เรามันคนละชั้นกัน
แม้จะเดินออกมาตัวเปล่าไม่มีทรัพสมบัติติดตัว แต่ก็ยังโชคดีที่ลลิตายังพอมีเงินเก็บในบัญชีหนึ่งแสนบาทถ้วน ถึงจะไม่ทำการทำงานวัน ๆ คอยเกาะบิดา มารดากิน แต่เธอก็มีรายรับจากเงินเดือนที่บิดาจะโอนเข้าบัญชีไว้ให้ใช้ทุกเดือน เดือนละไม่เกินห้าแสนบาท หากคนใช้จ่ายฟุ่มเฟือยแบบลลิตารู้จักประหยัดอดออมกว่านี้คงมีเงินเก็บหลายแสนแล้วล่ะ ทว่าเธอมักจะไปช็อปปิ้งใช้จ่ายแบบไม่คิด นั่นจึงทำให้เหลือเงินในจำนวนไม่มาก
ลลิตาได้เช่าบ้านหนึ่งหลังแบบเดี่ยวทาสีขาวทั้งหลัง ทั้งหมดมีสองชั้น สองห้องนอน สองห้องน้ำ มีห้องครัวอยู่ชั้นล่างแยกออกไปอีกฝั่ง ส่วนอีกด้านเป็นห้องโถงไม่กว้างมาก สมกับราคาเช่าเดือนละหนึ่งหมื่นห้าพันบาท จัดเก็บเสื้อผ้าใส่ตู้เสื้อผ้าเสร็จก็เดินลงมาที่ชั้นล่าง เห็นเจ้าของที่กับป้าแม่บ้านช่วยกันทำความสะอาดพื้นอยู่พอดี เพราะบ้านหลังนี้เพิ่งหมดสัญญาเช่ากับเจ้าของห้องคนเก่าไปไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เอง
“คุยอะไรกันอยู่เหรอคะ”
“อ๋อ…พอดีลูกสาวของคุณนายจะปิดกิจการขายหมูปิ้งน่ะหนู แต่คุณนายไม่อยากให้ปิดไป เพราะทำเลที่ตั้งก็ดี แถมมีลูกค้าประจำคอยมาซื้อทุกวัน” ป้าแม่บ้านบอก เธอพยักหน้าเข้าใจ ก่อนคุณนายจิตตราจะเอ่ยเสริม
“อะไรเป็นเงินเป็นทอง ฉันก็ไม่อยากให้มันปิดตัวไปทั้งนั้นแหละ นับประสาแค่ธุรกิจเปิดบ้านให้คนเช่ามันจะไปพอมีพอกินอะไรกับยุคสมัยที่จำเป็นต้องใช้เงิน”
“ลูกสาวของคุณนายทำไมถึงจะปิดกิจการละคะ ถ้าว่าขายดี”
“ลูกสาวของฉันได้สามีเกาหลีทำไร่ทำสวนที่ประเทศของเขาน่ะสิ…ทีนี้ก็เลยตัดสินใจจะย้ายไปอยู่ช่วยทางบ้านนั้น ถึงแม่ย่าจะตกลงให้เงินเดือนที่มันจะไปช่วย แต่ฉันก็ไม่เห็นด้วยหรอก แล้วกิจการหมูปิ้งล่ะทีนี้ใครจะรับสูตรจากรุ่นปู่ย่าถึงรุ่นลูกหลานไปทำต่อ” คุณนายจิตตราแสดงสีหน้าเหนื่อยล้า คิดไม่ตกมาทั้งคืน อีกทั้งยังเป็นห่วงบุตรสาวที่จะเดินทางไปอยู่ต่างแดนกับสามีสัญชาติเกาหลีซึ่งมาพบรักในประเทศไทยเมื่อหนึ่งปีก่อน
“ว่าแต่หนูละจ๊ะ ทำงานทำการอะไรเหรอ ทำไมถึงย้ายมาอยู่ที่นี่”
อันที่จริงลลิตาก็ยังคิดไม่ออกว่าเธอจะหางานอะไรทำ แต่เพราะไม่มีที่ไปแล้วเห็นป้ายติดประกาศหน้าปากซอยว่ามีบ้านว่าง เธอเลยรีบมาหาที่อยู่ก่อนเป็นอันดับแรก
“ยังไม่มีค่ะ ตาเพิ่งออกจากบ้านมา คงต้องเลือกดูงานสักระยะ”
คุณนายจิตตรามองประเมินหญิงสาวตรงหน้าครู่หนึ่ง ช่างใจอยู่ว่าสิ่งที่นางพูดไปจะส่งผลดีหรือไม่
“หนูสนใจเป็นแม่ค้าขายหมูปิ้งหน้าโรงงานไหมล่ะ ถ้าหนูสน ไม่อายทำมาหากิน ไม่กลัวแดดกลัวลม หรือห่วงสวย ฉันจะให้สูตรหมักหมูปิ้งกับหนู จะสอนหนูทุกขั้นตอนเลยล่ะ”
“คะ คุณนายพูดจริงเหรอคะ”
เธอแทบไม่อยากเชื่อ ลลิตาคนใหม่ไม่เหมือนคนเดิม งานแม่ค้าน่ะเหรอสบายมาก ตอนอยู่อีกโลกหนึ่งเธอเป็นเด็กกำพร้าต้องหาเงินส่งเสียตัวเอง ฉะนั้นเลยค่อนข้างมีประสบการณ์กับงานหลายรูปแบบ
“จริงสิ ยังไงลูกสาวฉันมันก็จะไปเกาหลีแล้ว ถ้าหนูไปขายหมูปิ้งแทน ฉันจะขอแค่ค่าซื้อสูตรกับหนูเท่านั้น ไม่ต้องจ่ายฉันเป็นก้อนทีเดียวก็ได้…หนูลองไปขายดูก่อน ขายดีเมื่อไหร่ค่อยทยอยจ่ายฉัน”
“ตาตกลงค่ะ”
“ดีจ้ะ” คุณนายจิตตราพึงพอใจเมื่อได้รับคำตอบ “พอดีหนูเช่าบ้านเดี่ยวอยู่ มันสะดวกสบายที่จะทำของไปขาย ไว้พรุ่งนี้ฉันจะจดสูตรมาสอนหนูนะ”
หนึ่งเดือนต่อมา
ลลิตาดันมารู้ทีหลังว่าที่ร้านขายหมูปิ้งตั้งอยู่หน้าโรงงานผลิตเครื่องสำอางชื่อดังในเครือตระกูลนิรวัฒนากูล ซึ่งผู้บริหารคือธราเทพ โชคชะตาที่ไม่อาจเลี่ยง ตั้งใจหนีไปให้ไกลเพื่อให้พระเอกกับนางเอกได้ลงเอยกันเสียที ทว่ากลับมีเหตุให้กลับมาพังพัน หนีไปพ้นจริง ๆ
โลกแคบเกินไปหรือเปล่า?
เธอได้สูตรการขายทุกอย่างจากเจ้าของกิจการเดิม พอทำจนคล่องแคล่วคุณนายจิตตราจึงยอมให้เธอทำออกมาขายได้
ตั้งแต่ทำอาชีพแม่ค้าขายหมูปิ้งที่หน้าโรงงานมีพนักงานหลายคนทักลลิตาเพราะคุ้นหน้าค่าตาหญิงสาวเป็นอย่างดี เนื่องจากเมื่อก่อนเธอมักจะแวะเวียนมาหาธราเทพที่โรงงานบ่อย ๆ ถึงจะโดนไล่ให้กลับบ้านไปทุกครั้งก็ตาม กระทั่งมีข่าวคราวออกมาว่าทั้งคู่ถูกจับแต่งงานสายฟ้าแลบ แต่พอถึงวันจริงเจ้าสาวเป็นสาวกลับเป็นฝ่ายล่มงานแต่งจนพังไม่เป็นท่า บิดามารดาก็เหลืออดถึงขั้นแตกหักกับบุตรสาว
ลลิตาเลยต้องร่อนเร่ทำฃานหาเงินใช้เอง แต่ก็ไม่มีใครนึกคิดมาก่อนว่าไฮโซที่เคยเหยียดหยามผู้อื่นบัดนี้จะเป็นเพียงแม่ค้าขายหมูปิ้งไม้ละสิบบาทข้างทาง
และเย็นวันนี้ไม่รู้ลมอะไรหอบธราเทพมาที่หน้าโรงงาน ชายหนุ่มเดินกูร้านขายน้ำผลไม้ปั่น ก่อนจะหยุดลงเมื่อถึงหน้าร้านขายหมูปิ้ง ซึ่งลลิตาไม่อยากปะทะหน้ากับอีกฝ่ายนัก จึงหันหลังใส่ มือจับไม้หมูปิ้งบนเตาถ่านพลิกกลับด้านไปมาไม่ให้ไหม้
“พี่เทพมีอะไรเหรอคะ” อนันญาที่เพิ่งสั่งน้ำผลไม้ปั่นกับร้านข้าง ๆ ก็เดินมาถามคนพี่ด้วยความสงสัย เจ้าหล่อนเรียนมหาวิทยาลัยปี 4 ปีนี้เป็นปีสุดท้ายแล้วจึงมาฝึกงานเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่บริษัทของเขา
“นันมาช่วยพี่ดูหน่อยสิ ใช่ลลิตาที่เคยเป็นคุณหนูมาก่อนหรือเปล่า ตอนนี้ตกอับจนต้องมาเร่ขายของแล้วหรือ”
“ไหนคะ”
“นั่นไง” เขาชี้นิ้วไปที่คนตรงหน้า
“ใช่เหรอคะพี่ตาขาวกว่านี้นะ ตอนนี้ผิวหมองแถมแห้งอย่างกับคนละคนเลยค่ะ” อนันญาไม่แน่ใจเพราะเห็นเพียงด้านหลังแม่ค้า
“พี่ว่าใช่นะ”
“แม่ค้าคะ” หล่อนเรียกแล้วเรียกอีก ลลิตาทำใจฮึดสู้ หมุนตัวกลับไปเผชิญหน้าทั้งสองคน
“ตาเองแหละค่ะ พวกคุณมีอะไรอีกไหม ถ้าไม่ซื้อก็อย่ามายืนเกะกะหน้าร้าน”
“พี่ตาเองเหรอคะ” อนันญาอึ้งไปชั่งขณะ ผิวพรรณลลิตาที่เคยเปล่งปลั่งได้รับการบำรุงเป็นอย่างดีในวันนี้ที่เจอครั้งแรกในรอบหนึ่งเดือน ช่างแตกต่างจากเมื่อก่อน ดูเหี่ยวแห้ง หมองคล้ำ “พี่ตาไหวหรือเปล่าคะ ถ้าไม่ไหวพี่ตากลับไปขอโทษคุณลุงคุณป้าจะดรกว่านะคะ”
“ฉันไหว ฉันไม่มีทางกลับไปที่บ้านอีก”
“ถ้าอย่างนั้นเธอก็ยอมรับสภาพตัวเองแบบนี้ต่อไป” ธราเทพเอ่ย
“ค่ะ พูดจบแล้วใช่ไหม” ลลิตาคำเมินไม่ใส่ใจคำพูดเสียดสีนั้น “เชิญขยับออกจากหน้าร้านด้วยค่ะ”
“ไม่ต้องทำเหมือนไม่อยากคุยกับพวกฉันหน่อยเลย ฉันก็ไม่ได้อยากลดตัวไปคัยกับคนอย่างเธอนักหรอกลลิตา เรามันคนละชั้นกัน”
“เรามันอยู่คนละชั้นกันน่ะดีแล้วค่ะ ตาคิดว่าถ้าต้องอยู่ชนชั้นเดียวกับคนอย่างพี่เทพ คงประสาทขึ้นไม่น้อย”
“ลลิตา!” ชายหนุ่มขึ้นเสียงขุ่น แววตาคมเข้มที่จ้องมาเต็มไปด้วยความชิงชังเข้ากระดูกดำ
“พี่เทพคะ เราไปกันดีกว่าค่ะ ถ้าอยู่ตรงนี้นานนันว่าคงเกิดเรื่องราวใหญ่โต พี่เทพเป็นผู้บริหารนะคะจะมามีเรื่องกับแค่แม่ค้าข้างทางมันไม่คุ้มที่จะต้องเอาชื่อเสียงมาเสีย” อนันญารีบห้ามปราม มือสอดเข้าไปควงแขนแกร่ง ธราเทพจำต้องข่มความรู้สึก หากไม่มีอนันญาคอยเตือนสติ เขาอาจจะพังร้านหมูปิ้งเส็งเคร็งนี้ไปแล้วก็ได้
“รอดไปอีกวันหนึ่ง…” ลลิตาถึงกับพ่นลมหายใจโล่งอกท้ายหลังที่ธราเทพ และอนันญาเดินจากไป ถึงจะไม่ใช่คนชอบมีเรื่องกับใครไปทั่ว แต่ถ้าใครมาหาเรื่องก่อนเธอไม่กลัว ไม่ยอมเหมือนกัน