อะไรดลใจ
ไม่รู้อะไรดลใจธราเทพให้วนรถกลับมาจอดที่หน้าซอยหมู่บ้านที่ลลิตาอาศัยอยู่ในช่วงฝนซา เขาไปส่งอนันญาถึงบ้านก็ขับมาต่อเลยทันที
รถยนต์คันหรูจอดเทียบหน้ารั้วบ้าน ธราเทพก้าวขาลงไป แล้วถือวิสาสะเปิดประตูบ้างเองโดยไม่บอกกล่าว หรือรอเจ้าของบ้านอนุญาต
ชายหนุ่มเดินสำรวจโถงกว้างชั้นล่าง ก่อนหยุดลงที่โต๊ะโซฟา เห็นหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งเขียนว่า หนังสือสำหรับคุณแม่มือใหม่ หัวคิ้วเข้มจึงขมวด มือหนาหยิบเล่มตรงหน้าขึ้น เปิดอ่านแล้วยิ่งไม่เข้าใจ ลลิตาสนใจอ่านอะไรแบบนี้ด้วยหรือ
เขาวางลงไว้ที่เดิม หันไปตามทางเสียงอาเจียนที่ดังจากห้องน้ำในห้องครัว ธราเทพไม่รอช้าเดินไปดูให้แน่ใจ
ลลิตาล้างหน้าล้างปากเมื่ออาเจียนจนหมดไส้หมดพุง และเปลี่ยนชุดเสื้อผ้าที่เปียกชุ่มทิ้ง เปิดประตูห้องน้ำออกมาเท่านั้นแหละทำเอาเธอตัวแข็ง ตื่นตระหนกไม่น้อยครั้นธราเทพมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า
“พี่เทพมาทำไมคะ”
เธอรีบวิ่งไปที่โซฟา เก็บหนังสือซึ่งอ่านทิ้งไว้ใส่ถุงหูหิ้วเพราะกลัวเขาจะเห็นมัน แต่ก็คงไม่ทันแล้วล่ะ ธราเทพสอดส่องทุกอย่างในบ้านหลังนี้จนละเอียด
“ฉันมาไม่ได้เลยหรือไง”
“พี่เทพไม่ควรมาต่างหากล่ะ”
“อีกอย่างหนังสือพวกนั้นไม่ต้องเก็บซ่อนหรอก มันไม่มีประโยชน์ เพราะฉันเห็นหมดแล้ว”
“…”
“เธอคิดยังไงถึงอ่านหนังสือเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ หรือเคยวาดฝันอาไว้ว่าอยากมีลูกกับฉัน แต่ฝันนั้นก็แค่ฝันลม ๆ แล้ง ๆ …”
นอกจากธราเทพจะปากไม่ดีแล้วยังหลงตัวเองที่สุด
“ตาไม่คิดอย่างนั้นหรอกค่ะ ทำไมตาจะต้องวาดฝันไว้กับคนที่เกลียดตาด้วย”
“เพราะเธอรักฉันไงล่ะ ไม่อย่างนั้นจะลงทุนวางแผนทำเรื่องบ้า ๆ แบบนั้นเหรอ”
ความอคติครอบงำจิตใจธราเทพ ในสายตาเขายังคงเห็นเพียงการกระทำแย่ ๆ ของเธอ
“ตาเคยบอกแล้วนะคะ ถ้าจะมาเพื่อมาหาเรื่องตา พี่เทพก็กลับไป”
“ฉันกลับแน่ แค่อยากย้ำกับเธออีกครั้งว่าให้เลิกฝัน ยังไงเธอกับฉันก็ไม่มีทางเป็นอะไรกันไปได้มากกว่านี้ อย่าได้หวังสูงถึงขั้นมีลูกด้วยกันเลย ฉันรับไม่ได้!”
คำพูดของธราเทพสะเทือนใจคนฟัง ทำเอาลลิตาน้ำตาคลอ แม้เธอจะแข็งแกร่งอยู่ได้โดยไม่พึ่งพาอาศัยคนในครอบครัว หากหัวใจของเธอก็เปราะบางแบบคนทั่วไป
นั้นเป็นเหตุผลว่าทำไมธราเทพถึงไม่ควรรับรู้การมีอยู่ของลูกในท้องเธอ
น้ำตาแทบเช็ดหัวเข่า ทำไมหนอ ทำไมเธอไม่ป้องกันตัวเองให้ดีกว่านี้ เพราะมัวแต่คิดเรื่องอื่นจนเผลอลืมเรื่องใกล้ตัว กระทั่งเป็นบ่อเกิดหนึ่งชีวิต
สัปดาห์ต่อมา
ลลิตามีเพื่อนมีสังคมแม้จะน้อยมากเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน เนื่องจากคนส่วนมากเข้าหาคบค้าสมาคมกับคุณหนูขี้วีนก็เพราะผลประโยชน์ พอตอนนี้เธอเป็นเพียงแม่ค้าขายหมูปิ้ง และไม่มีสมบัติพันล้าน เพื่อนจอมปลอมจึงชิ่งหนี
คบกันด้วยใจจริงมีเพียงสองคนเท่านั้นคืออานนท์ และเรืองรอง
คืนนี้ลลิตาถูกเชิญมาปาร์ตี้ที่ผับย่านอโศก โดยมีอานนท์ขับรถไปรับถึงบ้านเช่าเมื่อถึงเวลานัดแนะ หญิงสาวแต่งตัวในชุดเดรสเกาะอก กระโปรงสั้นเหนือเข่าโอบรัดสันส่วนอวบอิ่ม ผมทำลอนสลวยรับกับใบหน้าสวยเชิดรั้น ยังคงความสวยไม่เปลี่ยน
ปาร์ตี้คืนนี้เรืองรองเป็นเจ้าภาพ เนื่องจากตรงกับคืนวันคล้ายวันเกิดหล่อน
หากไม่จำเป็นลลิตาคงไม่มาที่อโคจรเช่นนี้ เพราะเป็นอันตรายต่อเธอทั้งลูกที่โตขึ้นทุกวัน
“เมื่อก่อนแกคลั่งผอมจะตาย ตอนนี้เกิดอะไรขึ้นไม่เห็นอัพสตอรี่ลงไอจีเลยว่ากำลังฟิตหุ่นอยู่ฟิตเนส หรือทานอาหารคลีน หรือว่าแกมัวแต่ขายหมูปิ้งจนไม่มีเวลาทำอย่างอื่น” เรืองรองยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม ถามเพื่อนสาวที่สนิท และรู้จักกันมานานตั้งแต่เรียนมัธยมปลายด้วยกัน กระทั่งจบปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน
“อือ แค่เวลาเตรียมของไปขายยังไม่ทันเลย จะให้ฉันเอาเวลาไหนไปฟิตหู่น ไปทำสวยล่ะ”
“อันที่จริงแกไม่เห็นต้องลำบากขนาดนั้นเลยนะ ฉันกับนนท์ช่วยเหลือแกด้านการเงินได้อยู่แล้วขอแค่ให้บอกมา”
อานนท์พยักหน้าเห็นด้วย
“แต่ถึงยังไงฉันก็ไม่ควรหวังพึ่งพาคนอื่นไปตลอด”
คำตอบจากเธอทำเอาอีกฝ่ายแทบไม่อยากเชื่อว่าเป็นลลิตาตัวจริงเสียงจริง
“อะไรถึงเปลี่ยนความคิดแกไปขนาดนั้นยัยตา แกคิดได้แล้วเหรอ”
เรืองรองรีบเอื้อมหลังมือมาแนบหน้าผากเพื่อนแต่ก็ถูกปัดออก
“ฉันก็แค่ไม้อยากเป็นภาระใครอีกแล้ว”
“แต่ก็ดีที่เธอคิดได้นะตา” อานนท์ส่งยิ้ม “ไว้อยากขอความช่วยเหลือก็ค่อยขอ พวกเราเพื่อนกันอยู่แล้วมีอะไรก็ช่วยกัน”
ผ่านไปราวสามชั่วโมงจึงเห็นควรว่าควรกลับ ระหว่างทางเดินไปที่ลานจอดรถกับอานนท์ ส่วนเรืองรองเดินแยกไปเช็คบิลค่าเครื่องดื่มที่เลี้ยงเพื่อนไป ชายหนุ่มเพื่อนสนิทก็เพิ่งนึกขึ้นได้ มือยกตบถุงกางเกงหาของสำคัญ
ลลิตาจึงเอ่ยถาม “มึอะไรหรือเปล่านนท์”
“เหมือนฉันจะลืมโทรศัพท์ไว้ที่โต๊ะ”
“หาไม่เจอเลยเหรอ”
“อืม…เธอไปรอที่รถก่อนนะ เดี๋ยวฉันขอไปดูด้านในก่อน”
“ได้ ๆ รีบมาล่ะ”
พอตกลงกันเรียบร้อย อานนท์ก็เดินกลับเข้าไปข้างในผับ เธอมองเพื่อนหายไปจนลับสายตาจึงไปรอที่รถ บัดบั้นนั่นเองเสียงคุ้นหูจากใครบางคนก็ดังขึ้น พร้อมกับฝีเท้าภายใต้รองเท้าส้นสูงที่ย่ำเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ
“พี่ตาคะ”
กระทั่งสาวเจ้าหยุดอยู่ตรงหน้า
“ไม่คิดว่าจะเจอเธอที่นี่”
“พอดีนันมากับพี่เทพน่ะค่ะ คุณแม่ของพี่เทพให้มาช่วยคุมพฤติกรรมลูกชายของท่าน” เป็นอันรู้กันดีว่าธราเทพดื่มเหล้าหนัก จนผู้เป็นมารดาเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยยามขับรถไปกลับ
“พี่ไม่ได้อยากรู้”
อนันญาหน้าเจื่อนลงเล็กน้อย หากยังปั้นยิ้มไร้เดียงสา “พี่ตามาทำอะไรคะ มาเที่ยวกับเพื่อนเหรอ”
“อืม”
“พี่ตาแต่งตัวแบบนี้มาเที่ยวตลอดเลยเหรอคะ” สายตาใสซื่อลากมองอีกคน
“มีอะไรเหรอ”
“นันแค่เป็นห่วงน่ะค่ะ พี่ตาควรแต่งตัวมิดชิดกว่านี้นะคะ ระมัดระวังตัวหน่อยสิคะ”
“พี่จะแต่งตัวยังไงมันก็เรื่องของพี่ อีกอย่างพี่มาเที่ยวผับ ไม่ได้ไปวัดจะให้นุ่งนาวห่มสะไบมาก็ไม่ใช่เรื่อง”
“แต่พี่ตาทำอะไรก็ควรนึกถึงตระกูลสักนิดนะคะ”
ลลิตาไม่ได้รู้สึกเลยว่าอนันญาเตือนเพราะหวังดีต่อเธอ คำพูดอ่อมค้อมแกมออกไปทางเหยียบย่ำดูแคลนกันเสียมากกว่า
“พี่ออกจากที่บ้านมาแล้ว พี่ไม่ทำอะไรให้ที่บ้านเดือดร้อนอีกหรอก พี่รู้ดีว่าพี่ทำอะไรอยู่ นันไม่ต้องบอกหรอก”
“ก็ดีค่ะ…” อนันญาแย้มยิ้ม หันซ้ายแลขวาอยู่ครู่หนึ่ง พลางบ่นอุบอิบ “พี่เทพยังไม่มาอีก วันนี้จะได้กลับกันไหมเนี่ย”
“พี่ไม่รู้หรอกนะว่านันคิดจะทำอะไร แต่ขอเถอะเลิกยุ่งกับพี่สักที” เธอยื่นคำขาด
อนันญาสบตาคนพี่ พร้อมเอื้อมไปจับมือ “พี่ตา นันไม่ได้ต้องการอะไรเลยค่ะ นันหวังดีกับพี่จริง ๆ”
“งั้นเหรอ…” ลลิตาเชื่อไม่ลง สะบัดแขนออก หากเธอไม่ได้กระทำรุนแรงเลยด้วยซ้ำ แต่อนันญากลับตัวทรุดลงไปนั่งที่พื้น
“อ๊ะ พะ พี่ตา”
แววตาอนันญาแปรเปลี่ยนเป็นวูบไหว ก่อนน้ำสีใสจะคลอเบ้า สีหน้าเหยเกราวกับเจ็บนักหนา
“พี่ยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ” ลลิตาทำตัวไม่ถูก คาดไม่ถึงว่าอนันญาจะใช้แผนการตื้น ๆ สิ้นคิดเช่นนี้
“นัน! เป็นอะไรหรือเปล่า”
“นะ นันไม่เป็นไรค่ะ แค่อุบัติเหตุนิดหน่อย”
ธราเทพเดินมาเห็นช็อตสำคัญเข้าพอดี ปรี่ตรงมาช่วยประคองร่างเล็กของอนันญายืนขึ้น สายตามาดร้ายจ้องเขม็งเธอ
“เธอต้องทำน้องขนาดนี้เลยเหรอฮะ!!” ธราเทพถึงกับต้องออกตัวปกป้องอนันญาที่ถูกรังแก
ลลิตาหน้าเหวอ มองอีกคนที่ทำตัวเล็กตัวน้อยราวกับถูกเธอทำร้ายอย่างที่เขาเข้าใจผิด