ตอนที่ 6 ดูตัว
@วันดูตัว
ทิชากรปิดปากเงียบเรื่องที่เธอเกือบโดนข่มขืน ไม่บอกใครกระทั่งพี่ชายเพราะกลัวโดนตำหนิว่าไม่ดูแลตัวเอง ก็ทุกครั้งที่ไปไม่เคยเจอแบบนี้ และคงไม่ไปที่นั่นอีกแล้วเพราะใครบางคนบอกว่าถ้าเจอหน้าอีก...เขาจะฆ่าเธอทิ้ง
บางทีก็ไม่เข้าใจ...เตวิชญ์เป็นคนใจร้ายขนาดนี้เลยหรอ เขาเป็นคนบอกไอ้หมีควายเอาเธอไปต้มยำทำแกงแต่สุดท้ายก็มาช่วย เหมือนกำลังเล่นกับความกลัวเพราะเมื่อก่อนเธอเคยจ้างคนไปดักข่มขืนผู้หญิงที่เขาชอบ ตอนนั้นเธอทำจริงๆเพราะฟังคำยุยงของเพื่อนมากเกินไป ก็อย่างว่า...สมัยนั้นทุกอย่างขับเคลื่อนด้วยเพื่อน
แต่กาลเวลาเปลี่ยนจิตใจก็เปลี่ยน หากลองมองย้อนกลับไป ตอนนั้นเธอเองก็นิสัยไม่ดีเหมือนกัน อาจเป็นเพราะกลุ่มของเธอคือกลุ่มลูกคุณหนู พ่อแม่บางคนก็มีเส้นสาย เลยทำอะไรโดยไม่เกรงกลัวว่ามันจะถูกหรือผิดเพราะสุดท้ายพ่อกับแม่ก็แก้ปัญหาให้อยู่ดี
“เสร็จหรือยังลูก แม่รอนานแล้วนะ”
“เสร็จแล้วค่ะ หนูกำลังจะออกไปพอดี” ทิชากรเปิดประตูออกมาส่งยิ้มทักทายตอนเช้า คิ้วโก่งของคุณแม่ขมวดยุ่งเมื่อสายตาปะทะเข้ากับร่องรอยบางอย่างบนตัวลูกสาว
“ไปโดนอะไรมา”
“อ้อ! มะ...เมื่อคืนหกล้มค่ะ”
“ระมัดระวังหน่อยสิ วันนี้เราต้องไปพบคุณหญิงเทียมศิรินะ”
“ก็หนูบอกแม่แล้วไงคะว่ายังไม่พร้อม”
“ไม่พร้อมก็ต้องไป ลูกเรียนจบแล้วแต่ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เพราะงั้น...ก็รีบแต่งงานมีครอบครัวซะ”
“ก็หนูกำลังจะสอบเนตินี่ไง เราตกลงกันแล้วไม่ใช่หรอคะ”
“แม่บอกตั้งแต่แรกแล้วว่าอยากให้ลูกเรียนสายสุขภาพเหมือนพี่ แล้วเป็นไง...สอบได้แล้วไปทำงานที่โรงพยาบาลได้ไหม”
“แต่หมอก็ต้องพึ่งนักกฎหมายนะคะ ครอบครัวของเราเป็นหมอเกือบทุกคน ถ้าหนูจะเป็นทนายความมันก็ไม่ได้ผิดนิ”
“โอ้ยแม่ขี้เกียจเถียงแล้ว! ไปกันเถอะเดี๋ยวคุณหญิงท่านรอนาน”
ทิชากรถอนหายใจพรืดใหญ่พร้อมกรอกตามองบน เธอกับแม่ทะเลาะกันเรื่องนี้ประจำ ความตั้งใจของท่านก็คืออยากให้เธอเป็นหมอเหมือนพี่ชาย แต่ความฝันดันไม่ตรงกับความต้องการของครอบครัว จะมีก็แค่พี่ชายเท่านั้นที่เข้าใจ เหตุนี้เองเธอจึงไม่ค่อยกลับบ้านเลยเลือกอยู่ที่จะคอนโดแทน เพราะกลับมาก็โดนบ่น โดนแบบนี้มาตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเรียนจบคุณแม่ก็ยังบ่นอยู่
บ้านไม่ใช่เซฟโซนสำหรับทิชากร
บางครั้งเธอก็คิดว่าแม่รักพี่ชายมากกว่าตัวเอง เพราะเธอทำอะไรก็ไม่เคยได้ดั่งใจ ต่างจากทีปกร...ทั้งเก่งและฉลาด แถมยังได้ทุนไปเรียนต่อที่เยอรมันอีก
“เวลาเจอผู้ใหญ่ต้องยกมือไหว้นะเข้าใจไหม”
“แม่คิดว่าหนูเป็นคนไม่มีสัมมาคารวะขนาดนั้นเลยหรอคะ”
“เมื่อก่อนลูกเคยโดนติงเรื่องนี้มานิ”
“นั่นมันเมื่อก่อนค่ะ ตอนนี้หนูเปลี่ยนไปแล้ว หนูรู้ดีว่าอะไรควรไม่ควร”
“ก็ดี แม่ลำบากใจกับพี่เรามาแล้ว อย่าทำให้แม่ปวดหัวไปมากกว่านี้นะ”
ทิชากรก้มหน้างุดหลบซ่อนสายตาตัดพ้อ
มีเรื่องไหนบ้างที่เธอเคยทำให้แม่ภูมิใจ เรียนจบนิติศาสตร์มาถึงจะไม่ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง แต่เธอก็เรียนจบด้วยความสามารถของตัวเอง แค่เรื่องที่เธอไม่ยอมเรียนหมอเหมือนพี่ชาย คุณแม่ท่านก็ยกมาเป็นประเด็นหาเรื่องตำหนิเธออยู่เรื่อย
ใช่สิ...ก็เธอมันไม่ใช่ลูกรักนิ
“สวัสดีค่ะคุณหญิงเทียมศิริ รอนานไหมคะ” นางอมรรัตน์ยกมือไหว้ทักทาย ก่อนที่หญิงสาวหน้าตาสะสวยจะเดินตามหลังเข้ามาแล้วทำความเคารพตามมารยาท
“นี่หนูแพมหรอ! ไม่คิดว่าโตขึ้นจะสวยขนาดนี้”
“แหม...คุณหญิงก็ชมลูกสาวของอิฉันเกินไป นั่งลงสิลูก จำคุณหญิงเทียมศิริเพื่อนแม่ได้ไหม”
“จำได้ค่ะ”
“ได้ข่าวว่าพึ่งเรียนจบไม่ใช่หรอ”
“ค่ะ”
“จบอะไรมาล่ะ”
“นิติศาสตร์ค่ะ”
“โอ้! ว่าที่ทนายสาวแสนสวย แม่คิดว่าหนูจะเรียนหมอเหมือนพี่ชายซะอีก”
“อิฉันก็อยากให้เรียนหมอนั่นแหละจะได้ช่วยงานที่โรงพยาบาลแบ่งเบาภาระพี่ชาย เพราะถ้าตาพีทเรียนจบก็จะได้ขึ้นเป็นผู้บริหารแทนพ่อทันที” นางอมรรัตน์ตอบแทนลูกสาว
“จะเรียนอะไรก็ไม่สำคัญหรอก ขอแค่ดูแลตัวเองได้ก็พอ” คุณหญิงเทียมศิริรู้สึกถูกอกถูกใจว่าที่ลูกสะใภ้ยิ่งนัก ตอนเด็กๆว่าสวยแล้ว พอโตขึ้นสวยจนคิดว่าเป็นดาราซะอีก หวังว่าคงจะถูกใจลูกชายของเธอ เพราะทั้งสองยังไม่เคยเจอกันเลยทั้งๆที่แม่เป็นเพื่อนกัน
“หวังว่าลูกสาวของอิฉันจะถูกใจคุณหญิงนะคะ”
“ถูกใจสิคะ ถูกใจมากด้วย”
“เอ่อ...แล้วไหนล่ะคะ ลูกชายของคุณหญิง”
“ฉันนัดลูกชายไว้บ่ายโมงแต่ยังไม่เห็นมาเลย สงสัยรถจะติดค่ะ ยังไงก็รอหน่อยนะคะ ลูกชายของอิฉันเป็นพวก...”
บรื้นน!!บรื้นน!!
พูดยังไม่ทันขาดคำเสียงรถสปอร์ตก็ดังขึ้นจากทางหน้าร้าน
“นั่นไง ลูกชายของอิฉันมาแล้ว แกเป็นพวกชอบสะสมรถหรูค่ะ”
ทิชากรเลือกที่จะนั่งเงียบๆ ปล่อยให้ผู้ใหญ่เป็นฝ่ายพูดไป เพราะสมองนึกถึงแต่เรื่องราวในคืนนั้น สองครั้งแล้วที่เขาช่วยเธอไว้
ครั้งแรกก็เมื่อหลายปีก่อน แต่ที่น่าแปลกไปมากกว่านั้นก็คือ...เขาจำไม่ได้เลยหรอว่าเคยช่วยเธอไว้ทั้งๆที่เห็นหน้ากันชัดเจน
ตึก!ตึก!ตึก!
เสียงฝีเท้าหนักเดินเข้ามาจากทางด้านหลัง ทิชากรนั่งตัวแข็งทื่อ ภาวนาขออย่าให้เป็นอย่างที่เธอคิดเลยเพราะยังหลอนกับไอ้หมีควายไม่หาย เขาเดินมาหยุดอยู่ข้างหลังจนสัมผัสได้ถึงรังสีอะไรบางอย่างจากตัวผู้ชายคนนั้น ทำให้เธอลอบกลืนน้ำลายลงคอเอือกใหญ่ ก่อนที่เสียงเข้มจะดังขึ้น
“มาแล้วครับ ไหนล่ะ....ว่าที่คุณเมียของผม!”