บทที่ 6
“พี่จักรตกลงว่ามากินฟรีหรือยังไงกันนะ ไหนบอกว่าคิดถึงเพื่อนไฮโซคนนี้นักหนายังไงกันล่ะคะ ไม่รีบไปเจอเค้าล่ะ” แม่น้องสาวบ่นโอดพลางย่นจมูก เมื่อมองไปรอบๆ งานบ้าง งานนี้ทำให้เธอเกร็งไปหมด ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในรั้วของคฤหาสน์แห่งนี้แล้ว เจ้าของงานจะร่ำรวยมหาศาลขนาดไหนกันหนอ ถึงได้มีบ้านใหญ่โตราวกับปราสาทแบบนี้ แล้วงานเลี้ยงหรูหราริมสระน้ำแห่งนี้ด้วย ความหรูหราของผู้คนที่บรรจงแต่งตัวกันมาในงานนี้ ที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นพวกบรรดาไฮโซในอังกฤษแหงๆ เครื่องเพชรที่ประชันกันวูบวาบ กับเสื้อผ้าหน้าผมที่มาแบบจัดเต็ม บางคนก็มองแล้วคุ้นตาว่าเป็นระดับนายแบบนางแบบ มีแม้กระทั่งดารานักร้อง ถ้าตาไม่ฝาดเธอเห็นคนระดับรัฐมนตรีมาในงานนี้ด้วย แสดงให้เห็นว่าคนที่เป็นเจ้าของงานต้องไม่ใช่ระดับธรรมดาแน่ๆ
“แต่ว่างานนี้ก็อลังการมากๆ เลยนะพี่จักร ยังกับหลุดเข้ามาอีกโลกหนึ่งแนะ พี่จักรไปรู้จักเพื่อนคนนี้ได้ยังไงกันน่ะ ดูแล้วท่าทางไฮโซมากๆ รวยสุดๆ จนน่าขนลุก บรื๋อ”
“หึๆ อะไรของน้ำตาลน่ะ มีแต่ผู้หญิงจะชอบผู้ชายหล่อๆ รวยๆ ไม่ใช่หรือยังไงกันนะ ไว้รอเห็นหน้านายแมทธิวก่อนเถอะ น้ำตาลอาจจะน้ำลายหกก็เป็นได้” ผู้เป็นพี่ชายเอ่ยกระเซ้า ทั้งๆ ที่รู้จักนิสัยของน้องสาวของตนเองดี ว่ามีทัศนคติกับเรื่องแบบนี้ยังไง ผลคือแม่ตัวแสบเชิดหน้าใส่เขาพลางเม้มปากแน่น
“ยกเว้นน้ำตาล น้ำตาลไม่ชอบผู้ชายหล่อเกินไป รวยเกินไป มันดูเหนื่อยมาก”
“อ้าว...มีแบบนี้ด้วยหรือน้องสาวพี่” จักรพรรดิถึงกับขำก๊ากกับคำพูดของน้องสาว มธุรินยักไหล่ ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบหากแต่ฟังหนักแน่นนัก
“ผู้ชายหล่อๆ รวยๆ ตัวเลือกเยอะจะตายไปพี่จักร น้ำตาลก็ไม่ใช่ผู้หญิงสวยเริ่ดอะไรนักหนา แถมยังห้าวๆ บ้าๆ อีกต่างหาก ไม่ไหวหรอกถ้าต้องให้ไปรบราฆ่าฟันกับบรรดากองทัพสาวๆ ที่คอยจะมาแย่งชิงด้วยน่ะ เหนื่อยจะตายไป แถมคนหล่อมากรวยมาก ก็ต้องเจ้าชู้มาก”
“แบบนี้ใช่ไหมเราถึงไม่มีแฟนสักทีเพราะมัวแต่อคติผู้ชายอยู่นี่เอง แล้วอย่างนายแซมเพื่อนซี้เราล่ะน้ำตาล ผ่านมาตรฐานของน้องสาวพี่หรือเปล่า? พี่กลัวว่าจะต้องมีน้องสาวขึ้นคาน พี่อยากมีหลานๆ ไว้อุ้มเล่นแล้ว”
“เพื่อนก็คือเพื่อน แล้วแซมก็คือเพื่อน เพื่อนก็คือเพื่อนไม่มีวันเป็นอย่างอื่น” เจ้าตัวเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง นัยน์ตาเป็นประกายวับของมธุริน บอกว่าสิ่งที่พูดเป็นไปตามนั้นทุกคำ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเสียด้วย เขาชักจะนึกสงสารพ่อหนุ่มลูกครึ่งจีนคนนั้นขึ้นมาเสียแล้ว เพราะแววตาของแซม ยามมองจับจ้องน้องสาวของเขานั้น มันแฝงความนัยบางอย่างไว้ด้วย แบบที่พี่ชายอย่างเขามองออกชัดเจนว่ามันแปลว่าอะไร
“เฮ้อ...น่าสงสารพวกมดแดง หึๆ”
“อะไรนะพี่จักร”
“ฮัลโหล! ซีซาร์ ดีใจจริงๆ ที่นายมางานนี้ด้วย” เสียงทุ้มเอ่ยทักขึ้นเสียก่อน ที่มธุรินจะได้ซักถามอะไรกับพี่ชายของเธอต่อ หญิงสาวหันไปมองทางต้นเสียง แล้วก็ต้องตาค้าง กับภาพของบุรุษหนุ่มที่ปรากฏตรงหน้า
โอ...นี่เธอฝันไปหรือว่าเห็นภาพหลอนของเทพบุตรกันนะ คนอะไรจะมาหน้าตาหล่อเหลาเพอร์เฟคได้ขนาดนี้ นัยน์ตาสีเข้มของเขาที่มองสบกับนัยน์ตาเธอ คมบาดใจนัก จมูกโด่งสวยได้รูป รวมถึงริมฝีปากหยักลึกสีเรื่อนั่นอีก เมื่อมันมารวมกันอยู่บนในหน้าเรียวได้รูปของบุรุษหนุ่มผู้นี้ มันก็กลายเป็นใบหน้าที่มีสัดส่วนที่งดงามเหมาะเจาะ และชวนติดตรึงตายิ่งนัก มองแล้วมธุรินก็เผลออ้าปากค้าง ราวกับเจอเข้ากับสิ่งมหัศจรรย์ สีหน้าของเธอทำให้คนที่ถูกมองจ้องด้วยความตกตะลึงถึงกับยิ้มน้อยๆ สายตาคมกริบมองจับจ้องที่ริมฝีปากอิ่มๆ นั่นอย่างหมายมาด
มองใกล้ๆ แบบนี้ เจ้าหล่อนก็ยิ่งสวย หวาน น่ากิน เธอเปรียบเหมือนขนมบราวนี่น่าอร่อยของโปรดของเขาเลยจริงๆ ที่เห็นแล้วก็ไม่คิดอะไรอื่น นอกจากหยิบมากินให้หนำใจ
“ไม่มาได้ยังไงกันว่ะ ท่านแมทธิวชวนทั้งที ขืนฉันไม่มางานนี้ นายคงจะให้การ์ดไปลากฉันออกมาจากบ้านแน่ๆ”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกน่า ใครจะกล้าให้การ์ดไปลากนายออกมากันว่ะซี ฉันจะได้โดนลูกน้องนายกลับมาล้างแค้นพอดีน่ะสิ” แมทธิวเอ่ยกระเซ้าถึงอาชีพของเพื่อนสนิท ที่เป็นเจ้าของบริษัทรักษาความปลอดภัย อีกฝ่ายหนึ่งถึงกับหัวเราะอย่างถูกใจ แล้วมองเพื่อนซี้สมัยไฮสคูลด้วยนัยน์ตาเป็นประกายระยับ
“แล้วนายไม่สนใจใช้บริการของฉันบ้างหรือยังไงกันว่ะ ท่านมหาเศรษฐีใหญ่” จักรพรรดิเอ่ยล้อๆ ฝ่ายนั้นยิ้มกริ่ม แล้วมองตวัดสายตามายังสตรีที่ยืนข้างๆ เพื่อนสนิท เจ้าหล่อนยังคงมองเขาแบบเบลอๆ ตาค้างอยู่ ปากสีแดงกำมะหยี่นั่นน่าจูบเป็นบ้า แมทธิวกระแอมเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อเสียงทุ้ม
“คงอีกสักพักก็แล้วกันนะ ซี ตอนนี้ฉันยังไมได้ไปขัดแข้งขัดขาทำให้ใครต้องเดือดร้อน เลยใช้ชีวิตอย่างอยู่ดีมีสุขดีว่ะ ว่าแต่ว่านายควงใครมางานฉันกันนี่ ฉันพลาดข่าวอะไรไปบ้างหรือเปล่า?”
“อ้อ...คนนี้น่ะเหรอ” เขาหันมามองน้องสาวข้างๆ ราวกับเพิ่งนึกได้ว่าควงเจ้าหล่อนมาด้วย เห็นหน้าตาของมธุรินแล้วก็ถึงกับคิ้วขมวด ก่อนจะยิ้มจางๆ แม่น้องสาวของเขาคงจะรับรังสีเสน่ห์ของเจ้าเพื่อนสนิทของเขาเข้าไปจังๆ แล้วสินะ ดูเอาเถอะ อ้าปากหวอจนแมลงวันจะบินเข้าปากอยู่แล้ว แล้วบอกว่าไม่ชอบคนหล่อเกินไปน้องสาวเรา...
“น้องสาวของฉันเอง น้ำตาล”
“นาม...ทาน” ฟังชื่อของเจ้าหล่อนแล้ว แมทธิวก็ออกเสียงตามอย่างลำบาก แม้จะมีมารดาเลี้ยงเป็นคนไทย เคยฟังภาษาไทยมาบ้าง แต่เขาก็พูดได้บางคำบางประโยคที่น้องชายสอนให้ (ซึ่งแน่นอนว่าบางทีก็เป็นคนที่คนไทยแท้ๆ ฟังแล้วอาจจะสะดุ้งตกใจก็เป็นได้ เพราะมันแผลงเสียเหลือเกิน รวมถึงความหมายก็เหลือทน) แล้วคำนี้ก็คุ้นๆ หูอย่างประหลาดนัก เขามองจ้องหน้าแม่สาวนัยน์ตาหวานฉ่ำอย่างพินิจ เจ้าหล่อนดูเป็นเอเชียอย่างเห็นได้ชัด เฮ้อ...ทำไมยิ่งมองหน้าหวานๆ นี่ก็ยิ่งอยากจะจับมา...ก็ไม่รู้ ใจของแมทธิวคิดอย่างซุกซน เมื่อกวาดมองใบหน้าหวานจิ้มลิ้มตรงหน้าอย่างเพลิดเพลิน
“เรียกอีกชื่อหนึ่งดีกว่า” จักรพรรดิยิ้ม เขาเป็นคนตั้งชื่อภาษาอังกฤษให้น้องสาวคนสวยโดยเลือกความหมายใกล้เคียงกับชื่อจริง เพราะชื่อไทยของเจ้าหล่อนนั้นออกเสียงลำบากนัก เวลาแนะนำให้รู้จักกันทีไร อีกฝ่ายเป็นต้องลิ้นพันกันให้น่าเวทนาเสียทุกที
“เอพิส”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ เอพิส ทำไมเราถึงไม่เคยเจอกันมาก่อนนะ นายซีมีน้องสาวสวยขนาดนี้แอบซ่อนไว้ด้วยหรือนี่ ผมแมทธิว เพื่อนสนิทของนายซีครับ” มือเรียวได้รูปของแมทธิว ยื่นส่งให้กับมธุริน ที่เมื่อได้ยินชื่อของตนเองก็กะพริบตาปริบๆ เหมือนเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าเผลอมองคนตรงหน้านานมากขนาดไหน เธอยื่นมือส่งให้เขาตามมารยาททันที มือของฝ่ายชายบีบกระชับแน่นตามความน่าจะเป็นไปนิด รวมถึงสายตาวาวหวานระยับที่มองจ้องมายังใบหน้าของผู้เป็นน้องสาว ทำให้จักรพรรดิขยับเข้าไปใกล้มธุรินมากขึ้นอีกนิด เหมือนกับจะสื่อบอกเพื่อนสนิทกลายๆ ว่า ‘ห้ามยุ่ง ห้ามแตะ ไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น’
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” นัยน์ตาหวานใสของมธุรินก้มลงมองมือหนาที่ยังจับมือเธอไว้ไม่ยอมปล่อย อีกฝ่ายหนึ่งจึงเปลี่ยนเป็นยกมือบางขึ้นมาจูบเอาเสียดื้อๆ ทำให้หญิงสาวถึงกับทำตาค้าง ส่วนพี่ชายที่ยืนคุมเชิงอยู่ถึงกับคิ้วกระตุก เหมือนกับเสือโดนกระตุกหนวดแบบซึ่งๆ หน้า แถมคนกล้าทำยังยืนยิ้มระรื่น ไม่ยอมปล่อยมือจากมือของรักของหวงของพ่อเสือเสียด้วย