ตอนที่ : 6 รักครั้งใหม่ของรัตนาวลี 2
ภาพการสนทนาของทั้งคู่กลับอยู่ในสายตาของหญิงสูงวัยคนหนึ่ง นางยลดาเริ่มมีข้อกังขาต่อว่าที่ลูกเขยของตัวเอง ที่มาแอบนัดพบกับคนรักเก่ากันในร้านอาหารแห่งนี้ ทันทีที่กลับถึงบ้านนางก็รีบนำเรื่องดังกล่าวไปบอกรัตนาวลีให้รับรู้เป็นการเร่งด่วน
"โศธิดาเหรอคะแม่" รัตนาวลีทวนชื่อของคนรักเก่าแฟนตัวเองเบา ๆ
"ใช่แม่โศธิดานางแบบสาวหุ่นเปรี้ยวคนนี้แหละคนรักเก่าของตาคมเขา วันนี้แม่เห็นทั้งคู่แอบนัดพบกันที่ร้านอาหาร มีจับไม้จับมือกันด้วยนะลี่" ด้วยความที่เป็นห่วงความรักของบุตรสาว นางยลดาจึงลืมที่จะคำนึงถึงความรู้สึกของคนเป็นลูก รัตนาวลีมีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อยเธอเกลียดที่สุดก็คือการนอกใจกัน
"มันจะน่าเกลียดไหมคะหากว่าลี่จะไปถามคมเขาตรง ๆ" แม้จะรู้สึกไม่สู้ดีนักต่อเรื่องที่มารดานำมาเล่าให้ฟัง แต่หญิงสาวก็ยังรู้สึกเกรงใจคนรักอยู่ไม่น้อย
"โอ๊ย ไม่น่าเกลียดหรอกลูก ถามไปเลยตรง ๆ เอาให้รู้ว่าเราน่ะรู้ทันในสิ่งที่เขาทำอยู่"
"แม่คะ พูดอย่างกับว่าคมเขานอกใจลี่แล้วอย่างนั้นแหละ"
"เรื่องอย่างนี้ไว้ใจได้ที่ไหนล่ะลูก ดูอย่างนายนภศูลกับใช้คุณสิเงียบ ๆ ติ๋ม ๆ แล้วเป็นยังไงล่ะ" นางยลดาไม่วายพาดพิงเรื่องในอดีต
"แม่คะอย่าไปพูดถึงสองคนนั่นอีกเลยค่ะ ลี่ไม่อยากได้ยินชื่อของพวกเขา" แม้จะล่วงเลยมาถึงห้าปีเต็ม แต่ความทรงจำอันเลวร้ายนั่นก็ยังคงคุกรุ่นอยู่ลึก ๆ ข้างในเสมอ
"ไม่พูดก็ได้ลี่ แม่ก็แค่อยากให้ลูกเลือกให้ดี เอาบทเรียนในอดีตมาเป็นตัวอย่าง เพื่อที่จะไม่ได้พลาดอีกนะลูก" ความหวังดีของมารดาใช่ว่าคนเป็นลูกจะไม่รู้ ยิ่งฟังที่มารดาพูดกก็ยิ่งทำให้รัตนาวลีรู้สึกหวั่นไหวอยู่ไม่น้อย
"ลี่ขึ้นห้องก่อนนะคะ" เรื่องนี้คงต้องคิดดี ๆ คิดให้นานและรอบคอบ ความรักเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและอ่อนไหว รัตนาวลีลุกขึ้นแล้วเดินตรงขึ้นบันไดเข้าห้องนอนของตัวเองไป
บนห้องนอนของหญิงสาวผู้มีความหวาดหวั่นเต็มหัวใจ รัตนาวลีนึกไปถึงวันแรกที่ได้พบกับคมสัน นำพาความรักของทั้งสองคนให้เริ่มต้นขึ้น รอยยิ้มแสนหวานผุดขึ้นบนใบหน้าเหตุการณ์ในวันนั้นมันช่างตราตรึงหัวใจนัก
เมื่อสองปีก่อนรัตนาวลีได้พาพนักงานในบริษัทไปอบรมนอกสถานที่ยังเกาะแห่งหนึ่งทางภาคใต้ของประเทศ และที่นั่นความรักของเธอได้เริ่มก่อตัวขึ้น หลังจากที่การอบรมโดยวิทยากรผู้ชำนาญการเสร็จสิ้นลง หญิงสาวตัดสินใจอยู่เที่ยวต่ออีกสองวันจึงค่อยเดินทางกลับ ร่างระหงของรัตนาวลีในชุดกางเกงขาสั้นกับเสื้อกล้ามสีขาวบนศีรษะมีหมวกปีกขนาดใหญ่สวมบังแดดอยู่ หญิงสาวกำลังเดินเล่นไปตามชายหาดในตอนหัวค่ำ ซึ่งยังคงมีพระอาทิตย์สีแดงลูกใหญ่ส่องแสงรำไรตรงปลายขอบฟ้าที่ตัดกับขอบน้ำทะเลสีคราม ลมทะเลที่พัดมาค่อนข้างแรงนอกจากจะทำให้เส้นผมหยิกลอนสีน้ำตาลอ่อนปลิวสยายไปตามแรงลม ยังทำให้หมวกใบใหญ่ปลิวว่อนออกจากศีรษะของหญิงสาวไปด้วย รัตนาวลีรีบวิ่งตามหมวกใบโปรดของตัวเองไป ร่างของเธอหยุดอยู่ตรงหน้าเตียงผ้าใบริมชายหาด กรรมเหลือเกินที่หมวกใบโปรดของเธอไปปิดอยู่บนหน้าของผู้ชายคนหนึ่งเข้า
'ซวยล่ะสิยัยลี่' หญิงสาวย่องเข้าไปหาเขาแบบเงียบ ๆ คนที่นอนอยู่บนเตียงผ้าใบก็ยังไม่ขยับตัวเสียที รัตนาวลียืนบิดซ้ายบิดขวาอยู่นานสองนานก็ไม่กล้าเข้าไปหยิบหมวกของตัวเอง จนในที่สุดเธอก็รอไม่ไหวเดินเข้าไปสะกิดท่อนแขนของเขาเบา ๆ
"นี่คุณ" อีกคนก็ยังคงนอนนิ่งอยู่ รัตนาวลีจึงตัดสินใจยื่นมือออกไปหยิบหมวกของตัวเอง
"ว้าย !" หญิงสาวร้องเสียงหลง เมื่อจู่ ๆ มือของคนที่คิดว่าหลับอยู่ก็คว้าข้อมือของเธอเอาไว้แน่น
"จะลักหลับผมเหรอครับ" คนถามอมยิ้มนัยน์ตากึ่งเย้าเมื่อเห็นสาวสวยยืนอยู่ตรงหน้า รัตนาวลีสะบัดหน้าหนีด้วยความอายปนโกรธที่ถูกคนแปลกหน้าล้อเล่นในเรื่องไม่สมควรแบบนี้
"ฉันแค่มาหยิบหมวก"
"หมวก ?" ชายหนุ่มรีบก้มลงไปมองหมวกที่หล่นอยู่ด้านข้างของตัวเอง ยื่นปลายนิ้วไปเกี่ยวขึ้นมาแล้วยื่นคืนให้แก่คนเป็นเจ้าของ
"ผมขอโทษครับผมไม่ทันเห็น"
"ไม่เป็นไรค่ะฉันไม่ถือ" รัตนาวลีรับหมวกจากมือของเขาแล้วรีบเดินจากไปอย่างรวดเร็ว คมสันมองตามหลังของสาวสวยหุ่นอ้อนแอ้นไปด้วยสายตาชื่นชม ใบหน้าสวยหวานแววตาซึ้งน่ามอง เรียวขาเสลาที่โผล่พ้นกางเกงออกมายิ่งทำให้เขาต้องกลืนน้ำลาย เพราะว่ามันสวยน่ามองไปเสียทุกส่วนจริง ๆ
ทุกอย่างมันก็เหมือนพรหมลิขิตเมื่อในช่วงกลางคืนทั้งคู่ได้มาพบเจอกันอีกครั้งในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ในระหว่างที่โต๊ะนั่งเต็มทุกโต๊ะ คมสันก็สะดุดสายตาเข้ากับหญิงสาวที่เขาเพิ่งเจอเมื่อตอนหัวค่ำ
"บังเอิญจังเลยนะครับ" ชายหนุ่มถือวิสาสะนั่งลงบนเตียงไม้ขนาดเล็กตรงริมหาด เพราะว่าเขาพยายามแล้วที่จะมองหาที่นั่งว่างแต่กลับไม่พบแม้แต่โต๊ะเดียว
"ค่ะ" รัตนาวลีตอบเสร็จก็มองเขาแบบไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องมานั่งอยู่บนแคร่ไม้ไผ่อันเดียวกับเธอด้วย
"โต๊ะเต็ม" คำตอบของเขาทำให้หญิงสาวถึงกับหัวเราะออกมาเบา ๆ
"ไม่ลองหาร้านอื่นดูละคะ"
"ผมอยากกินร้านนี้บรรยากาศมันเงียบดีร้านอื่นมันวุ่นวายเกินไป จะเป็นไรไหมถ้าผมอยากจะขอนั่งด้วยคน ผมมาคนเดียวแต่ถ้าคุณมากับคนรักผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้เลย" เขาพูดพร้อมกับหันมองไปรอบ ๆ ตัวเผื่อจะเจอดีโดนข้อหาตีท้ายครัวคนอื่นเข้า
"ฉันมาคนเดียวค่ะ"
"เอ่อ แล้วจะ..." เขาเว้นช่วงคำพูดแล้วมองหน้าเจ้าของโต๊ะเพื่อรอคำตอบ
"ตามสบายค่ะ ดีเหมือนกันจะได้มีเพื่อนคุย" หลังจากนั่งเกร็งอยู่เพียงลำพังมาเกือบครึ่งชั่วโมงเพราะว่าโต๊ะด้านข้างนั้นล้วนแต่มาเป็นคู่ในค่ำคืนแสนโรแมนติกนี้ รัตนาวลีก็ยอมสานไมตรีกับชายแปลกหน้าแต่ท่าทางเป็นมิตรคนนี้
ตะเกียงในหลอดแก้วกับเบาะนั่งเอนสบายบนโต๊ะไม้ไผ่ริมชายหาด เสียงคลื่นทะเลในยามค่ำคืนทำให้ทั้งคู่ได้สานความสัมพันธ์กันอย่างรวดเร็ว จบจากมื้อค่ำคืนนั้นรุ่งเช้าคมสันก็มารับหญิงสาวไปเที่ยวอีกเกาะซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวประมง และในที่สุดทั้งคู่ก็กลับกรุงเทพฯ พร้อมกัน นั่นคือจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ฉันเพื่อนกระทั่งกลายเป็นคนรู้ใจกันในที่สุด