หน้าไม่อาย
ในที่สุดสิ่งที่เธอภาวนาก็เกิดขึ้นจริง เด็กชายอธิปได้รับเลือดจากผูเป็นพ่อ และปลอดภัยถูกเคลื่อนย้ายไปยังห้องพักพิเศษ
ลลิตาโอบกอดลูกอย่างหวงแหน ก่อนธราเทพเอ่ย
“ออกไปคุยกันข้างนอกหน่อยสิ”
เธอหันไปมองเพื่อน ซึ่งทั้งสองก็ตบไหล่ให้กำลังใจ ก่อนจะตามธราเทพไป
“พี่เทพไม่กลับไปงานเหรอคะ ตอนนี้ยังมีเวลานะ” เธอกูนาฬิบนข้อมือ ยังไม่สายไปหากเขาต้องกลับไปทำในสิ่งที่ปรารถนา เธอไม่ต้องการพรากความสุขใครไปเป็นครั้งที่สองเช่นกัน
ธราเทพกลับส่ายหัวไปมา “ถ้ารักษ์เป็นลูกของฉันจริง ฉันก็ไม่ควรไปแต่งงานกับอนันญา เราสามคนเติบโตมาด้วยกันนะเธอก็รู้ หากเป็นอย่างนั้น คนได้ครหาว่าฉันกินทั้งพี่ทั้งน้องแน่”
“ตาขอโทษค่ะที่ทำให้เรื่องมันแย่ไปหมด แล้วก็ต้องขอบคุณพี่เทพที่มาช่วยลูกไว้ทัน”
“คำขอโทษมันไม่มีประโยนช์หรอก”
“แล้วพี่เทพจะให้ตาทำยังไงละคะ”
“เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือฉันต้องรับเธอกับลูกไปดูแล ทำทุกอย่างให้มันถูก อย่างน้อยฉันก็ควรทำหน้าที่พ่อ…” แม้ว่าจะจำใจอย่างไรก็ตาม
“แต่ไม่จำเป็นก็ได้นะคะ เพราะตาก็ไม่ได้ต้องการให้พี่มารับผิดชอบ”
“ฉันจะรับผิดชอบแค่เรื่องลูก ส่วนเรื่องเธอกับฉันก็ให้มันจบเท่านั้น”
ลลิตาถึงกับชะงัก “แล้วเรื่องอนันญาละคะ”
“เรื่องนั้นฉันจะจัดการเอง”
“ค่ะ”
“ได้ความว่ายังไงตาเทพ หายหัวไปทั้งวันปล่อยให้พ่อกับย่าต้องรับหน้าผู้อื่น รู้หรือเปล่าว่าทำผู้ใหญ่อับอายขนาดไหน” มันน่าแตะลูกชายตัวดีสักทีสองสี งานแต่งถูกล่มมาแล้วครั้งที่สอง คราวนี้เจ้าตัวเล่นหายหน้าหายตาไปโดยไม่บอกกล่าว มีเพียงคนเป็นเจ้าสาวออกมากล่าวคำขอโทษรับหน้าแขกเหรื่อ รู้ถึงไหนก็อายเขาถึงนั่น
“ผมไปจัดการธุระมาครับ”
“ธุระที่ว่ามันสำคัญไปกว่างานแต่งเหรอเทพ ย่าไม่เคยสั่งสอนให้เป็นคนเหลวไหล ทำตัวกลับไปกลับมาแบบนี้นะ ย่าไม่อยากให้งานล่มซ้ำสองเหมือนรอบหนูตาแล้วด้วยซ้ำ” ผู้เป็นย่าอย่างคุณหญิงชไมพรอายคนทั้งงาน เก็บความขุ่นเคืองเอาไว้จนกลับมาถึงบ้านแล้วพบหน้าหลานชาย จึงระเบิดอารมณ์ออกมา
ธราเทพไม่มีทางเลือกเช่นกัน ชีวิตเด็กสำคัญ และงานแต่งงานก็สำคัญ
“ผมขอโทษครับคุณย่า”
“แล้วนี่แกหายไปไหนมา” ธรรมนพถามลูก
“ผะ ผม…” ไม่รู้จะเอ่ยความจริงออกไปดีหรือไม่ กระทั่งธรรมนพอดใจรอฟังไม่ไหว
“แกร๊บ ๆ พูดมาดีกว่า ฉันกับแม่ชักจะหมดความอดทนกับแกเต็มที”
“ผมไปช่วยลูกครับ’
“ละ ลูก” ผู้ใหญ่ทั้งสองคนจ้องธราเทพด้วยความตื่นตกใจ ฟังไม่ผิดใช่ไหม ลูกใคร ยังไงกันแน่
เหมือนธราเทพรู้ว่าพ่อกับย่าคิดสงสัยสิ่งใดอยู่จึงกล่าวต่อ “ลูกของผมที่เกิดจากลลิตา ด้วยความผิดพลาดในงานเลี้ยงฉลองของคุณย่าเมื่อสองปีก่อนครับ เธอมีลูกในตอนที่ย้ายไปอยู่ข้างนอก แล้วจงใจปิดเรื่องนี้เอาไว้ ไม่มีใครรู้เลย แต่ความก็มาแตก เพราะเธอต้องการความช่วยเหลือจากผม ช่วยชีวิตรักษ์ที่เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อเช้านี้ จนต้องการกรุ๊ปเลือดที่หาได้ยากตามทั่ว ๆ ไป”
พอได้ฟังทั้งคู่นิ่งไปชั่วอึดใจ ฝ่ายธรรมนพว่า “ทางบ้านหนูตายัวไม่มีใครรู้เลยใช่ไหม”
“ครับ…ไม่มีใครรู้”
“งามหน้าแล้วไหมล่ะ” ความจริงจากหลานชายตัวดี ทำเอาคุณหญิงชไมพรลมแทบจับ ยังดีที่ธรรมนพมาช่วยประคองไปนั่งยังโซฟา คนใช้พากันวิ่งวุ่นหายาหอมมาให้นางสูดดม
“ผมไม่มีทางเลือก หากผมแต่งงานกับอนันญาไป คงเป็นการตัดสินใจที่ผิดมหันต์” แม้ว่าจะเสียดาย เขาอยากใช้ชีวิตในบั้นปลายสุดท้ายกับผู้หญิงเพียบพร้อม และว่านอนสอนง่ายอย่างอนันญามากกว่าใครอีกคน
“ดีแล้วที่แกตัดสินใจแบบนั้น เพราะถึงแกจะเกลียดชังแม่ของลูกมากขนาดไหน แต่ยังไงเด็กก็คือลูกของแก และเป็นหลานของฉัน”
ธรรมนพนั้นไม่ขัด ยังไงก็ได้ ขอเพียงว่าบุตรชายสามารถสืบทอดลูกชายไว้สืบทอดธุรกิจต่อได้เป็นรุ่นต่อไปก็เพียงพอ คุณหญิงชไมพรอยากดีใจก็ทำได้ไม่สุดนัก
“ย่าอยากเจอน้องรักษ์ ชื่อรักษ์แสดงว่าเป็นผู้ชายสินะ หลานยังอยู่โรงพยาบาลใช่ไหม พาย่าไปเจอหลานหน่อยสิ”
“ใช่ครับคุณย่า เด็กชายคนนั้นมีชื่อเล่นว่า รักษ์ ชื่อจริงว่า อธิป”
“อืม..ชื่อเพราะดีนะ หนูตาเลือกชื่อลูกได้ดีเชียว” หญิงวัยเจ็ดสิบกลาง ๆ ยิ้มบางเบา
ธราเทพกลับคิดต่าง คงจะดีกว่านี้ถ้าผู้หญิงที่ตนพลาดทำให้ตั้งครรภ์ไม่ใช่ลลิตา
ผู้หญิงหน้าไม่อาย!
3 วันต่อมา
คุณหญิงชไมพรมาเยี่ยมหลานชายจนได้ เนื่องจากวันที่ผ่านมาธราเทพพยายามกีดกั้นไม่ให้หล่อนมาโรงพยาบาลเพื่อพบหน้าหลาน อ้างนู่นอ้างนี่สารพัด จนต้องขู่ว่าจะขับรถมาเองหากเขาไม่พาไป เพราะความเป็นห่วงคุณย่า ธราเทพจำต้องหาเวลาว่างพาไป
ทั้งนี้จึงหอบกันมาทั้งคุณพ่อคุณย่า
“ขอบคุณนะคะคุณย่าที่มา แต่จริง ๆ ไม่ต้องลำบากมาก็ได้ค่ะ คุณย่าไปมาลำบาก..” เธอกล่าวอย่างเห็นใจ จนคุณหญิงชไมพรประหลาดใจ หลานสาวที่เคยเห็นตั้งแต่เด็กนั้นเอาแต่ใจใคร ๆ ก็รู้ หากคราวนี้พูดจาดี
“ย่าอยากมาดูหลาน”
“คุณย่ารู้”
“อืม แล้วอีกสองบ้านก็รู้แล้วนะ คุณพ่อคุณแม่ของหนูตาก็ไม่ได้ติดใจเอาความอะไรแล้ว”
“เหรอคะ” เธอเพียงยิ้มไม่รู้สึกว่าควรยินดียินร้ายยังไง
ก่อนเสตามองลูกชายที่นอนหลับปุ๋ยบนเตียง “ไว้มีเวลาตาจะพาลูกไปหาคุณพ่อคุณแม่นะคะ”
“หนูไม่คิดจะกลับไปอยู่บ้านเหรอ อยู่ข้างนอกมันลำบากนะ ไม่มีคนคอยเป็นหนูเป็นตาช่วยเลี้ยง เด็กวัยนี้น่ะกำลังชนเชียว”
“ตาว่าจะหาพี่เลี้ยงอยู่ค่ะคุณลุง”
“ถ้าไม่อยากกลับไปอยู่บ้าน งั้นไปอยู่บ้านลุงก็ได้นะ บ้านลุงพร้อมต้อนรับ” เพราะรู้ว่าลลิตามีปัญหากับทางบ้าน
“ไม่ดีกว่าค่ะ ขอบคุณคุณลุงที่เป็นห่วงนะคะ” กิริยาอ่อนน้อมยกมือไหว้ผู้ใหญ่นั่นอีก ทำเอาใครต่อใครตกใจ
“นี่นะ…น่าซื้อมารับขวัญหลาน” นางยื่นถุงทองเป็นกำไลข้อขาให้เธอ
“อะไรเหรอคะ”
“ทองจ้ะ”
“ตารับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ”
“รับไว้เถอะนะ เอาไว้ให้ลูก”
“ค่ะ” สุดท้ายเธอจำใจ หากปฏิเสธไปคงดูเสียมารยาท
คุณหญิงชไมพรได้ชมเชยโฉมหน้าของหลานชายแล้วก็รู้สึกอิ่มเอมใจ เด็กชายอธิปถอดแบบธราเทพผู้เป็นพ่อมาไม่มีผิด ราวกับพิมพ์เดียวกัน
ระหว่างนั้นธราเทพจึงลากตัวเธอออกไปจากห้อง หญิงสาวสะบัดมือทิ้งด้วยความหงุดหงิด
“มีอะไรอีกคะ”
“หองที่คุณย่าให้น่ะ อย่าเอาไปขายกินล่ะ เก็บไว้ให้รักษ์”
“ตาไม่ทำแบบนั้นหรอกค่ะ”
“มันไม่แน่หรอก ฉันแค่อยากกำชับไว้”
“พี่เทพไม่แต่งงานจริง ๆ หรือคะ” คุณย่าชไมพรเพิ่งบอกไปอยู่หยก ๆ แต่ราวกับพูดแทงใจดำของเขาเข้าเต็ม ๆ ที่เกือบจะได้ใช้ชีวิตสงบสุข มีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบกับผู้หญิงที่คู่ควร
“เธอจะอยากรู้ไปทำไม หรือในใจลึก ๆ นั้นแอบดีใจที่มันเป็นไปตามคาด”
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ ตาก็แค่อยากรู้”
“ไม่มีอะไรที่เธอจะต้องรู้อีกแล้ว”