บทที่ 7
“อะแฮ่ม!” เสียงกระแอมดุๆ นั่นทำให้มือของแมทธิวยอมปล่อยมือของมธุรินแต่โดยดี หากแต่ใบหน้าหล่อคมนั้นยังคงยิ้มพราย และมองน้องสาวของเพื่อนด้วยสายตาเป็นประกายระยับ
“งานของนายหรูหรามากตามเคยนะแมท เอ...มีทั้งนางแบบนายแบบ ดาราเลยนะเพื่อน ฉันเกือบจะนึกๆ ว่าเป็นงานประกาศรางวัลอะไรสักอย่างเสียแล้ว” จักรพรรดิเอ่ยกระเซ้า พลางกวาดตามองไปรอบๆ สายตาของเขายังสะดุดอยู่ที่ใครบางคนอีกหน ชายหนุ่มผมสีบลอนด์ทอง นัยน์ตาสีฟ้าจัด ใบหน้าคมคาย ซึ่งกำลังพูดคุยอยู่กับชายวัยกลางคนด้วยสีหน้าแจ่มใส ทั้งสองดูสนิทสนมกันมาก
“นิดหนึ่งว่ะ แต่บางทีคนมากไปมันก็น่าเวียนหัว งานนี้ความจริงฉันอยากจะให้เป็นงานเฉพาะเพื่อนสนิทกันมากกว่า แต่ก็อย่างว่างานของสเปนเซอร์ใครๆ ก็อยากมา”ชายหนุ่มยักไหล่แล้วผายมือออก ท่าทางเหมือนไม่ยี่หระ แต่สายตาของเขาซ่อนนัยบางอย่างไว้ รวมถึงรอยเหยียดยิ้มนั้น บอกได้ว่าเจ้าตัวไม่ใคร่จะพอใจนัก กับงานเลี้ยงที่หรูหราและมีผู้คนมากมายแบบนี้ ทั้งที่หนุ่มรักการปาร์ตี้อย่างแมทธิวน่าจะสนุกสนานกับมันมากกว่า
“เอ...มีอะไรทำให้ทายาทอันดับหนึ่งของสเปนเซอร์ไม่ชอบใจหรือเปล่า” นัยน์ตาอันคมกริบของจักรพรรดิมองทะลุทะลวงความรู้สึกของเขาได้ตามเคย แมทธิวยิ้มเล็กน้อย หางตาตวัดมองสาวสวยที่ยืนอยู่ข้างกายเพื่อน บางที...เขาอาจจะขอร้องให้จักรพรรดิช่วย แม่สาวหน้าหวานปานน้ำผึ้งคนนี้ อาจจะช่วยเหลือให้เขาพ้นภัยจากสาวร้ายอย่างเจเน็ตก็เป็นได้
“แล้วถ้าเกิดมีเรื่องที่ฉันไม่ชอบใจเข้าจริงๆ นายพอจะช่วยได้ไหมวะซี ฉันอาจจะตอบแทนนายเป็นการว่าจ้างบริษัทการ์ดของนายให้มารักษาความปลอดภัยที่บริษัทของฉันทั้งสองแห่งเลยว่ะ”
“โห...” จักรพรรดิหัวเราะร่วน ความจริงเขาก็แค่แหย่ๆ แมทธิวเท่านั้น ไม่ได้จริงจังอะไรนักหนาเรื่องอยากให้เพื่อนสนิทมาจ้างงานบริษัทของเขา
“อะไรทำให้นายลงทุนมากขนาดนั้นว่ะแมท บริษัทของฉันคงจะรับงานนายไม่ไหวหรอกว่ะ ถ้าจ้างแค่คุ้มกันนาย พอได้ แต่ถ้าจ้างให้ดูแลทั้งสองบริษัทของนาย คนของฉันจะไม่พอเอา เอาเป็นว่าไหนลองบอกมาสิ ว่าจะให้ฉันช่วยอะไร?”
“คือ...” เขาปรายตามองมธุรินอีกหน ก่อนจะโน้มตัวไปกระซิบกับเพื่อนสนิท ว่าอยากจะให้จักรพรรดิทำอะไรให้ เพื่อนรักถึงกับมองหน้าเขาอย่างไม่อยากเชื่อกับถ้อยคำที่ได้ยิน แมทธิวยิ้มกริ่ม แล้วเอ่ยเสียงทุ้ม
“พอไหวไหมวะซี”
“คงจะต้องถามอีกคนหนึ่งก่อนว่ะ” จักรพรรดิมีสีหน้าพิกลก่อนจะหันไปมองน้องสาวที่ไม่ได้สนใจสองหนุ่ม เพราะมัวแต่หันไปมองทางอื่น แขกของแมทธิวช่างน่าตื่นเต้นเสียจริงๆ จนมธุรินลืมทุกสิ่งไปเสียชั่วขณะ จนไม่รับรู้ว่าสายตาของชายหนุ่มทั้งสองกำลังมองจ้องมายังตนเองด้วยความหมายต่างกัน
สายตาแรก เป็นห่วงแกมกังวล...เมื่อสิ่งที่เพื่อนรักร้องขอให้ช่วย มันช่างน่าหนักใจเสียเหลือเกิน แถมยังดูแล้วจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพหัวใจของน้องสาวเป็นอย่างมาก
ส่วนอีกสายตาหนึ่ง มองอย่างจับจ้องหมายมาด ราวกับว่าเธอเป็นขนมน่าอร่อยสักชิ้น ที่พอลับหลังเจ้าของ เขาคงจะขโมยกิน ใครใช้ให้เจ้าหล่อนน่ารักน่ากินเหมือนขนมบราวนี่ของโปรดเขากันเล่า...
อย่าให้เผลอนะซี...ฉันจับน้องสาวนายกินแน่ๆ
.................................................................................
เจเน็ตแทบจะระงับสีหน้าให้เป็นปรกติไม่อยู่ เมื่อจู่ๆ ชายในฝันของเธออย่างแมทธิว คนที่เธอถือสิทธิ์แล้วว่าจะเกี่ยวแขนเขาเข้าพิธีวิวาห์ให้จงได้ กลับควงคู่มากับหญิงสาวหน้าหวาน สวยบาดตา ที่หล่อนไม่อยากยอมรับเลยสักนิด ว่าแม่ตุ๊กตาหน้าหวานนี่ดูสวยจับจิตจับใจมากขนาดไหน และที่สำคัญ ดูเหมือนว่าเจ้าหล่อนกำลังจะเป็นเป้าสายตาของใครต่อใครที่มองมายังคนทั้งคู่อย่างชื่นชมเสียด้วย
“ผมมองหาอยู่ตั้งนานแน่ะครับเจเน็ต มาอยู่ตรงนี้เอง” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างรื่นรมย์ รวมถึงใบหน้าหล่อเหลาคมสันที่ยิ้มอย่างแสนสุขนั้น ทำให้เจเน็ตนึกอยากจะข่วนหน้าเขาเข้าแรงๆ สักหนยิ่งนัก สายตาของเธอตวัดมองไปยังหญิงสาวข้างกายของแมทธิวที่ยิ้มแหยมองเธออยู่ ด้วยสายตาไม่พอใจอย่างไม่ปิดบัง เสียงที่เอ่ยทักทายตอบแมทธิว จึงมีคีย์เสียงที่สูงกว่าปรกติ น้ำเสียงสั่นพร่าเพราะอารมณ์ภายในที่เริ่มพุ่งพล่าน
“เจเน็ตก็อยู่ตรงนี้นานแล้วนะคะแมท แมทต่างหากล่ะคะที่หายไปเลย แล้วนี่ใครกันคะ?”
“คนนี้น่ะหรือครับ” แขนของเขาโอบกระชับคนข้างๆ มาแนบร่างแกร่งเลยทันที จนได้กลิ่นเลมอนหอมจางๆ จากเธอ มันเป็นกลิ่นที่ ‘น่ากิน’ มากที่สุดตั้งแต่เขาได้กลิ่นน้ำหอมจากกายสตรีมา
“คนที่ผมเคยเล่าให้เจเน็ตฟังยังไงล่ะครับ คนพิเศษ” น้ำเสียงทอดอ่อน หวานนักยามเอ่ยคำนั้น ทำให้เจเน็ตแทบจะต้องกรี๊ดออกมา แต่สาวสุดมั่นอย่างเธอมีหรือจะยอมเสียฟอร์ม เจเน็ตทำหน้าเชิด ก่อนจะหรี่ตามองหญิงสาวสวยข้างๆ กายชนิดแบบหัวจรดเท้า ด้วยสายตาชนิดหนึ่งที่ทำให้คนถูกมองถึงกับรู้สึกโมโหวูบ กับสายตาดูแคลนชนิดนั้น
“อ้อ...” เจ้าหล่อนเพียงแค่พูดสั้นๆ และสายตาชนิดนั้น มันก็เหมือนกับคำพูดยาวๆ อีกหลายประโยคที่อยากจะพูดพ่นออกมาใส่หน้ามธุริน แต่ระงับไว้ได้ทัน ใช้เพียงแค่ส่งเป็นสายตามาแทน ซึ่งมธุรินก็รับรู้ได้ถึงรังสีอำมหิตมหาศาลจากคนตรงหน้า นี่ถ้าเจเน็ตตรงเข้ามาจิกหัวตบเธอได้ ก็คงจะทำไปแล้วแหงๆ ดูเอาเถอะ มองเธอด้วยสายตาจิกกัดสุดๆ เธอจะมีชีวิตรอดกลับบ้านไหมหนอคืนนี้
มธุรินเหลือบมองดูคนที่กำลังโอบเธออยู่และกำลังแสดงความสนิทสนมให้สมบทบาท ‘คู่หมั้น’ คิดถูกหรือคิดผิดกันนะงานนี้ ตอนที่พี่ชายลากตัวเธอไปคุยกันแบบสองต่อสองตามประสาพี่น้อง เพื่อกล่อมให้มธุรินยอมช่วยเหลือเพื่อนรัก เพียงฟังว่าเขาอยากจะให้ช่วยอะไร เธอก็ทำหน้ายังกับถูกผีหลอก
‘เพื่อนของพี่จักรกำลังจะเล่นอะไรกันน่ะ เกิดน้ำตาลโดนตบขึ้นมานี่ใครจะช่วยกันล่ะ ไม่เอาด้วยหรอก แรงหึงของผู้หญิงน่ะน่ากลัวจะตายไป จะให้ไปเป็นไม้กันหมานี่นะ โอย...ไม่ไหวมั้ง’
‘สามร้อยปอนด์’ พี่ชายตอบกลับมาเพียงสั้น แต่ได้ใจความ เล่นเอามธุรินถึงกับตาโต แล้วเผลอตอบตกลงออกไปทันที
‘โอเค หลังงานจบเลยนะพี่ชาย ไม่เกี่ยวกับค่าจ้างทีแรกนะคะ อันนี้ต่างหาก’
‘ยายงกเอ๊ย!’ เหมือนกับกลัวว่าเธอจะเปลี่ยนใจ จักรพรรดิควักกระเป๋าเงินออกมา พลางล้วงเงินค่าจ้างทั้งหมดออกมาให้กับน้องสาวเลยทันที มธุรินตะครุบหมับ พลางยิ้มหวาน แล้วรีบยัดเงินทั้งหมดลงในกระเป๋าถือใบเล็กของเธอ เป็นเชิงบอกรับว่าเธอยอมรับทุกข้อเสนออย่างไม่มีข้อแม้
ตอนนี้หลังจากที่เห็นสายตาของว่าที่ศัตรูเข้าไปแล้ว มธุรินก็ชักจะอยากเอาเงินไปคืนพี่ชายขึ้นมาตงิดๆ เสียแล้ว ไม่น่างกเลยสิน่าน้ำตาล หาเรื่องให้ตัวเองแท้ๆ แถม...นัยน์ตากลมใสมองดูมือที่โอบบ่าเธอด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง
อีตาหน้าหล่อสะบัด รวยขั้นเทพนี่ก็ ดูท่าทางจะสมบทบาทเกินไปแล้วนะ!
เพราะนอกจากกุมบ่ามนของเธอไว้แล้ว เขายังใช้นิ้วไล้เบาๆ บนผิวเนียนเหมือนถือสิทธิ์อีกด้วย ร่างกายของเขาใหญ่โตและหนาแกร่งจนข่มร่างบางของเธอแทบจะมิด ให้ความรู้สึกเหมือนกำแพงคุ้มภัยอันแน่นหนา แต่ในขณะเดียวกัน สายตาคมปลาบยามมองเธอ รอยยิ้มประหลาดที่ริมฝีปากได้รูปนั่น มันทำให้มธุรินรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ พิกล หัวใจเต้นผิดจังหวะ จนอยากจะหนีเขาไปให้ไกลๆ สมองและหัวใจกำลังบอกกับเธอว่า ผู้ชายคนนี้อันตรายเป็นอย่างมาก