้ำเติมจื่อเม่ยจนได้รับความลำบากมามาก ดังนั้นการที่จื่อเม่ยเอาคืนก็สาสมกับความผิดแล้ว
สาวใช้นางนั้นร้องไห้ออกมาอ้อนวอนขอชีวิตเสียงสั่นระรัว
“อนุจื่อ...ได้โปรด...ปล่อยข้าเถิดเจ้าค่ะ”
“ต่อไปเจ้าก็คอยดูว่าจะกล้ากับข้าอีกหรือไม่ ในจวนนี้นอกจากท่านอ๋องแล้วเจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยให้พวกเจ้ามารังแกข้าได้หรือ”
“ไม่กล้าแล้ว บ่าวไม่กล้าแล้วเจ้าค่ะ”
“หึข้าจะบอกให้เจ้ารู้เอาไว้ แม้แต่รั่วหนิงข้าก็ไม่กลัว ไสหัวกลับไปแล้วไปนำอาหารดี ๆ อย่างที่ควรเป็นมาให้ข้า ต่อไปหากกล้ารังแกคนของข้าอีกข้าฆ่าเจ้าจริง ๆ แน่”
สาวใช้นางนั้นไม่เคยพบเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนในชีวิต ทั้งรู้สึกเจ็บที่หน้าท้องของตนเองไม่หายบัดนี้หวาดกลัวจื่อเม่ยจนตัวสั่นงันงก เมื่อเห็นนางแน่นิ่งจื่อเม่ยจึงตวาดเสียงดัง
“ยังไม่ลุกขึ้นมาอีก!”
สาวใช้กุมมือที่ท้องของตนเอง จากนั้นก็พลันลุกขึ้นทั้ง ๆ ตัวงออยากจะวิ่งหนีออกไปจากเรือนหลังนี้แต่กลับไม่อาจทำได้
จื่อเม่ยนั่งลงบนเก้าอี้ยกขาขึ้นไขว่ห้างพร้อมกับกอดอกมองนางผู้นั้นที่กำลังลากสังขารของตนเองออกไป
“ช้าก่อน”
ขาคู่นั้นหยุดทันใด จากนั้นก็หันมามองจื่อเม่ยท่าทางหวาดกลัว
“อนุจื่อ มีอะไรจะสั่งบ่าวอีกเจ้าคะ บ่าวกลัวแล้ว อย่าตีบ่าวอีกเลยนะเจ้าคะ”
จื่อเม่ยตีสีหน้าราบเรียบทว่าดวงตาของนางยังเย็นเยียบ
“อ้อ ข้าลืมไป โขกศีรษะขอโทษเสี่ยวจิ่งของข้าด้วย เรื่องที่เจ้าทำมันเกินไปแล้ว สำนึกหรือไม่ตายไปจะได้ไม่ตกนรก”
สาวใช้คนนั้นกล้ำกลืนน้ำตา ถึงจะเจ็บแค้นใจเพียงใดก็หวาดกลัวไม่น้อย ดวงตาของจื่อเม่ยในวันนี้ราวกับปีศาจร้ายตนหนึ่ง
สาวใช้คุกเข่าลงอีกครั้ง พร้อมกับโขกศีรษะขอโทษคนไม่หยุด
“เสี่ยวจิ่ง ข้าขอโทษเจ้า ข้าขอโทษเจ้าแล้ว อนุจื่อ ข้าขอโทษเจ้าค่ะ ต่อไปบ่าวไม่กล้าอีกแล้ว”
จื่อเม่ยกล่าวเสียงเย็น
“อืม ดี รีบไปเอาอาหารมาให้ข้าใหม่ ข้าหิวแล้ว อ้อ ก่อนไปก็ทำความสะอาดพื้นให้เรียบร้อย หากว่ามีน้ำข้าวหลงเหลือข้าจะให้เจ้าเลียพื้นให้สะอาด”
ถึงจะยังเจ็บไม่หาย แต่ก็จำใจต้องทำความสะอาดกว่าที่จื่อเม่ยจะยอมปล่อยนางไปได้ สตรีนางนั้นก็รู้สึกราวกับตกนรกทั้งเป็นอยู่นาน
เสี่ยวจิ่งมองจื่อเม่ยด้วยสายตาพิกล จื่อเม่ยหัวเราะขบขัน
“เสี่ยวจิ่งเจ้ามองข้าเหมือนมองปีศาจตัวหนึ่ง ข้าบอกแล้ว ว่าข้าคือนางฟ้าหรือที่เจ้าเรียกว่าเทพเซียนผู้ใจดี ต่อไปข้าจะหาทางเอาตัวรอดจากท่านอ๋อง และจะปกป้องเจ้าเองไม่ต้องห่วง”
จู่ ๆ เสี่ยวจิ่งก็พลันน้ำตาไหลออกมาแล้วร้องไห้ไม่หยุด จื่อเม่ยตกใจเป็นอย่างยิ่ง
“เจ้าร้องไห้ทำไม เสี่ยวจิ่ง ร้องทำไม”
เสี่ยวจิ่งสะอึกสะอื้น
“ก่อนหน้านี้ถึงจะแน่ใจว่าคุณหนูจื่ออินไม่อยู่แล้ว แต่อีกใจก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้ ตอนนี้บ่าวรู้แน่ชัดแล้วว่านางจากไปแล้วบ่าวจึงเสียใจเจ้าค่ะ โถ่ คุณหนูของบ่าว”
จื่อเม่ยสูดหายใจเข้าลึก รู้สึกสงสารเสี่ยวจิ่งขึ้นมาไม่น้อย เฮ้ย จะว่าไปคนที่ฆ่าอนุจื่อก็คือนางเองจะโทษใครอื่นไม่ได้
จื่อเม่ยดึงร่างบอบบางของเสี่ยวจิ่งมากอดปลอบใจ
“ไม่ต้องเสียใจไป คนเรามีเกิดก็มีตายเป็นของธรรมดา จื่ออิน นางไปดีแล้วเจ้าไม่ต้องห่วงนาง ต่อไปอยู่กับข้า ข้าจะไม่ให้เจ้าลำบากอีก”
“อื้อ เจ้าค่ะ บ่าวเข้าใจแล้ว”
เสี่ยวจิ่งไม่ได้กลัวจื่อเม่ย เพราะที่ผ่านมาจื่อเม่ยก็เหมือนคนปกติทั่วไป
ทว่าบัดนี้นางเสียใจยิ่งนักอย่างไรก็ดูแลจื่ออินมาตั้งแต่ตอนที่จื่ออินเข้ามาอยู่ที่จวนแห่งนี้ตั้งแต่ยังไม่ได้แต่งเป็นอนุของซีเฉิน ดังนั้นความผูกพันของทั้งสองคนจึงแน่นแฟ้นไม่น้อย ดังนั้นจึงอดเสียใจไม่ได้ที่จื่ออินจากไปแล้ว