บทที่ 3 คับแค้นใจ
บทที่ 3 คับแค้นใจ
เสื้อของจื่อเม่ยเปียกทั้งยังบางจึงทำให้นางหนาวจนสั่นมือเท้าชาและเย็นเหมือนจะจับเป็นน้ำแข็งไปแล้ว
หญิงสาวมองไปรอบ ๆ มีทหารเดินไปเดินมาหลายคน แต่จะมีผู้ใดบ้างเล่าที่กล้ายุ่งกับนาง อนุที่เพิ่งถูกคาดโทษต่อหน้าทุกคนเช่นนี้
กระทั่งสตรีนางหนึ่งโผล่มาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ มองหน้าของนางทั้งร้องไห้ด้วยความสงสารสุดหัวใจ
“คุณหนู ท่านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ เจ็บมากหรือไม่ ท่านไม่ฟังคำเตือนของบ่าวเลย เห็นผลลัพธ์แล้วหรือยัง”
สตรีนางนี้มีนามว่าเสี่ยวจิ่ง เป็นสาวใช้ที่ภักดีและรักจื่ออินเป็นอย่างยิ่ง
จื่อเม่ยมองหน้าสาวใช้ของตนเองแล้วได้แต่ปลงตก
“เสี่ยวจิ่ง เจ้าไปเถอะ อย่ามาใกล้ข้าไม่เช่นนั้นท่านอ๋องจะทำโทษเจ้าด้วย ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาลำบากเพราะข้า”
“คุณหนู ข้าไม่กลัวเจ้าค่ะ ข้าจะขอร้องท่านอ๋องแทนท่านเอง ท่านอ๋องต้องเห็นแก่หน้าข้าบ้าง”
จากนั้นเสี่ยวจิ่งก็คุกเข่าลงหน้าประตู อ้อนวอนซีเฉินอยู่ครู่ใหญ่ขอให้เขามอบเครื่องกันหนาวให้คุณหนูของตนเอง
“ท่านอ๋อง คุณหนูบอบบางเพียงนี้จะทนได้อย่างไรเจ้าคะ หากว่าท่านอ๋องไม่เมตตาคุณหนูคงได้แข็งตายแน่ ท่านอ๋องเสี่ยวจิ่งไม่เคยร้องขออันใดมาก่อน เห็นแก่ท่านป้าที่เคยดูแลท่านและคุณหนูก่อนจากไปเถิดเพคะ ท่านอ๋องหากท่านป้ารู้เข้าคงเสียใจไม่น้อย”
อย่างไรเสี่ยวจิ่งก็เป็นหลานสาวแม่นมของซีเฉินที่เลี้ยงเขามาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นเมื่อยกเรื่องแม่นมมาอ้างซีเฉินจึงไว้หน้าเสี่ยวจิ่งอยู่บ้าง
“พานางกลับเรือน หากเจ้าปล่อยนางหนีไปได้อีกข้าจะฆ่าเจ้าคนแรก ต่อให้เอาแม่นมร้อยคนมาอ้างข้าก็จะฆ่าเจ้า”
เสี่ยวจิ่งโขกศีรษะอย่างรวดเร็ว กล่าวขอบคุณทั้งน้ำตาจากนั้นจึงค่อย ๆ ประคองร่างเล็กของเจ้านายให้ยืนขึ้นพานางกลับเรือนของจื่อเม่ยทันใด
หลายวันมานี้จื่อเม่ยล้มป่วยลงอีกครั้ง ซีเฉินไม่ได้มาพบกับนางอีกจึงมีเพียงเสี่ยวจิ่งที่คอยดูแลทว่าในเวลานี้นางกลับถูกสาวใช้ของคนผู้หนึ่งคอยรังแก
เมื่อถึงเวลาอาหาร จื่อเม่ยนอนรออยู่บนเตียง หลายวันมานี้นางกินข้าวไม่ได้เพราะอาเจียนออกมาจนหมด กระทั่งวันนี้อาการดีขึ้นจึงรู้สึกหิวขึ้นมาแล้ว
ท่านหมอเองก็อนุญาตให้จื่อเม่ยกินอาหารอ่อน ๆ บำรุงร่างกายได้ ถึงซีเฉินจะไม่มาดูนางอีกแต่เขาก็ยังให้ท่านหมอมาดูแล นั่นหมายความว่าเขาก็ไม่ได้ใจดำกับนางเท่าใดนัก
สาวใช้จากเรือนครัวมาถึงแล้ว นางเปิดประตูเข้ามาด้วยสีหน้าบึ้งตึงท่าทางไม่เต็มใจ ตอนนี้อนุจื่อตกอับท่านอ๋องไม่เหลียวแลในจวนมีผู้ใดบ้างไม่รู้
ทว่าพวกนางเพียงแต่เดาส่งเดชว่านางคิดหนีไปกับชายชู้และถูกท่านอ๋องจับได้ แต่ไม่มีผู้ใดรู้ความจริงว่าจื่ออินคนเดิมคิดสังหารซีเฉิน
ดังนั้นคนในจวนจึงปฏิบัติกับนางแตกต่างไปจากเดิม
สาวใช้คนนั้นวางตะกร้าอาหารไว้บนโต๊ะ ในขณะที่เสี่ยวจิ่งเปิดดูพบว่ามีเพียงชามข้าววางอยู่ในตะกร้าแค่ชามเดียว เสี่ยวจิ่งรู้สึกโมโหยิ่งนักนางจึงเอ่ยน้ำเสียงคาดคั้น
“คุณหนูของข้ากินอาหารปกติได้แล้ว ไยเจ้าจึงยังเอาน้ำข้าวมาให้นางกินอีก ทั้งยังเป็นน้ำข้าวที่ดูเย็นชืดเช่นนี้”
สาวใช้ผู้นั้นกลับเอ่ยอย่างเย่อหยิ่ง
“มีให้กินก็ดีถมไปแล้ว หึ ตอนนี้ยังจะเรียกร้องสิ่งใดได้อีก อนุจื่อตอนนี้ก็แค่สตรีชั้นต่ำนางหนึ่งที่ท่านอ๋องไม่โปรดแล้วเจ้ายังจะอยู่คอยรับใช้นางอีกหรือ”
เสี่ยวจิ่งตวาดกลับ
“เจ้าน่ะสิคนชั้นต่ำ เจ้าก็แค่สาวใช้คนหนึ่งเท่านั้นไยกล้าถือดีเช่นนี้”
“ทำไม เจ้าก็แค่สาวใช้เช่นกันไม่ใช่หรือ มิหนำซ้ำยังเป็นสาวใช้ของอนุตกอับคนหนึ่ง กล้าดียังไงมาต่อว่าข้า”
“นี่เจ้ากล้า”
“ใช่ข้ากล้า ถุย! คิดว่าตนเองเป็นใครกันถึงได้ยังเสนอหน้าอยู่ในจวนนี้ ไม่ตายตามกันไปทั้งนายทั้งบ่าวเล่า”
จื่อเม่ยกำมือแน่นโกรธจนเลือดขึ้นหน้า แต่เพราะตอนนี้ เรี่ยวแรงของนางยังไม่กลับมาแม้จะเอ่ยปากพูดก็เสียงแหบแห้งนักจึงไม่อาจทำสิ่งใดได้
นางเอ่ยเรียกเสี่ยวจิ่งเบา ๆ ทว่ามีเพียงเสียงลมผ่านออกมาจากลำคอเท่านั้น
บัดนี้จึงได้แต่นับความแค้นเอาไว้ในใจทุกข้อ หากนางหายดี คนพวกนี้นางจะเอาคืนทั้งหมด
ถึงนางจะเป็นนักเขียน แต่นางก็เป็นจิตอาสาทำงานกับหน่วยกู้ภัยสาธารณะมาหลายปี ทั้งวิชาแพทย์พื้นฐานและวิชาต่อสู้ของนางก็นับว่าพอมีฝีมืออยู่พอตัว
สาวใช้พวกนี้หากนางอยู่ในสภาพปกติ นางย่อมเอาอยู่!
เสี่ยวจิ่งเองก็ไม่ยอม นางยังเรียกร้องสิทธิ์ให้จื่อเม่ยอย่างขันแข็ง
“แต่ว่าเรื่องอาหารของคุณหนูของข้า ท่านอ๋องไม่เคยเอ่ยปากว่าจะจำกัด เจ้าไม่มีสิทธิ์ทำเช่นนี้”
สาวใช้คนนั้นกลับมีท่าทางถือดีและกอดอกมองจื่อเม่ยและเสี่ยวจิ่งด้วยสายตายิ่งผยอง
“ทั้งหมดเป็นคำสั่งของพระชายา เจ้าอยากจะร้องขอก็ไปร้องขอกับพระชายาด้วยตนเอง หึ คิดว่าตัวเองเป็นผู้ใดจึงได้ถลึงตาใส่ข้า”
เสี่ยวจิ่งไม่ยอม ยังขวางหน้าสาวใช้คนนั้นเอาไว้ ไม่ให้นางจากไป
“ไม่ได้ อย่างไรน้ำข้าวเย็นชืดนี้ข้าไม่ยอมรับ ไปนำอาหารอุ่นอ่อนมาให้คุณหนูของข้า ไม่เช่นนั้นข้าจะทูลท่านอ๋อง”
“คิดว่าท่านอ๋องจะสนใจหรือ ได้ ในเมื่อไม่อยากกินก็ไม่ต้องกิน!”
กล่าวจบสาวใช้นางนั้นก็ยกชามน้ำข้าวขึ้นมา เทน้ำข้าวลงพื้นพร้อมกับหัวเราะขบขัน เสี่ยวจิ่งตกตะลึงกำมือแน่นแต่ก่อนที่เสี่ยวจิ่งจะลงมือจื่อเม่ยกลับไอออกมาอย่างแรง
สาวใช้ปากดีเอ่ยขึ้นทันใด
“อาการหนักเช่นนี้ ไยไม่ตายไปเลยเล่า หึ จะอยู่ให้ลำบากคนอื่นทำไม”
สาวใช้คนนั้นปรายตามอง จากนั้นก็ถ่มถุยน้ำลายอย่างอันธพาลอีกคราแล้วก็เดินกระแทกเท้าจากไปพร้อมกับปิดประตูดังโครม!
เสี่ยวจิ่งผวาเข้าไปลูบหลังให้จื่อเม่ยเบา ๆ นางร่ำไห้ทั้งน้ำตากล่าวขอโทษเจ้านาย
“บ่าวไม่ดีเองเจ้าค่ะคุณหนู เพราะบ่าวไม่ดีเอง”
จื่อเม่ยส่ายหน้า จับมือเสี่ยวจิ่งแล้วบีบเบา ๆ นางไม่ได้ร้องไห้เพียงแต่ที่ไอเมื่อสักครู่เพราะว่าอารมณ์โมโหจนเลือดไหลเวียนไม่ทัน
จื่อเม่ยชี้ไปที่กาน้ำชาให้เสี่ยวจิ่งนำมาให้ดื่ม สาวใช้รีบดูแลยกน้ำชาทันใด ได้จิบน้ำชาจนชุ่มคอจื่อเม่ยจึงพอจะมีเสียงบ้าง ถึงแม้ว่าจะเบาหวิวแหบแห้งแต่ก็พอฟังรู้เรื่อง
“ไปที่เรือนซื่อจื่อ ขออาหารจากแม่นมของซื่อจื่อ ห้ามให้ผู้ใดรู้เด็ดขาด บอกว่าหากข้าหายแล้วข้าจะตอบแทนแม่นมอย่างดีที่สุด”
“แต่ว่า...คุณหนูรู้ได้อย่างไรเจ้าคะว่าแม่นมซื่อจื่อจะช่วยพวกเรา ก่อนหน้านี้ท่านไม่เคยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับแม่นมของซื่อจื่อมาก่อน”
จื่อเม่ยยิ้มบาง
“ไปเถอะ เชื่อข้าเรื่องในจวนนี้ข้ารู้ทุกเรื่อง”
“เจ้าค่ะ”
ไม่น่าเชื่อว่าคำพูดของคุณหนูจะเป็นจริง ครึ่งชั่วยามต่อมาเสี่ยวจิ่งก็กลับมาพร้อมกับตะกร้าอาหารและอาหารอ่อนบำรุงที่นับว่าดีไม่น้อย
“แม่นมล้วนทำให้คุณหนูเป็นพิเศษเจ้าค่ะ ใจดียิ่งนักทั้งไม่ถามสักคำ เพียงแต่รู้ว่าคุณหนูป่วย และยังถูกพระชายารังแกก็รีบจัดการอาหารให้ทันที คุณหนูพวกเรารอดตายแล้วเจ้าค่ะ”
จื่อเม่ยยิ้ม ย่อมเป็นเช่นนั้นเพราะซื่อจื่อเกลียดที่สุดก็คือพระชายารั่วหนิง การมีจื่อเม่ยอยู่ที่นี่ก็เหมือนกับการมีหนามตำใจพระชายารั่วหนิง ดังนั้นแม่นมจึงเลือกที่จะเข้าข้างอนุเช่นนางเพื่อให้อยู่ที่นี่ต่อกรกับสตรีนางนั้น
นับว่าแม่นมฉลาดไม่น้อย